Pineapple TH-PH

Done

Friday, October 31, 2008

ใบลาออกจากความทุกข์

ใบลาออกจากความทุกข์
ไม่สำคัญว่า . . . มีทรัพย์มากหรือน้อย
แต่สิ่งสำคัญ คือ . . . ต้องใช้ให้น้อยต่างหาก . . .
. . . ชีวิตจึงจะมีเหลือมากกว่าขาด . . .

คนจนยิ่งจน . . . เพราะทำรวย . . .
คนรวยยิ่งรวย . . . เพราะทำจน . . .
. . . ทำตัวให้เป็นปกติ . . . ใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น . . .
. . . ชีวิตก็จะเป็นปกติ . . .

. . . ไม่ยินดีในสิ่งที่ตนได้ . . .
. . . ไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี . . .
. . . เป็นคนอาภัพอับโชคที่สุดในโลก . . .

. . . ยินดีในสิ่งที่ตนได้ . . .
. . . พอใจในสิ่งที่ตนมี . . .
. . . เป็นคนโชคดีที่สุดในโลก . . .

อดทนได้ . . . จงอดทน
อดใจได้ . . . จงอดใจ
. . . ไม่อดทน ไม่อดใจ . . . เรื่องเล็กจักกลายเป็นเรื่องใหญ่

คนที่มีความสุข มิใช่คนที่มีมากที่สุด
. . . แต่เป็นคนที่ต้องการน้อยที่สุด . . .
ยิ่งมีความต้องการน้อยลง
. . . สมบัติที่มีอยู่เดิม . . . ก็ดูเหมือนมีมากขึ้น . . .

ความสุขหรือความทุกข์ของชีวิต
บางครั้งเหมือนการมองผ่านกระจก
. . . หากกระจกใสสะอาด . . . เมื่อมองสิ่งใดย่อมมีแต่ความสุข
. . . ปราศจากความขุ่นมัว . . . หากกระจกขุ่นมัว
เมื่อมองสิ่งใด . . . แม้เป็นสิ่งเดียวกัน . . . ก็มีแต่ความทุกข์ใจ
จงจำไว้ว่า . . . ความสุขอยู่ไม่ไกล
เพียงเช็ดกระจกให้ใส
เช็ดใจให้สะอาดเท่านั้นเอง

ทุกข์อยู่ที่ใจ . . . ทุกข์ของใครก็ของมัน . . .

ทุกข์อยู่ที่ใจ . . . ใครจะเก็บไว้ก็ช่างมัน . . .

สุขอยู่ที่ใจ . . . ฉันเก็บมันไว้ทุกวัน . . .

สุขอยู่ที่ใจ . . . ฉันจะให้กันและกัน

Thursday, October 30, 2008

ความสุข อยู่ทางนี้

 หนังสือ time magazine บอกว่าที่อเมริกา ได้มีงานวิจัย พบว่า

 คนที่มีความสุขมากที่สุดในโลก ก็คือพระในทางพุทธศาสนา

 โดยทดสอบด้วยการสแกนสมองของพระที่ ทำสมาธิ และได้ผลลัพธ์ ออกมาว่า

 เป็นจริง..                                                                

 

 หลักความเชื่อของศาสนาพุทธ ก็คือ เหตุที่ทำให้เกิดความสุข นั้นก็คือ

 อยู่กับปัจจุบันขณะ ปล่อยวางได้ในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว

 ควบคุมความอยากที่ไม่มีสิ้นสุด ไม่ใช้ความรุนแรง

 ไม่ทะเลาะ และใช้หลัก เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร

 ให้อภัย ตัวเอง และผู้อื่น มีจิตใจเมตตากรุณา และเสียสละเพื่อผู้อื่น 

 

 อริยะสัจ 4 สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบและ บอกไว้ ว่าด้วย ทุกข์ สมุทัย

 นิโรธ มรรค แท้จริงแล้วก็คือ ทางเดินไปหาคำว่า "ความสุข"

 เพราะถ้าเมื่อไรเรากำจัด "ความทุกข์" ได้แล้ว ความสุขก็จะเกิดขึ้นทันที                                                                

 

 อุปสรรคของความสุข ก็คือ แรงปรารถนา และตัณหา พระอาจารย์บอกว่า

 คนเราจะมีความสุขมันไม่ขึ้นอยู่กับว่า "มีเท่าไร" แต่ขึ้นอยู่ที่ว่าเรา "พอเมื่อไร"

 ความสุขไม่ได้ขึ้นกับจำนวนสิ่งของที่เรามีหรือเราได้...                                                                

 

 ท่านสังเกตเอาจากชาวนาที่ จ อุบล ถ้าบ้านไหนมีควายไว้ช่วยทำนา 1ตัว

 บ้านนั้นจะมีความสุข แต่เมื่อไร ที่ชาวนาคนไหนอยากจะได้ ควาย ตัวที่2 ปั๊ป

 ชาวนาคนนั้นจะไม่มีความสุข เลย         

 

 เพราะต้องเริ่มคิดว่าจะทำไงดีถึงจะได้ควายอีกสักตัว เราก็เหมือนกัน

 เมื่อไรที่เรา อยากได้รถคันใหม่ อยากได้บ้านใหม่ อยากไปเที่ยว

 อยากจะมัดใจไอ้หมอนั้น ให้ได้ (อิอิ) ฯลฯ เราจะเริ่มเป็นทุกข์

 เพราะเราต้อง คิดหาทางที่จะเอามันมาให้ได้ มาเป็นของเรา..                     

                                                                         

 ดังนั้นวิธีจะมีความสุข อันดับแรก ต้อง "หยุดให้เป็น และพอใจให้ได้" ถ้าเราไม่หยุดความอยาก   

 (ที่มากเกินไป) ของเราแล้วละก็ เราก็จะต้องวิ่งไล่ตาม หลายสิ่งที่เรา"อยากได้" แล้วนั่นมัน    

 เหนื่อย!!!และความทุกข์ ก็จะตามมา...                                          

 

 ข้อต่อมาที่ทำให้เราเป็นสุข คือ การมองทุกอย่างใน แง่บวก

 เมื่อเสร็จงานแล้วกลับถึงบ้าน คนที่บ้าน

 ถามว่า วันนี้เป็นไงบ้าง ? ส่วนใหญ่เราจะตอบว่า "โดนบอสด่ามา วุ่นวาย ลูกค้า งี่เง่า ฯลฯ"ทำไม

 เราถึงชอบคิดถึงแต่เรืองไม่ดี                                                   

 

 ในชีวิตแต่ละวัน แน่นอน เราต้องเจอทั้งเรื่องดี และไม่ดี

 แต่ถ้าเราอยากจะมีความสุขเราต้องเริ่ม 

 ด้วยการมองแต่สิ่งดีๆ มองให้เป็นบวก เพื่อที่ใจเราจะได้เป็นบวก คิดถึงสิ่งที่เราทำสำเร็จแล้วในวันนี้

 สิ่งดีๆที่เราได้ทำ....                                                        

                                                                          

 ข้อต่อมาคือ การให้ หมายรวมถึงการให้ในรูปแบบสิ่งของหรือ เงิน เรียกว่าบริจาค และการให้   

 ความเมตตา กรุณาต่อกัน ให้อภัย ทั้งตัวเอง และคนอื่น สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ เป็นปัจจัย ทำให้เรามี

 ความสุข....                                                               

 

 การปล่อยวาง ให้ได้ ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าเรื่องจะร้ายแรง 

 และเศร้าโศกเพียงใด จำไว้ว่า มันจะโดนเวลาพัดพามันไปจากเราไม่ช้าก็เร็ว เราจะผ่านพ้น    

 ไปได้....                                                                 

 

 และยอมรับในความเป็นจริงของชีวิต ไม่ว่า จะเป็นเรื่องที่เราไม่ชอบเพียงใด

 ไม่ว่า ผิดหวัง สูญเสีย เจ็บป่วย ล้วนแล้วแต่ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา

 เราทุกคนต้องได้ผ่าน บททดสอบนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะเป็นใคร...                                                               

 

 ขอให้เรารักษาใจเราให้เป็นสุข อยู่เสมอ เพราะความสุข มันอยู่ใกล้แค่นี้เอง แค่ที่ ใจของเรานี่

Sunday, October 26, 2008

คู่มือการดำเนินชีวิต...

 

ชัยชนะที่ยั่งยืน : การกำจัดศัตรูที่ดีที่สุดก็คือการเปลี่ยนเขามาเป็นมิตรนั่นเอง

ชัยชนะที่ยั่งยืน


ในการอบรมคราวหนึ่ง วิทยากรได้ชูกำปั้นขึ้น และเชิญชวนให้ทุกคนใน
ห้องหาทางทำให้
เขาแบมือออกมา คนแล้วคนเล่าลุกขึ้นมางัดแงะกำปั้นของเขา พยายามดึงนิ้วของเขา
ให้ถ่างออก หรือไม่
ก็บีบข้อมือของเขาโดยหวังว่าความเจ็บปวดจะทำให้เขาคลายกำปั้น แต่ก็ไม่ได้ผล

ถ้าเป็นคุณ จะทำอย่างไร ?

ชายผู้หนึ่งเดินตรงมาหาเขาด้วยหน้าตายิ้มแย้ม แล้วก็พนมมือไหว้ เขา
ยกมือไหว้ตอบทันที
สักพักคนในห้องจึงสังเกตว่ากำปั้นของเขาได้คลายออกแล้ว

โดยไม่ได้ใช้กำลังอย่างคนอื่นๆ เลย ชายผู้นี้สามารถทำให้วิทยากรคลาย
กำปั้นออกมาได้
เขาเพียงแต่แสดงไมตรีด้วยการพนมมือไหว้เท่านั้น

คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่คิดอย่างชายผู้นี้ ถ้าใช่ค ุณเป็นคนส่วน
น้อยมากๆ เพราะจาก
ประสบการณ์ของวิทยากร คนส่วนใหญ่คิดแต่การเอาชนะเขาด้วยกำลัง ไม่ว่าหญิงหรือ
ชาย เด็กหรือผู้ใหญ่
มีไม่กี่คนที่คิดจะชนะใจเขา ถ้าไม่ด้วยการไหว้ ก็ด้วยการยื่นดอกไม้หรือยื่นมือ
มาทักทายเขา

กิจกรรมเล็กๆ นี้บอกอะไรบ้างไหมเกี่ยวกับวิธีคิดของผู้คนส่วนใหญ่ใน
เวลานี้ ใช่หรือไม่ว่า
เราคิดถึงการใช้กำลังมากกว่าวิธีการที่สันติ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นกับใครก็ตาม
เราคิดแต่จะเอาชนะด้วย
กำลังยิ่งกว่าการชนะใจ แต่กิจกรรมเดียวกันนี้เองก็บอกเราว่าวิธีการที่สันติ
นั้นสามารถแก้ปัญหาได้ดีกว่า
แม้ในกรณีที่ดูเหมือนว่าต้องใช้กำลังเท่านั้นเป็นทางออก การใช้ไมตรีนั้นสามารถ
ทำให้อีกฝ่าย
'ยอมจำนน' ได้ หรือพูดให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือ 'ชนะ'ทั้งสองฝ่าย เพราะขณะที่
วิทยากรได้มิตรภาพ อีก
ฝ่ายก็สามารถคลายกำปั้นเจ้าปัญหาออกมาได้

จริงอยู่กิจกรรมนี้เป็นแค่เกม ในชีวิตจริงเราคงไม่คิดจะใช้กำลังแก้
ปัญหากับใคร แต่เชื่อ
หรือไม่ว่าเมื่อมีข้อขัดแย้งกับใคร คนส่วนใหญ่นิยมใช้วิธี 'แรงมาก็แรงไป' ถ้า
เขาโกรธมา ก็โกรธไป
ด่ามา ก็ด่าไป การใช้วิธีที่นุ่มนวลหรือใช้ความดีเข้าเผชิญมักจะถูกมองข้ามไป
หรือถูกบอกปัดไปเพราะ
เข้าใจว่าไม่ได้ผล แต่ในความเป็นจริงวิธีการดังกล่าวก็ได้ผลไม่น้อยไปกว่าในเกม
'คลายกำปั้น' ข้าง
ต้น

สตีเวน สปีลเบิร์ก ผู้กำกับและนักสร้างหนังชื่อดังแห่งฮอลลีวู้ด
เล่าว่าเมื่ออายุ 13 ปี ชีวิต
ของเขาเหมือนตกอยู่ในนรก เพราะที่โรงเรียนมีอันธพาลวัย 15 คนหนึ่งชอบทำร้ายเขา
ทั้งทุบตีและ
ขว้างปาระเบิดไข่เน่าใส่เขา เขาทนสภาพนี้อยู่นาน แล้ววันหนึ่งเขาก็เข้าไปหา
อันธพาลคนนั้นและพูดว่า
'เธอรู้ไหม ฉันกำลังถ่ายทำหนังเรื่องสู้กับนาซี เธออยากเล่นบทพระเอกไหม' ทีแรก
อันธพาลหัวเราะใส่
เขา แต่ในที่สุดก็ตกลง สปีลเบิร์กเล่าว่า หลังจากถ่ายทำวีดีโอเสร็จ อันธพาลคน
นั้นได้กลายมาเป็นเพื่อน
สนิทของเขา

การที่สปีลเบิร์กให้การยอมรับเขาและเปิดโอกาสให้เขาได้เป็นพระเอก มี
ส่วนสำคัญในการ
เปลี่ยนเขาจ าก 'ศัตรู' ให้กลายเป็นมิตรได้ เพราะลึกๆ วัยรุ่นคนนั้นก็ไม่ได้
ต้องการอะไรมากไปกว่า
การได้รับความยอมรับ สปีลเบิร์กชนะใจเขาด้วยการยื่นไมตรีให้แทนที่จะตั้งตัว
เป็นศัตรูหรือยอมจำนนต่อ
อำนาจบาตรใหญ่ของเขา

น้ำใจไมตรีไม่เพียงแปรเปลี่ยนความขัดแย้งให้คลี่คลายไปในทางที่ดี
เท่านั้น หากยังสามารถ
เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ด้วย

นักธุรกิจไทยผู้หนึ่งได้เล่าถึงประสบการณ์เมื่อครั้งไปเรียนหนังสือ
ในเมืองบอสตันว่า เธอ
เคยถูกคนผิวดำล็อกคอและเอามีดจี้ขณะรอสัญญาณไฟเขียวบนเกาะหน้ามหาวิทยาลัย
เมื่อโจรพบว่าใน
กระเป๋าของเธอมีเงินแค่ 20 ดอลลาร์ ก็ไม่พอใจ เขาขุ่นเคืองหนักขึ้นเมื่อพบว่า
เธอไม่มีนาฬิกา แหวน
และกำไลเลยสักอย่าง เขาจึงถามเธอว่า 'เป็นคนเอเชียมาเรียนที่นี่ได้ก็ต้องรวย
ไม่ใช่หรือ' เธอตอบ
ว่า 'สำหรับฉันน่ะไม่ใช่ เพราะได้ทุนมา' แล้วโจรก็ย้อนกลับมาถามถึงเงิน 20
ดอลลาร์ว่าจะเอาไปทำ
อะไร เธอตอบว่า เอาไปซื้อไข่ เขาถามเธอว่าเอาไข่ไปทำอ ะไร 'เอาไปต้มกินได้ทั้ง
อาทิตย์' เธอ
ตอบตามความจริงเพราะตอนนั้นการเงินฝืดเคือง

ระหว่างที่โต้ตอบกันอยู่นั้น ยามหน้ามหาวิทยาลัยเห็นผิดสังเกต จึงยก
หูโทรศัพท์เรียกตำรวจ
เธอมองเห็นพอดีก็เลยโบกมือว่า 'ไม่ต้องๆ เราเป็นเพื่อนกัน' โจรได้ยินเช่นนั้น
ก็งง ถามว่า
'คุณรู้จักกับผมตั้งแต่เมื่อไหร่' 'ก็เมื่อกี้ไง' เธอตอบ

โจรเปลี่ยนท่าทีไปทันที หลังจากสนทนาพักใหญ่ โจรไม่เพียงแต่จะคืน
เงินให้เธอ หากยังพา
เธอไปซื้อไข่และซื้ออาหาร 3 ถุงใหญ่ พร้อมทั้งหิ้วมาส่งถึงหน้ามหาวิทยาลัย
แล้วยังแถมเงินอีก 50
ดอลลาร์

เรื่องนี้ยังไม่จบเพราะวันรุ่งขึ้นเธอนำเงิน 50 ดอลลาร์นั้นไปซื้อ
เครื่องปรุงอาหารไทย
แล้วไปเยี่ยมบ้านเขาเพื่อทำต้มยำกุ้งให้กินกันทั้งครอบครัว นับแต่นั้นทั้งสอง
ฝ่ายก็ไปมาหาสู่กัน เธอเล่าว่า
ทุกวันนี้หากมีธุระไปบอสตันก็จะไปแวะเยี่ยมครอบครัวนี้ทุกครั้ง

น้ำใจไมตรีและความดีนั้นมีพลังที่สามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี และ
เปลี่ยนภัย
คุกคามให้เป็นสะพานสานมิตรภาพได้ ใช่หรือไม่ว่าการกำจัดศัตรูที่ดีที่สุดก็คือ
การเปลี่ยนเขามาเป็นมิตรนั่น
เอง นี้คือชัยชนะที่ให้ผลยั่งยืนกว่าชัยชนะด้วยกำลังที่เหนือกว่า

Friday, October 24, 2008

กระป๋อง 2 ใบ

ข้อคิดดี ๆๆๆๆๆที่ต้องอ่าน

ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่าเพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร
ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ
และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง...แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกล
จากลำธารกลับสู่บ้าน....จึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตกเหลืออยู่เพียง
ครึ่งเดียว
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา 2 ปีเต็มที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำ
กลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง....ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึก
ภาคภูมิใจ
ในผลงานเป็นอย่างยิ่ง ...ขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึก อับอายต่อ
ความบกพร่องของตัวเอง

มันรู้สึกโศกเศร้ากับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียวของจุด
ประสงค์ ที่มันถูกสร้างขึ้นมา


หลังจากเวลา 2 ปี… ที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่าเป็นความล้มเหลวอันขม
ขื่น
วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า 'ข้ารู้สึกอับอายตัวเองเป็น
เพราะ
รอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้าที่ทำให้น้ำที่อยู่ข้างในไหลออกมาตลอดเส้นทาง ที่
กลับไปยังบ้านของท่าน'

คนตักน้ำตอบว่า 'เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่ามีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางใน
ด้านของเจ้า...

แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่งเพราะข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแตกอยู่....
ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ลงข้างทางเดินด้านของเจ้าและทุกวันที่เรา
เดินกลับ...
เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเล็ดพันธุ์เหล่านั้น
เป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้สวย ๆ เหล่านั้นกลับมาแต่งโต๊ะกิน
ข้าว
ถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว..เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบ
นี้ได้'

คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง...
แต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้น
อาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจ และกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิต
ได้....
สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับคนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น..
และมองหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง

Friday, October 3, 2008

12 Techniques to Stop Worrying

How Can You Stop or Reduce Your Worries?

“Worry a little bit every day and in a lifetime you will lose a couple of years. If something is wrong, fix it if you can. But train yourself not to worry. Worry never fixes anything.” - Mary Hemingway

1. Prepare for the worst - Hope for the best. This comes right from the advice of Dale Carnegie in “How to Stop Worrying and Start Living”. Accept the worst possible outcome and then take action to improve upon the worst.

2. Get Busy. When you find yourself beginning to worry - get busy on your to-do list. If you don’t have a list - then write one. List your goals and the action steps required to meet them. One of the benefits of your to-do list is you will stop worrying about forgetting something important.

3. Distract Yourself. Call a friend. Read a good book. Watch a funny movie. Take the kids to the park. Take a walk. There’s dozens of things you can do.

4. Get Support. Friends and family can be an excellent source of support. Especially if they will tell you how they see things. Sometimes just talking things out, helps the worry go away.

5. Make a Decision. If you’re worrying about an unresolved personal or business issue - then it’s time to make a decision. Once you decide what to do, you can begin taking steps for the best possible outcome.

6. Confront the Problem Head-On. It’s usually not the problem itself that is causing your worry. It’s usually the anticipation of the problem. How will others be affected or react? Deal with the problem as soon as possible.

7. Practice Relaxing. It is important that you take time to totally relax. Close your eyes take long deep breaths in through your nose and out through your mouth. With each breath tell yourself to relax. It just takes a couple of minutes of this exercise for the tension to leave your body.

8. Listen to CDs. This can be your favorite music, brainwave CDs or behavior modification tapes that are designed to dissolve worry and anxiety. (These do not have to be self-hypnotizing or subliminal - but of course you can choose these types of tapes.)

9. Journal. After writing down everything they are worried about in a journal, most people feel a sense of relief. In writing you may have discovered what you are really afraid of, and then you can objectively work on improving the situation.

10. Take Care of Yourself. Get plenty of rest. Eat a healthy diet and exercise. When you nurture your body and mind, it’s easier to put things in perspective. It’s easier to cope with the unexpected.

11. Count Your Blessings. You have a lot to be thankful for. Look around you … We live in a beautiful world. You can be thankful for your health, your family, your mind, your country, your house, your job, your TV or even your microwave!

12. Monitor Your Thoughts. Be aware of your thoughts and be ready to replace worries with positive thoughts. Be prepared with a positive thought or quote, such as “Calmness is the cradle of power” (Josiah Gilbert Holland).