Pineapple TH-PH

Done

Friday, April 25, 2008

เพิ่มกำลังใจให้ชีวิต

เพิ่มกำลังใจให้ชีวิต
 
Be strong enough to face the word each day.
จง... เข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับความจริง


Be weak enough to know you cannot do everything alone.
จง... อ่อนแอพอที่จะรับรู้ว่าลำพังเรานั้นทำอะไรไม่ได้ทุกอย่าง


Be generous to those who need your help.
จง... ฟุ่มเฟือยน้ำใจ เมื่อมีใครต้องการความช่วยเหลือ


Be frugal with what you need yourself.
จง... ประหยัดสิ่งที่จำเป็นไว้


Be wise enough to know that you do not know everything.
จง... จงฉลาดพอที่จะรู้ว่าเราไม่ได้รู้ทุกสิ่ง


Be foolish enough to believe in miracles.
จง... โง่พอที่จะเชื่อในปาฎิหาริย์


Be willing to share your joys.
จง... เต็มใจจะแบ่งปันความสุขของตัวเอง


Be willing to share the sorrows of others.
จง... เต็มใจที่จะแบ่งรับความทุกข์ของผู้อื่น


Be a leader when you see a path of others have missed.
จง... เป็นผู้นำหากทางที่ผู้อื่นทิ้งไว้ให้นั้นเลือนลาง


Be a follower when you are shrouded in the midst of uncertainly.
จง... เป็นผู้ตามหากตกอยู่ในวงล้อมแห่งความไม่แน่นอน


Be the first to congratulate an opponent who succeeds.
จง... เป็นคนแรกที่แสดงความยินดีต่อความสำเร็จของคู่แข่ง


Be the last to criticize a colleague who fails.
จง... เป็นคนสุดท้ายที่จะวิจารณ์ความผิดพลาดของเพื่อน


Be sure where you next step will fall, so that you will not stumble.
จง... มองเพียงแค่ก้าวถัดไปเพราะมันจะทำให้เราไม่ล้ม


Be sure of your final destination, in case you are going to the wring way.
จง... มองไปยังจุดหมายปลายทางให้แน่ใจ ว่าไม่ได้กำลังเดินผิดทาง


Be loving to those who love you.
จง... รักคนที่รักคุณ


Be loving to those who do not love you, and they may change.
จง... รักคนที่ไม่รักคุณแล้วสักวันหนึ่ง ...เค้าอาจจะเปลี่ยนใจ


Above all, be yourself.
แต่เหนือสิ่งอื่นใด จงเป็นตัวของตัวเอง
 

Thursday, April 24, 2008

How to Eradicate and Stop Negative Thoughts

How to Eradicate and Stop Negative Thoughts


Negative thoughts are not reserved for just a few people or
situations. Everyone is plagued by negative thoughts at one time or
another.


However, once you begin thinking about what you're "thinking about",
you've already taken the first step to controlling negative thoughts.

Steps

1.Make the decision that you're going to be the one to decide what
your thoughts are and will be. You can control what you think about.
This means making a daily effort to consciously program positive
thoughts or affirmations into your mind.

2.Surround yourself with positive people. Have you ever heard the
saying, "birds of a feather flock together"? It is the same with both
positive and negative people. If your current list of friends does
nothing but tear others down, complain, and generally be negative, it
is going to be very difficult for you to get over being negative in
that environment. You may, very well, need to make some new friends.

3.Refuse to accept negative stuff when you hear it from others. If
you're making progress and you hear someone spilling out a bunch of
negative stuff, simply tell yourself that it's not what you think,
it's not what you believe, and it's not what you accept about yourself
or anyone else.

4.Change your language. The words 'should', 'could', 'might', are out.
For example change "I might go and fix the car" to "I WILL go and fix
the car". That way you're talking action and making a promise you are
more likely to stick to.

5.Think for yourself.

6.Use your initiative instead of waiting for people. You can waste
much time waiting for others to act.

Tips

Get fit. Having and sticking to an exercise plan can be very helpful.

Remember that actions speak louder then words. Rather than just
talking, be willing to take some action.

Your life will go nowhere if you sit around doing nothing all day.
Have some ambitions and goals and work toward them. Plan what you want
to achieve in your day. Then make sure you follow through.

Warnings

Not everyone is going to like that you want to be positive. For
whatever reason, some people enjoy being negative, and you may find
yourself fighting an ongoing battle for awhile until you make new
friendships.

Sunday, April 20, 2008

ห้าสิบ โรคทางใจที่ควรรู้ไว้พิจารณา >> ว.วชิรเมธี

โรคทางใจที่ควรรู้ไว้พิจารณา >> ว.วชิรเมธี
 
1.โรคจมไม่ลง
2.โรคปลงไม่เป็น
3.โรคเห็นแก่ตัว
4.โรคกลัวคนเก่ง
5.โรคเบ่งศักดา
6.โรคตาบอดสี (เห็นผิดเป็นชอบ)
7.โรคดีอยู่คนเดียว
8.โรคเที่ยวอโคจร
9.โรคเอื้ออาทรไปทั่ว (จอมรับปากหรือมิสเตอร์ yes)
10.โรคกลัวไม่สวย

11.โรคสำรวยหยิบโหย่ง
12.โรคองค์ประทับ (เก่งอยู่คนเดียว แต่สื่อสารกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง)
13.โรคดับเครื่องชน (ไม่รู้จักประมาณตน)
14.โรคบนทวยเทพ
15.โรคเสพของแพง
16.โรคตะแบงตลอด
17.โรคซัดทอดเคราะห์กรรม
18.โรคความจำสั้น
19.โรคหัวรั้นดื้อดึง
20.โรคใจถึงผิดที่ (เช่น พวกนักซิ่งกลางคืน กล้าบ้าบิ่นจนตัวตาย)

21.โรคกาลีเพราะปาก
22.โรคความอยากเป็นนาย
23.โรคตายผ่อนส่ง
24.โรคหลงสาวรุ่น
25.โรควุ่นเรื่องชาวบ้าน
26.โรคสามานย์ก่อนแต่ง
27.โรคแย่งสมบัติ
28.โรคเอารัดเอาเปรียบ
29.โรคเปรียบเทียบจนทุกข์
30.โรคขลุกคนพาล

31.โรคขี้เกียจสันหลังยาว
32.โรคตาขาวขี้ขลาด
33.โรคฉลาดเกินคำสั่ง
34.โรคคลั่งซูเปอร์สตาร์
35.โรคติดยาเสพติด
36.โรคย้ำคิดย้ำทำ
37.โรคไม่จำบทเรียน
38.โรคเอียนสังคม
39.โรคนิยมลัทธิ
40.โรคติเป็นนิสัย

41.โรคใจโลเล
42.โรคเสเพลเจ้าสำราญ
43.โรคบ้างานบ้าเงิน
44.โรคห่างเหินบุพการี
45.โรคเห็นใครดีไม่ได้
46.โรคใช้เงินมือเติบ
47.โรคกำเริบลืมตัว
48.โรคชั่วจนชิน
49.โรคกินของหลวง
50.โรคหลอกลวงประชาชน

โรคทั้งห้าสิบนี้เป็นโรคทางใจ เกิดขึ้นกับใครแล้วจะพลอยทำให้เสียปกติสภาพแห่งชีวิต
ถ้ารู้ทันก็รักษาหายและมีทางออก แต่ถ้ารู้ไม่ทัน นอกจากโรคไม่หายแล้ว บางทีถึงตาย

ใครป่วยด้วยโรคอะไรลองไล่เลียงสอบสวนดูด้วยตัวเอง
ไม่แน่ เมื่อพบว่าตนเป็นโรคอะไรก็อาจจะพบวิธีรักษาไปพร้อมๆ กันได้
เพราะโรคบางโรคแค่รู้ว่าตนเป็นก็หายจากโรคนั้นแล้ว

คุณ " กำ" อะไรไว้

คุณ "กำ" อะไรอยู่
 
ครอบครัวที่น่ารักอยู่ครอบครัวหนึ่ง
ในครอบครัวนี้มี พ่อ แม่ และบุตรชายวัย 5 ขวบ กำลังน่ารักเลยทีเดียว
เจ้าหนูเป็นเด็กที่ซนอย่างร้ายกาจและขี้สงสัยอย่างมาก

อยู่มาวันหนึ่งเจ้าหนูก็นึกครึ้มอกครึ้มใจอย่างไรบอกไม่ถูก
ไปคว้าเอาแจกันหยกแกะสลักต้นราชวงศ์หมิง
ซึ่งนั่นก้อหมายความว่ามันราคาแพงมาก
นำมาเล่นพลิกคว่ำพลิกหงาย สักพักก้อล้วงมือเข้าไปในแจกัน
ทันใดนั้นเจ้าหนูก็ทำตาโตเท่าไข่ห่านดูเหมือนจะดีใจที่ล้วงเข้าไปเจออะไรสักอย่าง

แต่ปัญหาหาอยู่ที่ว่าเจ้าหนูจะดึงมือออกมาได้อย่างไร
เจ้าหนูเริ่มกระสับกระส่ายพยายามดึงมือออกมาแต่ก้อไม่สำเร็จ

จนต้องใช้ไม้ตายคือ
"ทำไม่ได้ร้องไห้ไว้ก่อน"

เสียงเอ็ดอึงเป็นผลให้พ่อและแม่ต้องวิ่งมาดู
เมื่อมาพบเข้าต่างก้อพยายามช่วยกันดึงมือของเจ้าหนูออกจากแจกันด้วยวิธีต่างๆ

น้ำมันก็แล้ว น้ำสบู่ก็แล้วทำอีท่าไหนก็ไม่ออก
จนสุดท้ายผู้เป็นพ่อต้องตัดใจทุบแจกันหยกราชวงศ์หมิงทิ้งเพื่อรักษามือของลูกชายเอาไว้

เมื่อมือของเจ้าหนูหลุดจากแจกันแล้วพ่อและแม่
ก็พบว่ามือเจ้าหนูกำอะไรบางอย่างจนแน่น

ผู้เป็นแม่จึงถามลูกชายว่า "หนูกำอะไรอยู่จ้ะลูก ?"
เจ้าหนูตอบพร้อมทำสีหน้าขึงขัง "ผมปล่อยมันไม่ได้หรอกครับ"

"แล้วมันคืออะไรจ้ะลูก?" ผู้เป็นพ่อเริ่มสงสัย
"มันเป็นสตางค์ครับ" เจ้าหนูตอบพร้อมกับค่อยๆแบมือออกอย่างทนุถนอม จึงปรากฏว่า

ในมือของเจ้าหนูมีเพียงเหรียญสลึงอยู่สองเหรียญ
เจ้าหนูหารู้ไม่ว่าการที่เขาพยายามกำเหรียญเอาไว้
ทำให้ครอบครัวต้องสูญเสียของมีค่ากว่าเป็นพันๆเท่า


แล้วเพื่อนๆ ล่ะ ขณะที่คุณกำลังใช้ชีวิตอยู่นี้ คุณกำลัง "กำ" อะไรไว้ในชีวิตบ้าง

เงิน?
บ้าน?
งาน?
รถ?
หัวโขน?
ทิฐิ? ...

แล้วสิ่งที่คุณกำอยู่ทำให้คุณสูญเสียอะไรที่มีค่ามหาศาลไปบ้าง

เวลา....
ครอบครัว....
พ่อแม่.....
คนที่รักเรา.....
ความสุข
สวรรค์

คุณ "กำ"อะไรอยู่??

Tuesday, April 8, 2008

Will Power: สุขสันต์วันธรรมดาอีกวันหนึ่ง : สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ คือ 'ปาฏิหาริย์ '

'ปาฏิหาริย์ คือ การเดินอยู่บนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"
สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

เรื่อง วนิษา เรซ
คัดลอกจาก Post Today

บางครั้งในชีวิตประจำวัน เรารู้สึกว่ามีหน้าที่หลายอย่างที่เรา "ต้อง" ทำ ทั้งๆ ที่ขี้เกียจแสนขี้เกียจ
หรือเหนื่อยแสนเหนื่อยแล้วจากการทำงาน เช่น การล้างจาน การท่องหนังสือ การจดจ่ออยู่หน้าคอมพิวเตอร์ แถมพ่อแม่หลาย
ท่านในปัจจุบันนอกจากทำงานเหนื่อยแล้ว ยังต้องมานั่งรับส่งลูกเรียนพิเศษเสาร์อาทิตย์อีก...เวลานั่งรอ บางครั้งก็
เหนื่อยจนลืมชื่นใจความเก่งความน่ารักของลูก สิ่งของเหล่านี้ดูธรรมดาและดูเหมือนเป็น "หน้าที่" ที่เราต้องกระทำ
ทั้งๆ ที่บางครั้งทำให้เราหงุดหงิดพอควรเลย...ตัวหนูดีเป็นคนเกลียดการล้างจานมาก เพราะไม่ชอบความเหนอะของคราบ
อาหาร และความสากมือหลังจากล้างจานเสร็จ ถึงขนาดมีกฎประจำใจเลยว่า ผู้ชายคนไหนจะมาขอหนูดีแต่งงาน หนูดีจะให้ล้าง
จานให้ดูก่อน...แถมอาจมีการเซ็นสัญญากันว่า หนูดียินดีทำอาหารทุกชนิด แต่ฝ่ายชายต้องรับอาสาเป็นผู้ล้างจาน...

จนกระทั่งวันหนึ่งหนูดีได้ไปปฏิบัติธรรมในวิถีเซน การไปอยู่วัดครั้งนั้นทุกคนต้องล้างจานเอง...พระสอนว่า
เวลาล้างจานเราต้องการอะไรจากการล้างจาน...คำตอบของพวกหนูดี คือ เราต้องการให้จานสะอาด (แหม ถามอะไรตอบง่ายอย่าง
นี้ ก็มันชัดเจนอยู่แล้วใช่ไหมคะ)...แต่ท่านบอกว่า ตอบผิดค่ะ ...อ้าว ถ้าไม่อยากให้จานสะอาดแล้วจะล้างไปทำไมคะ
หนูดีงงมาก...ท่านตอบว่า จากนี้ไป ขอให้ล้างจานเพื่อล้างจานได้ไหม....ทำไมต้อง "ล้างจานเพื่อล้างจาน" กว่าหนูดีจะ
เข้าใจและทำได้ก็ผ่านไปจากนั้นนานแสนนาน และทุกวันนี้หนูดีก็ยังฝึกเป็นประจำ...เคล็ดอยู่ตรงนี้เองค่ะ หากเราล้าง
จานเพื่อต้องการให้จานสะอาด ก็เหมือนกับเราโยนทิ้งปัจจุบันแล้วรอให้ความสุขเกิดขึ้นในอนาคต แต่ปัจจุบันคือความ
ทุกข์ที่ต้องอยู่กับจานสกปรก เราจะมีความสุขก็ต่อเมื่อจานสะอาดแล้วเท่านั้น ....สรุปว่าใช้ชีวิตแค่กับเป้าหมาย รอ
ให้เป้าหมายเป็นผลแล้วค่อยยอมปล่อยใจให้เป็นสุข แต่หากเราเปลี่ยนมาเป็นทำใจให้สุขกับปัจจุบัน ในขณะล้างจาน จิตจด
จ่ออยู่กับน้ำ ฟองน้ำ และจาน...เป็นสุขอยู่ตรงนั้น ซึ่งหลังจากครั้งแรกพระท่านก็สอนที่สูงขึ้นไปอีกว่า จินตนาการ
ดูสิว่า จานเป็นพระพุทธรูปและเรากำลังชำระล้างท่านให้สะอาดอยู่.... ไม่เห็นต้องรอวันสงกรานต์แล้วค่อยสรงน้ำพระ
ถ้าคิดอย่างนี้ได้ ความสุขเล็กๆ ก็เกิดขึ้นได้ตลอดวัน (การคิดในแง่บวก คิดสิ่งดีๆ)
ในการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและมีความสุข...หนูดีคิดว่า เราต้อง 'แยกให้ออกระหว่าง...วิถี...และ...เป้า
หมาย...ก่อน'
....คนส่วนใหญ่มักเอาความสุขไปผูกไว้กับ "เป้าหมาย" แต่....หลงลืมว่า เวลาเกือบทั้งหมดในชีวิตอยู่ที่ "
วิถี" ในการไปถึงเป้าหมายนั้น เหมือนเมื่อก่อนหนูดีตั้งเป้าไว้ว่า จะเรียนให้ได้คะแนนดีๆ ให้ได้เกียรตินิยม...และ
ระหว่างภาคเรียนจะต้องทนทุกข์ทรมานขนาดไหนหนูดีไม่มีหวั่น เพราะเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนมาก...พอสอบเสร็จโล่งอกสบาย
ใจ ได้เกรดดีๆ ก็ดีใจอยู่แผล็บเดียวเดี๋ยวก็เปิดเทอมอีกแล้ว...จะเป็นจะตายต่อไปอีกเทอม...พอมาดูจริงๆ แล้วเรียน
ปริญญาตรีเราจะได้เห็นเกรดตัวเองหลักๆ ก็ 8 ครั้ง โอ้โห เวลา 4 ปี จะยอมให้ตัวเองมีความสุขใหญ่ๆ แค่ 8 ครั้ง ก็ดู
เป็นชีวิตที่เศร้าสร้อยไปหน่อยนะคะ ดังนั้น การกลับมาปรับ "วิถี" ให้เรามีสุขขึ้นในระหว่างทางกลับทำให้ดัชนีความ
สุขมวลรวมของชีวิตเราพุ่งสูงขึ้นอีกมาก เมื่อหารเฉลี่ยแล้วทั้งชีวิตเราน่าจะมีความสุขขึ้นอีกมากนะคะ ....เดี๋ยว
นี้หนูดีเลยมีกฎในการใช้ชีวิตว่า "วิถี คือ เป้าหมาย" พูดง่ายๆ ว่าการทำใจให้เป็นสุขเป็นประจำวัน มีสุขในทุกวิถี
นั่นแหละคือเป้าหมาย ส่วนเป้าหมายใหญ่ๆ ภายนอกก็ยังมีอยู่ค่ะ ไม่ได้ทิ้งหายไปไหน หนูดียังคงวางแผนชีวิตและมีเป้า
หมายที่ชัดเจนอยู่เช่นเดิม...อาจจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำเพราะเป้าหมายเหล่านั้นไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะตัวหนูดีคน
เดียวอีกต่อไปแล้ว แต่ยังรวมคนอื่นๆ ในสังคมเข้ามาอีกด้วย และหนูดีไม่รอให้ "เป้าหมายสำเร็จ" แล้วค่อยเป็นสุข...
ไม่มีกฎอะไรกำหนดนี่คะว่าต้องรอ ก็เลยขอเป็นสุขเรื่อยๆ ดีกว่า

ท่าน ติช นัท ฮันท์ พูดเรื่องนี้ไว้ดีมาก...หนูดีเอามาเขียนเตือนใจตัวเองหน้าหนังสือ "ขอบคุณสรรพสิ่ง"
ที่เขียนก่อนนอนเลยค่ะว่า "ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ แต่ปาฏิหาริย์ คือ การเดินอยู่บนผืน
ดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว" หนูดีเห็นด้วยอย่างมาก เพราะชีวิตเราเต็มไปด้วยเรื่อง "ธรรมดา" เช่น ตื่นมาอาบน้ำ
แปรงฟัน ขับรถไปทำงาน กินอาหารเที่ยงกับเพื่อนในที่เดิมๆ ตอนเย็นกลับมาก็เห็นหน้าภรรยาหรือสามีคนเดิมๆ ใส่ชุด
ธรรมดาๆ...หน้าตาเราหรือก็ธรรมดาๆ...ใช่ค่ะ เราส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนธรรมดาๆ มีชีวิตธรรมดาๆ กันทั้งนั้นแต่ถ้าความ
"ธรรมดา" นี้หมดไปล่ะคะ เช่น อยู่ดีๆ ลูกเราเกิดเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือสามีเราถูกรถชนตาย หรือเราถูกไล่ออก
จากงานที่เราเบื่อแสนเบื่อ...เรื่องก็จะ "ไม่ธรรมดา" ไปในทันที และในเวลานั้นเอง เราจะหวนมาคิดเสียดายความ "
ธรรมดา" จนใจแทบจะขาด...หนูดีไม่ได้พูดเองเออเองนะคะ แต่เพราะหนูดีอยู่ในอาชีพที่ได้เห็นความพลัดพรากสูญเสียใน
ครอบครัวมาเยอะมาก จนเกิดเป็นกฎประจำใจเลยว่า ให้เรารีบชื่นชมกับความ "ธรรมดา" ที่เรามีและใช้ชีวิตประหนึ่งว่า
สิ่งนั้นคือ สิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล เพราะสิ่งธรรมดาๆ แท้จริงแล้วคือสิ่งที่พิเศษที่สุดแล้วค่ะ

วันนี้ หนูดีขอชวนแฟนๆ คอลัมน์ลองมองหาสิ่งธรรมดาๆ สักสองสามสิ่งที่เรามองข้ามไปแล้วลองคิดขอบคุณเขาไหมคะ
เช่น วันนี้เราไม่ปวดฟันเลย ขอบคุณฟันที่อยู่อย่างปกติ หรือวันนี้ลูกของเรายังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า เรามีความ
สุขจัง หรือแม้แต่ วันนี้รถของเรายังไม่ถูกชน โชคดีจังเลย...เรื่องสุดท้ายนี่หนูดีคิดเป็นประจำเลยค่ะ เพราะในโลก
นี้ หนูดีเป็นหนึ่งในคนที่รถชอบโดนชนประจำขนาดขับช้าเหมือนเต่าคลาน ดังนั้น หากวันไหนรถหนูดีอยู่ในสภาพสมบูรณ์
แค่ได้มองเห็น ก็เป็นสุขแล้วค่ะ .

..สุขสันต์วันธรรมดาๆ อีกวันหนึ่งนะคะ ขอให้ทำงานอย่างเป็นสุขค่ะ


________________________________