Pineapple TH-PH

Done

Monday, December 24, 2007

ขาวกับดำ

ขาวกับดำ

เศรษฐีคนหนึ่งชอบใจลูกสาวชาวนายากไร้ผู้หนึ่ง
เขาเชิญชาวนากับลูกสาวไปที่สวนในคฤหาสน์ของเขา เป็นสวนกรวดกว้างใหญ่ที่มีแต่กรวดสีดำกับสีขาว
เศรษฐีบอกชาวนาว่า ' ท่านเป็นหนี้สินข้าจำนวนหนึ่ง แต่หากท่านยกลูกสาวให้ข้า จะยกเลิกหนี้สินทั้งหมดให้ ' ชาวนาไม่ตกลง
เศรษฐีบอกว่า ' ถ้าเช่นนั้นเรามาพนันกันดีไหม   ข้าจะหยิบกรวดสองก้อนขึ้นมาจากสวนกรวดใส่ในถุงผ้านี้ ก้อนหนึ่งสีดำ ก้อนหนึ่งสีขาว ให้ลูกสาวของท่านหยิบก้อนกรวดจากถุงนี้ หากนางหยิบได้ก้อนสีขาว ข้าจะยกหนี้สินให้ท่าน และนางไม่ต้องแต่งงานกับข้า แต่หากนางหยิบได้ก้อนสีดำ นางต้องแต่งงานกับข้า และแน่นอน ข้าจะยกหนี้ให้ท่านด้วย ' ชาวนาตกลง
เศรษฐีหยิบกรวดสองก้อนใส่ในถุงผ้า
หญิงสาวเหลือบไปเห็นว่ากรวดทั้งสองก้อนนั้นเป็นสีดำ เธอจะทำอย่างไร ?
หากเธอไม่เปิดโปงความจริง ก็ต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกง หากเธอเปิดโปงความจริง เศรษฐีย่อมเสียหน้า และยกเลิกเกมนี้ แต่บิดาของเธอก็จะยังคงเป็นหนี้เศรษฐีต่อไปอีกนาน
คนเราส่วนใหญ่ถูกสอนมาให้มองปัญหาแบบขาวกับดำ แต่ไม่ใช่ทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้อย่างขาวกับดำเสมอไป ในทางตรงข้าม หากเราลองมองต่างมุม จะพบว่าหนทางแก้
ทางออกของปัญหามีมากกว่าหนึ่งเสมอ และการยืดหยุ่นพลิกแพลงไปตามสถานการณ์เป็นวิธีการหนึ่ง
โลกไม่ได้มีเพียงแค่สีขาวกับดำ
ลูกสาวชาวนาเอื้อมมือลงไปในถุงผ้า หยิบกรวดขึ้นมาหนึ่งก้อน ฉับพลันเธอปล่อยกรวดในมือร่วงลงสู่พื้น กลืนหายไปในสีดำและขาวของสวนกรวด
เธอมองหน้าเศรษฐี เอ่ยว่า ' ขออภัยที่ข้าพลั้งเผลอปล่อยหินร่วงหล่น แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อท่านใส่กรวดสีขาวกับสีดำอย่างละหนึ่งก้อนลงไปในถุงนี้ ดังนั้นเมื่อเราเปิดถุงออกดูสีกรวดก้อนที่เหลือ ก็ย่อมรู้ทันทีว่า กรวดที่ข้าหยิบไปเมื่อครู่เป็นสีอะไร '
ที่ก้นถุงเป็นกรวดสีดำ
'... ดังนั้นกรวดก้อนที่ข้าทำตกย่อมเป็นสีขาว ' หญิงสาวบอก ขณะที่เศรษฐีมองถุงผ้าอย่างจนมุม
ชาวนาพ้นสภาพลูกหนี้และลูกสาวไม่ต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกงคนนั้น
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ' หากเราพยายามมากพอที่จะแก้ไขปัญหา เราจะพบว่าทุกปัญหาย่อมมีวิถีทางแก้ไขเสมอ '

Friday, December 21, 2007

ทำงานหนัก แต่ทำไมยังไม่รวย

คุณผู้อ่านหลายท่านคงเคยถามตัวเอง หลายครั้งว่าทำไมหนอ ทำไม
เราก็ทั้งขยัน อดทน ตั้งใจทำงาน หนักเอา เบาสู้สารพัด
แต่ทำไมไม่ร่ำไม่รวยกับใครเขาสักที

ตื่นนอนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ไปถึงที่ทำงานก่อนใคร เลิกงานก็เย็นย่ำ
ค่ำมืด แถมยังหอบงานกองโตกลับมาทำต่อที่บ้าน..แต่ผลงานกลับไม่เป็นที่ประจักษ์
หน้าที่การงานก็ไม่ค่อยจะก้าวหน้า เงินเดือนก็ไม่ขึ้น เพราะอะไร?
เพราะยังทำงานหนักไม่พอ เพราะยังขยันน้อยไป เพราะผลงานไม่เข้าตากรรมการ
หรือจะเป็นเพราะผลกรรม? เพราะอะไรกันแน่? ทำงานหนัก แต่ทำไมยังไม่รวย?

คงเหมือนกับที่หลายๆ คนชอบบ่นว่า ทำดี ทำไมไม่ได้ดี
ส่วนอีกหลายคนก็อาจจะเริ่มท้อใจ เหนื่อยใจ เบื่อหน่ายที่ทำความดี
หรือเริ่มขี้เกียจ ที่จะขยันทำงาน เพราะรู้สึกว่าทำงานหนักไป
ก็ไม่รวยสักที

ปัญหาของการทำงานหนัก แต่ยังไม่รวย หรือทำดี แต่ไม่ได้ดี
เกิดขึ้นเพราะอะไรกัน? วันนี้ขอนำนิทานธรรมะเกี่ยวกับ "ชายผู้ปลูกมะม่วง"
จากพระธรรมเทศนาของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
มาเล่าสู่กันฟังเป็นตัวอย่างเพื่อความชัดเจนค่ะ...
มีชายคนหนึ่งเป็นคนขยัน ขันแข็งอย่างมากในการทำสวนมะม่วง เขารดน้ำ
ใส่ปุ๋ย พรวนดิน ดูแลสวนเป็นอย่างดี
ด้วยความหวังว่าเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว
เขาจะได้มีเงินเป็นกอบเป็นกำจากการขายมะม่วงตลอดทั้งปี เขาก็ได้ลงทุน
ลงแรงดูแลสวนมะม่วงอย่างเต็มที่ แล้วมะม่วงก็ออกดอก ออกผลงอกงามสมใจ
แต่ปรากฏว่า ในปีนั้นผลผลิตมะม่วงล้นตลาด ราคาตกต่ำ
เขาต้องยอมขายมะม่วงขาดทุน รวมทั้งยอมปล่อยให้มะม่วงเน่าคาต้นมากมาย
เพราะราคาขายไม่คุ้มค่าจ้างเก็บ ชายผู้นี้ได้แต่บ่นว่า ทำไมเค้าขยัน
ตั้งใจทำงาน แต่ไม่รวยสักที ทำงานหนัก ปลูกมะม่วงมาตลอดทั้งปี
แต่ก็ไม่ได้เงินตามที่ตั้งใจ แล้วเขาจะขยันไปทำไม? เสียเวลาทำงานไปทำไม?

ปัญหาของชายผู้ปลูกมะม่วงคนนี้อยู่ที่การมองหลักเหตุผลไม่ถูกต้อง
ที่จริงเขาปลูกมะม่วง ก็ได้ผลเป็นมะม่วงที่งอกงามออกดอก ออกผลดี
ถูกต้องตามหลักเหตุและผล หากถือว่าการปลูกมะม่วงเป็นการทำดี
ผลมะม่วงที่ได้ก็ถือเป็นผลแห่งการทำดี แสดงว่าเมื่อทำดี ก็ได้ดี
หรือขยันทำงาน ก็ได้งาน ปลูกมะม่วง ก็ได้มะม่วง
ส่วนปลูกมะม่วงแล้วจะได้สตางค์หรือไม่ ขยันทำงานแล้วจะรวยหรือไม่
เป็นเรื่องของปัจจัยอื่นที่ต้องพิจารณา อย่างเจ้าของสวนผู้นี้
อาจจะต้องทำความเข้าใจตลาด คาดการณ์ราคา
และปริมาณความต้องการมะม่วงในตลาด ต้องรู้จักพฤติกรรมของผู้บริโภค
ต้องศึกษาพันธุ์มะม่วงที่เป็นที่ต้องการ ต้องประมาณการปริมาณผลผลิตโดยรวม
เพื่อวางแผนการขายมะม่วง
เขาอาจจะต้องเร่งเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อส่งขายเร็วขึ้น
หากคาดการณ์ว่าปีนี้มะม่วงจะล้นตลาด
หรือเตรียมหาวิธีการแปรรูปเพื่อแก้ปัญหาราคามะม่วงตกต่ำ

ดังนั้น หากจะถามว่าปลูกมะม่วงแล้วจะรวยหรือไม่ จึงต้องแยกพิจารณาเป็น 2
เรื่อง คือ เรื่องการปลูกมะม่วง ให้ได้มะม่วง
และเรื่องการขายมะม่วงให้ได้เงิน

ลองเปรียบเทียบกับคำถามที่ว่าทำงานหนัก แต่ทำไมยังไม่รวย?
เรื่องนี้ก็คงต้องแยกพิจารณาไปตามเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เริ่มตั้งแต่
ขยันทำงาน ก็ได้งาน ตามหลักเหตุและผล ส่วนทำไมผลงานไม่เข้าตากรรมการ
หน้าที่การงานไม่ก้าวหน้า รายได้ไม่เพิ่ม เงินเดือนไม่ขึ้น
เงินเก็บไม่มีเงินออมไม่งอกงาม ก็ต้องวิเคราะห์ไปทีละเรื่อง
อย่างเรื่องคุณภาพหรือความโดดเด่นของผลงาน สถานะทางเศรษฐกิจ
รายได้หรือกำไรของบริษัทที่ลดลง คู่แข่งทางการค้าที่เพิ่มขึ้น
พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
หรือแม้แต่การใช้จ่ายของตัวเราเองที่อาจเป็นอุปสรรคสำคัญในการขัดขวางความรวย
เมื่อแยกแยะปัจจัยที่เกี่ยวข้องได้ชัดเจนแล้ว การหาวิธีในการแก้ไขปัญหา
หรือการพัฒนางานให้ดีขึ้นย่อมทำได้ไม่ยาก

เราอาจพบว่า เราใช้เวลามากเกินไปในการทำงาน
ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพหรือมัวแต่สาละวนอยู่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
มากเกินไป หากมีการศึกษาหาข้อมูล และวางแผนอย่างจริงจังก่อนเริ่มลงมือทำ
จะพัฒนางานอาจทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ไม่เช่นนั้น
อาจเข้าข่ายขยันทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง เพราะการขยันที่ถูกต้อง
จะต้องขยันอย่างมีปัญญา เพราะการขยันที่ไม่ถูกเรื่อง
อาจสร้างความเสียหายได้เช่นกัน เหมือนขยันปลูกมะม่วง
ทั้งที่ผลผลิตล้นตลาด ราคามะม่วงตกต่ำ ทำให้ต้องเสียเวลา เสียแรงงาน
เสียต้นทุนอย่างที่ไม่ควรจะเสีย

การขยัน หรือการทำงานหนักอย่างถูกวิธี ควรเริ่มต้นที่การหาความรู้
และทำความเข้าใจในเหตุและผลของงานจะทำให้ถ่องแท้เสียก่อน
เราต้องเข้าใจก่อนว่า เราทำงานเพื่อให้เกิดงาน
เราจะขยันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เราจะใช้ความรู้
ใช้ความคิดเพื่อพัฒนาผลงาน เพื่อสร้างงานที่มีคุณภาพ ที่เป็นประโยชน์
แล้วเราจะได้ทำงานอย่างมีความสุข ไม่เครียดเพราะเอางานผูกไว้กับเงิน

ส่วนทำอย่างไรให้ร่ำรวย มีเงินทองมากมาย
อันนี้เป็นเรื่องของการจัดการทางการเงินของตัวเรา
ซึ่งต้องเริ่มต้นที่การประมาณตัวเอง การวางแผนการเงินอย่างจริงจัง
การรู้จักความพอเพียง ต้องหักห้ามใจ ลดการใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย
ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่ฟุ้งเฟ้อ ใช้เงินให้น้อยกว่าที่หาได้
และต้องรู้จักเก็บออมเงินอย่างสม่ำเสมอ

หากพิจารณาดีๆ จะเห็นว่าเรื่องความร่ำรวย ไม่เกี่ยวกับเรื่องงานโดยตรง...
ใครที่ข้องใจว่า....ทำงานหนัก แต่ทำไมยังไม่รวยสักที?
คงต้องจัดระเบียบชีวิต เรียบเรียงความคิดกันใหม่
เพราะกฎแห่งกรรมยังไงก็ให้ผลตรงไปตรงมา ปลูกมะม่วง ได้มะม่วง เสมอค่ะ

Thursday, December 20, 2007

Saturday, December 15, 2007

พลิกมุมคิด ฝ่าวิกฤต ชีวิต

การสร้างแรงบันดาลใจให้คนเปลี่ยนมุมคิด พลิกมุมมองไม่ใช่เรื่องง่าย

 

"คม สุวรรณพิมล" จึงเลือกเปิดเวทีสัมมนา Coach! For Goal ครั้งที่ 3 ด้วยรูปแบบของ Coaching Edutainment หยิบ เอาตัวละครเอก "แฮรี่" ในหนังสือ Coach! For Goal กลยุทธ์พลิกชีวิต ให้ขึ้นไปโลดเล่นบนเวที สลับกับการนำเสนอเกร็ดชีวิตดีๆ ของนักดนตรี นักกีฬา ผู้มากด้วยความสามารถสลับกับเสียงดนตรี สร้างสีสันบนเวทีให้บรรยากาศอันแสนเศร้าในช่วงชีวิตหนึ่งของแฮรี่น่าติดตามมากขึ้น

 

หลังจาก "แฮรี่" ตกงาน ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า "คม" ได้นำฉากหนึ่งของนักดนตรีชาวเกาหลีที่เล่นดนตรีได้ไพเราะจับใจ หลังเล่นเสร็จผู้ฟังทั้งฮอลปรบมือดังสนั่น แต่นักดนตรีท่านนี้ไม่เคยลุกคารวะใครได้เลย เพราะเขาไม่มีขา แน่นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับเขามีนิ้วเพียง 4 นิ้ว

 

นักดนตรีคนนี้ชื่อ ฮีอา ลี เธอเกิดมาพร้อมกับความผิดปกติของร่างกาย มีนิ้วเพียง 4 นิ้ว ไม่มีขา เขาเลือกที่จะเล่นดนตรีเพื่อเป็นการออกกำลังกาย และสิ่งนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจทำให้เขากลายเป็นนักดนตรีที่ยิ่งใหญ่ ทำให้เขาต่อสู้ชีวิตต่อไปได้

 

"คม" หันไปถามแฮรี่ว่า เขาพิการตรงไหนหรือเปล่า และสรุปว่าแฮรี่น่าจะพิการทางใจ เพราะใจคือหัวใจสำคัญที่ทำให้คนประสบความสำเร็จ ใจคือสิ่งที่ทำให้นักดนตรีชาวเกาหลีคนนี้ก้าวขึ้นมาเป็นนักดนตรีระดับโลกได้

 

อีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ เป็นเรื่องของนักไวโอเรียน ชื่อของเขาคือ Itzhak Perlman ครั้งหนึ่งเขาเล่นดนตรีกลางนิวยอร์ก ระหว่างการแสดงสายไวโอลินเกิดขาดไป 1 สาย คนดูส่วนใหญ่คิดว่าเขาต้องกลับไปเปลี่ยนไวโอลินใหม่ ปรากฏว่าเขาไม่กลับ แต่เขาเลือกที่จะพลิกแพลงเล่นไวโอลินที่เหลือเพียง 3 สายให้ประสบความสำเร็จ

 

หากเปรียบชีวิตคนกับการเล่นไวโอลิน สิ่งสำคัญคือทุกคนต้องรู้จักพลิกแพลงชีวิต เพราะรุ่งอรุณไม่ได้มีเพียงหนเดียว

 

หลายคนมักจะคิดว่าชีวิตเมื่อตกแล้วจะ ไม่ขึ้นอีก แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ ชีวิตมีขึ้นมีลง ขึ้นแล้วก็ขึ้นได้อีก

 

ชีวิตคนต่างจากฤดูกาล ฤดูกาลหมุนวนทุกปีแต่ชีวิตคนไม่เคยหมุนตาม เพราะฉะนั้นการใช้ชีวิตให้ประสบความสำเร็จคือการใช้ทุกช่วงชีวิตให้ดี ให้คุ้มค่าที่สุด

 

นี่คือข้อสรุปของโค้ช ที่ให้คนที่หมดหวังอย่างแฮรี่ได้คิด และกระตุ้นจิตใต้สำนึกแฮรี่ใหลุกขึ้นสู้ชีวิตอีกครั้ง

 

"...อย่าไปคิดว่าชีวิตจะเป็นอย่างนี้แล้วจะดำเนินต่อไปอย่างนี้เรื่อยๆ เมื่อเจอทางตันคุณ ก็ตันจริงๆ ทุกคนต้องรู้จักพลิกแพลงชีวิต เหมือนหมีแพนด้าจริงๆ เขาไม่ได้อยากกินไผ่ แต่เพราะสถานที่ที่เขาอยู่มีแต่ไผ่ เขาก็เลยต้องกินไผ่เพื่อการอยู่รอด นั่นคือการพลิกแพลงชีวิตให้เรา เติบโตได้อย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จในชีวิต"

 

จากนั้น "คม" ได้หยิบนิทานเรื่องลิงอยากกินขนมมาฉายภาพให้ทุกคนไดรู้จักการแยกแยะปัญหา

 

"ปัญหาใดที่ควบคุมได้ก็ควบคุม หากปัญหาใดควบคุมไม่ได้ก็ควรที่จะปล่อยวาง เพราะชีวิตคนคนหนึ่งต้องเจอปัญหาอุปสรรคมากมาย อย่าไปแบกรับปัญหาไว้ทั้งหมด"

 

อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญและน่าสนใจ คือ ความเชื่อ มีผลต่อความสำเร็จของชีวิตคนมาก

 

"โรเจอร์ แบนนิสเตอร์ นักวิ่งวัย 60 ที่ปัจจุบันได้รับการบรรจุให้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในรอบ 1,000 ปี เพราะอะไรเขาถึงได้รับตำแหน่งนี้

 

เหตุเพราะในอดีตมีความเชื่ออยู่ 1,000 ปีว่าคนคนหนึ่งไม่สามารถวิ่ง 1 ไมล์ได้ในเวลาต่ำกว่า 4 นาที แต่โรเจอร์ แบนนิสเตอร์เป็นคนแรกที่ทำได้ หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนทำลายสถิติอีกหลายคน"

 

"คม" บอกว่า โรเจอร์ แบนนิสเตอร์ ทำให้คนที่คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้ไม่ได้อยู่เหนือความพยายาม ความสามารถของมนุษย์

 

หรือกรณีของช้าง ทุกคนคงไม่ปฏิเสธว่าเคยเห็นช้างถูกล่ามโซ่เล็กๆ กับเสาต้นไม่ใหญ่มากนัก หากพูดตามความเป็นจริงช้างเหล่านี้มีกำลังมากพอที่จะดึงโซ่เส้นนี้ให้ขาดได้ แต่ทำไม เพราะเหตุใดช้างเหล่านี้จึงไม่ดึง ยอมถูกล่ามโซ่อยู่ตลอดเวลา

 

คำตอบคือ ช้างเหล่านี้ถูกล่ามโซ่มาตั้งแต่ยังเล็ก และเขาก็พยายามดึงแล้วตอนยังเล็กแต่ดึงไม่ขาด เมื่อโตขึ้น มีกำลังมากขึ้น แต่ช้างเหล่านี้ทำไมไม่ดึงโซ่ให้ขาด เพราะเขาเชื่อว่าโซ่เส้นนี้ดึงไม่ขาด

 

เปรียบเสมือนชีวิตคนเราที่ชอบคิดว่า เราทำอะไรไม่ได้ คิดว่าฉันไม่น่าจะเติบโตได้กว่านี้ ฉันไม่น่าจะประสบความสำเร็จได้มากกว่านี้ เป็นข้อจำกัดที่ทำให้ตัวเองทำอะไรไม่ได้

 

และนี่คือภาพสะท้อนที่ทำให้เห็นว่า เพราะเหตุใดเราจึงต้องปรับความคิดของตัวเองให้เป็นคนมองโลกในแง่ดี ไม่มองข้อจำกัดในชีวิต ไม่ไปมองเชือกที่เท้าช้าง

 

นอกจากเรื่องของความเชื่อ การแยกแยะปัญหา และการเปลี่ยนมุมมองเป็นคนมองโลกในแง่ดีแล้ว โค้ชบนเวทีแห่งนี้ยังเปิดมุมมองชีวิตใหม่ด้วยกราฟชีวิต ที่ให้ทุกคนมองเป้าหมายในชีวิตเสียใหม่

 

"ชีวิตคนเรา ประกอบด้วยหลายสิ่งหลายอย่างมากมาย ทั้งเงิน ความก้าวหน้าในชีวิต ครอบครัว เพื่อน ความรัก ความสัมพันธ์ อาชีพ ความมั่นใจ ภาพลักษณ์ของตนเอง ความสุข การสร้างสรรค์ สุขภาพร่างกาย แต่การใช้ชีวิตของคนส่วนใหญ่มักมองเรื่องเงินเพียงอย่างเดียว"

 

เมื่อมองเรื่องเงินเพียงอย่างเดียว สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คือ สิ่งที่เหลือถูกละทิ้งไปทั้งหมด

 

เมื่อเอาเงินเป็นตัวตั้งความสัมพันธ์กับเพื่อนอาจจะเสียไป

 

เมื่อเอางานเป็นตัวตั้งความสัมพันธ์กับครอบครัวอาจหายไป

 

เพราะฉะนั้นทุกคนต้องมีเป้าหมายในชีวิต มีความฝัน อยากเป็นอะไร อยากทำอะไร

 

การตั้งเป้าหมายในชีวิตเป็นเรื่องสำคัญเพราะจะทำให้จิตใจจดจ่อกับเรื่องนั้น การเดินไปสู่เป้าหมายจึงไม่ใช่เรื่องยาก