Pineapple TH-PH

Done

Monday, February 16, 2009

ไอน์สไตน์ถาม พระพุทธเจ้าตอบ

ไอน์สไตน์ ผู้ที่โลกยกย่องว่าเป็น ยอดอัจฉริยะ ได้ตั้งคำถามที่น่าสนใจบางอย่างไว้ซึ่งยังหาคำตอบไม่ได้  แต่ผู้เขียนบอกว่าคำตอบนั้นแท้ที่จริง มีผู้ตอบไว้แล้วนั่นคือ "พระพุทธเจ้า"  และที่สำคัญที่สุด คำตอบนี้เป็นคำตอบของมนุษยชาติ  เป็นคำตอบของคนทุกคน ไม่เว้นชนชาติหรือภาษาใดๆในโลก

 

ผู้รู้จริงย่อมพูดเรื่องเดียวเท่านั้น คือ เรื่องการพาคนไปให้ถึงพระนิพพาน และผู้รู้จริงเท่านั้นจึงรู้ว่า ความรู้ทางโลก เช่น ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่แม้ชาวโลกเห็นพ้องต้องกันว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการดำรงอยู่ของชีวิตนั้น ก็ยังไม่มีความสำคัญมากเท่ากับความรู้เรื่องการดับทุกข์หรือการเข้าถึงพระนิพพาน

 

 

 

เรื่องจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของเวลาเป็นคำถามประเภท อจินไตย ไม่จำเป็นต้องรู้

 

ตราบใดที่เป็นเรื่องการขบคิดแก้ปัญหาด้วยวิธีการของสมองแล้วไซร้ การแก้ปัญหาที่แท้จริงจะไม่เกิด

 

ทำไมอัจฉริยบุคคลจึงชอบงานเรียบง่าย

สาเหตุที่ว่าทำไมคนในระดับอัจฉริยะเหล่านี้จึงเลือกที่จะทำงานเรียบง่ายที่สังคมมักจะให้คุณค่าว่าเป็นงานต่ำ เพราะคนที่มีไอคิวสูงเหล่านี้รู้ข้อเท็จจริงว่า เมื่อประตูแห่งความรู้หนึ่งเปิดออกนั้น มันเพียงเปิดให้เราก้าวไปสู่อีกประตูหนึ่งที่อยู่ถัดไปเท่านั้นเอง และก็เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ตราบใดที่เป็นเรื่องการขบคิดแก้ปัญหาด้วยวิธีการของสมองแล้วไซร้ การแก้ปัญหาที่แท้จริงจะไม่เกิด

 

ไอน์สไตน์เป็นคนพูดเองว่า

"ถ้าผมสามารถเลือกใช้ชีวิตได้อีก คราวนี้ผมจะเลือกเป็นนายช่างซ่อมท่อประปา"

 

หากไม่มีความรู้ในขั้นแตกหัก ที่เป็น Absolute Truth การนำทางที่ถูกต้องย่อมไม่มี การเดินทางเพื่อให้ถึงเป้าหมายปลายทางของชีวิตที่แท้จริงย่อมไม่เกิด ความรู้ทุกอย่างจะเป็นการรู้อย่างสัมพัทธ์ ไม่มีการรู้อะไรที่จริงแท้เลย 

 

จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากพระพุทธเจ้า

จำเป็นต้องทำอย่างมีหลักการ จำเป็นต้องมีผู้รู้จริงมาบอกให้ และพระพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์ผู้รู้จริงท่านแรกในโลกที่สามารถบอกเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้ว่า จะทำอย่างไรจึงจะทำให้ความคิดหลุดออกและว่างจากหัวของเราได้ เพื่อว่าในขณะนั้น ๆ เราจะได้นำรถไฟชีวิตวิ่งไปให้ได้ระดับเดียวกับรถไฟขบวนพระเจ้าหรือพระนิพพาน

 

 

เรื่องรถไฟสองขบวนนี้เป็นเพียงสิ่งเปรียบเทียบเท่านั้น

 

ความรู้ทางโลกทั้งหมดที่คุณกำลังไขว่คว้าด้วยความเครียดเพื่อให้ได้ปริญญามาอย่างยากลำบากนั้น ล้วนเป็นเรื่องของการศึกษาที่ติดอยู่ในกล่องเวลาทั้งสิ้น ยังไม่ได้เข้าใกล้สัจธรรม ความรู้ทางโลกก็ยังสำคัญและยังจำเป็นอยู่อย่างแน่นอน เพียงแต่ว่า ถ้าจะให้ดีที่สุดแล้ว ควรเรียนเคียงคู่ไปกับความรู้ของพระพุทธเจ้าด้วยเท่านั้น ก็จะสมบูรณ์ ไม่แตกซ่าน ไม่สร้างปัญหา ไม่เป็นความรู้เหมือนดาบสองคม

 

สัจธรรมไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยการคิดหรือด้วยการคิดแบบปรัชญา

ประสบการณ์ของพระเจ้าและพระนิพพานนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องของการจินตนาการด้วยความคิดนึกแต่อย่างใด

แต่เป็นเรื่องการมีประสบการณ์

 

ของอัลเบร์ต ไอน์สไตน์ ที่ได้ตั้งคำถามที่สำคัญมากที่สุดแทนมนุษยชาติ นั่นคือ อะไรคือจุดคงที่อันเป็นอนันตยะที่สมบูรณ์ของจักรวาล What is the absolute ruling point in nature?

 

หากไอน์สไสตน์สามารถหาจุดปกติของจักรวาลที่อยู่อย่างคงทนถาวร มีค่าสมบูรณ์ ไม่เปลี่ยนแปลงได้แล้ว เขาจะสามารถใช้จุดปกตินั้นเป็นมาตรฐานการวัดสิ่งต่าง ๆ ได้ และย่อมทำให้ผลของการวัดอะไรต่าง ๆ คงที่ ปกติ ได้ผลเหมือนกันหมด absolute value ไม่ว่าจะวัดจากจุดไหนของจักรวาล

 

อย่างไรก็ตาม ไอน์สไตน์ไม่สามารถหาจุดคงที่อันถาวรของจักรวาลได้ เพราะว่า สิ่งต่าง ๆ ที่แม้ดูนิ่ง ๆ บนโลก ไม่เคลื่อนไหวก็ตาม แต่ที่จริงแล้ว มันไม่ได้อยู่นิ่งจริง เพราะโลกกำลังหมุนอยู่ เมื่อดูในวงกว้างออกไปจากนอกโลก ก็พบว่าระบบสุริยะจักรวาลก็กำลังเคลื่อนอยู่ แกแลกซี่ของเราและอื่น ๆ ก็กำลังเคลื่อนอยู่ ตลอดจนถึงจักรวาลทั้งหมดก็กำลังเคลื่อนไปอย่างไม่หยุดยั้ง จึงทำให้ไอน์สไตน์สรุปว่าไม่มีจุดนิ่งหรือจุดปกติที่สามารถให้คุณค่าที่เที่ยงแท้ถาวรอย่างแท้จริงในจักรวาล เพราะทุกอย่างเคลื่อนที่อย่างไม่หยุดยั้ง

 

ความคิดหลักของทฤษฎีสัมพัทธภาพเป็นเรื่องครอบจักรวาล ครอบคลุมทุกเรื่องของชีวิต  เพราะความคิดทั้งหมดเหล่านี้สัมพันกับเรื่องอนิจจังและพระนิพพานของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นเรื่องครอบจักรวาลเช่นกัน 

 

เพราะไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งสมบูรณ์ คงที่ และปติ อันจะใช้เป็นมาตรฐานของการวัดสิ่งต่าง ๆ ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างจึงต้องวัดกันอย่างเปรียบเทียบ หรือ สัมพัทธ์กันเช่นนี้  จึงก่อให้เกิดคำวลีภาษาอังกฤษว่า relatively speaking หรือ พูดอย่างสัมพัทธ์ ซึ่งเป็นวลีที่ใช้กันบ่อยมากในชีวิตประจำวัน เพราะต้องพูดให้รู้เรื่องก่อนว่าเอาอะไรเป็นหลัก มิเช่นนั้น เถียงกันตาย แต่ถ้าหากเรารู้จุดคงที่ของจักรวาล วิถีชีวิตของเราจะต้องเปลี่ยนไปเป็นอีกลักษณะหนึ่ง

 

ผู้รู้สัจธรรมจริงจะพูดเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น คือ พูดชักชวนคนไปนิพพาน

 

พระพุทธเจ้าสอนอยู่เรื่องเดียว ก็คือการไม่เกิดแห่งทุกข์ หรือ พระนิพพาน ซึ่งอยู่เบื้องหน้านี่เอง ที่นี่ และ เดี่ยวนี้

 

สติปัฏฐานสี่คือคำตอบ

สภาพเดิม =จิตใจ  = จิตอยู่คู่กับใจ โดยจิตเป็นนายเหนือใจ คอยสั่งการ ดึงใจลงต่ำ

สภาพใหม่ = ใจ แยกจาก จิต 

แยก ใจ(วิญญาณขันธ์) ออกจาก ส่วนของ จิต (ความคิด=สังขาร, ความจำ=สัญญา, ความรู้สึก=เวทนา) ที่เจ็บป่วยและมีมลทินจากการรับสัมผัสกับผัสสะที่ไม่บริสุทธุ์ที่เป็นมายา (=อนิจจัง =อนัตตา = ไม่เที่ยง=เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป) หลอกล่อชีวิตจาก ทั้ง 5 ทาง (ภาพ=เข้าทางตา, เสียง=เข้าทางหู, กลิ่น=เข้าทางจมูก, รส=เข้าทางลิ้น, สัมผัส=เข้าทางกาย) และพาตัวใจกลับบ้าน Bringing your mental self back home. เมื่อนั้น ความคิด(สังขารขันธ์) ความจำ(สัญญาขันธ์) ความรู้สึก(เวทนาขันธ์) ซึ่งเป็นกล่องเวลาของอดีตและอนาคตก็จะหลุดลุ่ยออกจากหัวของเรา ทำให้ตัวใจของเราว่างจาก จิต หรือความคิด จึงทำให้เราสามารถมายืนอยู่ต่อหน้าพระนิพพาน หรือ พระเจ้า หรือ สัจธรรมอันสูงสุดได้ทันที ณ ที่นี่ และเดี๋ยวนี้

 

แก่นสารของชีวิตอยู่ที่ ที่นี่ และ เดี๋ยวนี้

 

ทฤษฎีเอกภาพของไอน์สไตน์ก็คือการคิดเรื่องสัจธรรมนั่นเอง แต่เขาขาดผู้รู้ที่จะถ่ายทอดความคิดของพระพุทธเจ้าให้ฟัง จึงต้องเสียเวลาทั้งหมดในช่วง 30 ปีสุดท้ายของชีวิตเพื่อค้นหาทฤษฎีเอกภาพ (=สัจจะธรรม = นิพพาน = พระเจ้า = สิ่งสุงสุด) แต่ก็ไม่พบ

 

 

น่าเสียดายที่ไอน์สไตน์ไม่ได้เกิดในเมืองพุทธ มิเช่นนั้น อัจฉริยะบุคคลผู้นี้อาจจะสามารถเปลี่ยนโฉมหน้าของโลกยุคใหม่ให้เป็นโลกที่น่าอยู่มากกว่านี้ก็เป็นได้ ความเป็นอัจฉริยบุคคลของเขาบวกกับความรู้เรื่องสติปัฏฐานสี่ย่อมสามารถก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ในแง่ของการสร้างสรรค์อารยธรรมที่เอื้ออำนวยให้มนุษย์หันเข้าหาสัจธรรมได้อย่างแท้จริง

 

ไอน์สไตน์ได้ทิ้งไว้แต่ 2 ทฤษฎีแรกที่ค้นพบซึ่งเป็นส่วนที่สัจจธรรม จะต้องกำจัดออก จนทำให้โลกเข้าสู่รุ่งอรุณแห่งมิคสัญญี

คือทฤษฎีสัมพัทธภาพ และกลศาสตร์ควอนตัม

 

ก่อให้เกิดสูตรทางคณิตศาสตร์ e=mc2 ที่ดูเรียบง่ายแต่ซับซ้อน รวมทั้งเปิดเผยคุณภาพทั้งฝ่ายดำสนิท (การผลิตระเบิดปรมณู) และฝ่ายขาวอย่างขุ่นมัว (เทคโนโลยี่ทางวัตถุ)ของธรรมชาติ ซึ่งความรู้เหล่านี้ของไอน์สไตน์ได้เปิดโอกาสให้นักฟิสิกส์รุ่นหลังต่อยอดความรู้ของเขาได้อย่างไม่หยุดยั้งจนกลายเป็นความรู้พื้นฐานของการพัฒนาเทคโนโลยี่ทางฝ่ายวัตถุ มาจนทุกวันนี้

 

ไอน์สไตน์ก็ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่อยูู่ในขั้นตอนของการแสวงหาสัจธรรมอันสูงสุดเหมือนมนุษย์คนอื่น ๆ อีกมากมาย สัจธรรมอันสูงสุดนี้ ดิฉันได้พูดแล้วว่าเป็นสภาวะเดียวกับพระนิพพาน พระเจ้า เต๋า ต้นไม้แห่งชีวิต หรือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้  

 

 

ในปี ค.ศ. 1954/๒๔๙๗ ไอน์สไตน์ได้เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง The Human Side ยอมรับเองว่า คำตอบที่เขาต้องการนั้นอาจจะอยู่ในพุทธศาสนาแล้วก็เป็นได้ เขาพูดว่า  

 

        ศาสนาในอนาคตจะเป็นศาสนาที่เนื่องกับจักรวาล  ควรอยู่เหนือพระเจ้าส่วนตัว หลีกเลี่ยงลัทธิกฏเกณฑ์ที่ไร้ข้อพิสูจน์ ควรครอบคลุมทั้งเรื่องธรรมชาติและจิตวิญญาณ ควรตั้งอยู่บนรากฐานของศาสนาที่เกิดจากประสบการณ์ของทุกสิ่งที่สร้างเอกภาพอันมีความหมาย ซึ่งพระพุทธศาสนาดูเหมือนจะมีสิ่งเหล่านี้อยู่ ศาสนาพุทธน่าจะเป็นศาสนาที่สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของยุคสมัยได้

 

จุดคงที่ของจักรวาลที่ไอน์สไตน์ต้องการหาก่อนทฤษฎีสัมพัทธภาพรวมทั้งทฤษฎีเอกภาพที่เขาแสวงหาอยู่ในช่วง ๓๐ ปีสุดท้ายของชีวิตนั้น ไม่ใช่อะไรอื่น  มันคือสภาวะสัจธรรมอันสูงสุดหรือพระนิพพานนั่นเอง ไอน์สไตน์หาไม่พบ เพราะขาดปััจจัยสำคัญ คือ ไม่ได้พบผู้รู้จริง

 

 

จะเป็นการโชคดีมากที่เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา ไอน์สไตน์ยังไม่โชคดี

 

คนมีบารมีในทางธรรม แม้อยู่ไกลเพียงใด ก็ยังหาครูบาอาจารย์พบจนได้ บางคนที่อยู่แสนจะใกล้ชิดครูบาอาจารย์แท้ ๆ แต่กลับไม่ไ่ด้ความรู้อะไรไปเลย น่าเสียดายมาก เรื่องของบุญบารมีนี่ ไม่เข้าใครออกใคร

 

การคิดได้อย่างกว้างขวางของไอน์สไตน์จนทำให้เขาอยู่ในระดับอัจริยะบุคคลแห่งความเป็นนักคิดนั้นไม่มีอะไรซับซ้อนมากไปกว่าการเดินลึกเข้าไปในท่อแห่งความคิดอันมีทางตันเป็นที่สุด

 

สิ่งที่มนุษย์พยายามไขว่คว้าหาอยู่ด้วยความหวังว่าจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นสุขจริง ๆ นั้นจึงเป็นประสบการณ์ที่ไม่สามารถคิดค้นและเข้าถึงได้ด้วยความคิดและการคิดเพียงอย่างเดียว จำเป็นต้องฟังผู้รู้ตามพระพุทธเจ้าเท่านั้น

 

หากระบบการศึกษาของโลกตั้งอยู่บนหลักการของ ศีล สมาธิ ปัญญาแล้ว การเรียนรู้วิชาการทางโลกจะเป็นไปอย่างไม่หลงทิศทางของชีวิต

 

ท่านเหลาจื้อได้พูดว่า ระบบการปกครองที่ดีที่สุดนั้น ชาวบ้านจะไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามีผู้ปกครองอยู่ เพราะทุกคนล้วนทำมาหาเลี้ยงชีพ รับผิดชอบต่อครอบครัวของตน ใช้ชีวิตอย่างปกติธรรมดาซึ่งเป็นการรักษาศีลอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่รู้ว่านั่นคือศีล

 

การวิจัยเรื่องจิตใจของมนุษย์อย่างถูกทางนี้อาจจะสามารถช่วยมนุษยชาติจากวัฒนธรรมยาเสพติดทั้งหลายที่สังคมมนุษย์กำลังติดกับดักมันอยู่ นี่อาจจะเป็นข่าวร้ายต่อผู้หารายได้กับการผลิตและขายยาเสพติด แต่ย่อมเป็นข่าวดีต่อมนุษยชาติโดยส่วนรวม

 

ยุคนี้จึงเป็นสังคมที่กลับหัวกลับหาง คนหมู่มากเห็นดอกบัวเป็นกงจักร และเห็นกงจักรเป็นดอกบัว (ไม่รู้ดี รู้ชั่ว แบบ Absolute Truth เช่น คนที่ลักเล็กขโมยน้อยก็บอกว่า ตัวเองยังเป็นคนดีมีธรรม เพราะถ้าเทียบแบบความดีสัมพัทธ์ ตามทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์แล้วก็สรุปได้ว่า เขาดีกว่าโจรปล้นฆ่า)

 

 

 

 

THE AESTHETIC เมื่อ (ธุรกิจ) ความงามไล่ล่าคุณ !

THE AESTHETIC เมื่อ (ธุรกิจ) ความงามไล่ล่าคุณ !

คอลัมน์ STORY

โดย ทีมงาน DLife

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความใส่ใจในเรื่องสุขภาพร่างกายกลายเป็นแนวโน้มที่ไม่มีวันตาย หรือห่างหายไปจากโลกใบนี้ไม่ว่าจะยุคใดสมัยใด

เพราะยิ่งมนุษย์อยากเอาชนะโรคภัยมากเท่าไร มนุษย์อย่างเราๆ ก็อยากเอาชนะความแก่ชรามากเท่านั้น

ไม่ เพียงแค่ผู้หญิง แต่ผู้ชาย (แท้) ยังเป็นกลุ่มที่หันมาให้ความสนใจกับเรื่องนี้อย่างจริงจังและหนักหน่วง กระแสความต้องการแรงมากถึงขนาดนักการตลาดมองเห็น จึงเกิดเป็นเครื่องสำอาง ตลอดจนธุรกิจบริการที่เปิดทางให้กับผู้ชายมาดแมนทั้งหลายได้ดูดีสมกับที่วาด ฝัน

ผู้หญิงสวยด้วยวิธีใด ผู้ชายก็อยากหล่อด้วยวิธีเหล่านั้น มิน่า...มูลค่าตลาดรวมของธุรกิจคลินิกความงามในบ้านเราจึงไม่ต่ำกว่า 12,000 ล้านบาท

ความงามจึงเป็นเรื่องที่มีพัฒนาการอยู่ตลอดทุกช่วง เวลา และมีการเติบโตอย่างน่าจับตามองที่สุดไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร แต่เทรนด์ความงามดูเหมือนกำลังไล่ล่าคุณ !

ผู้ชายมีนม !

อาจ เพราะยุคนี้เทรนด์การห่วงใยสุขภาพเป็นแนวโน้มแห่งทศวรรษ ทำให้ทั้งเพศหญิงเพศชาย อายุน้อย อายุมาก ต่างต้องหันมาสำรวจตรวจตาตัวเองอย่างถ้วนถี่ว่าร่างกายที่เป็นไปนี้มีสิ่งใด ผิดปกติบ้าง

ไม่แปลกที่คนทั่วโลกและเมืองไทยจะตื่นเต้นกับเรื่องการ เสริมความงามตลอดเวลา แถมช่วงอายุของคนที่หันมาสนใจก็กว้างขึ้น นั่นคือมีตั้งแต่คนอายุน้อยไปจนถึงคนอายุมากๆ ที่หันมายอมรับขึ้น

จากการสำรวจสถิติทางศัลยกรรม พบอัตราเข้าเสริมความงามของผู้หญิงเพิ่มประมาณ 8-10 เปอร์เซ็นต์

แต่ที่น่าสนใจคือ อัตราการเพิ่มของผู้ชายมีตัวเลขพุ่งขึ้นไปถึง 20 เปอร์เซ็นต์ !

โดยเฉพาะประเด็นสำคัญช็อกวงการที่ทำให้ผู้ชายทั่วโลกแทบคลั่งเมื่อจู่ๆ ร่างกายที่เคยแมนมากๆ เกิดมีนมขึ้นมาซะงั้น !

พวกนี้เป็นชายแท้ที่ไม่ใช่เก้ง กวาง หรือตุ๊ด กะเทยที่ไปผ่าตัดเสริมเต้า หรือรับประทานยาคุมเพื่อให้เกิดเนินนม

ผู้ชายที่ว่า เป็นชายแท้ ไม่มีเทียม...

จาก การตั้งสมมติฐานหลายคนมองว่า น่าจะเกิดจากความนิยมรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดโดยเฉพาะไก่ทอดที่มีสารเร่งโต ซึ่งเดิมนั้นอาจจะไม่ปรากฏให้เห็นเนื่องจากผู้ชายยุคก่อนนิยมหุ่นแบบมาด เสี่ยท้วมๆ แต่พอยุคนี้ผู้ชายแท้ๆ เขาหันมาดูแลสุขภาพ เข้าฟิตเนสเพื่อฟิตร่างกายให้เกิดกล้ามเนื้อน่ามอง

เท่านั้นแหละ นมโผล่ !

เพราะ เวลาใส่ชุดฟิตเนสหรือออกกำลังกายขยายกล้ามเนื้อแผงอกให้ผายไปแล้ว กลายเป็นว่าหน้าอกทำไมยังมีนมอยู่ เวลาใส่ชุดออกกำลังกายเข้าฟิตเนสจึงไม่มั่นใจ เป็นเหตุให้ต้องตัดสินใจเดินเข้าออกคลินิกศัลยกรรมตกแต่งเพื่อไปดูดไขมัน บริเวณหน้าอกให้หายไป !

นายแพทย์นิเวศ เสริมศีลธรรม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาศัลยศาสตร์ตกแต่งของสยามสวอนย่านสยามสแควร์ เปิดเผยว่า "ผู้ชายเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น คือไม่ยอมแก่ อีกทั้งมีปัจจัยทางสังคมที่เปลี่ยนไป ส่วนใหญ่ไม่มีครอบครัวหรือคนที่มีครอบครัวแล้วก็อยากทำอะไรให้กับตัวเองก็ เลยหันมาดูแลตัวเองทั้งๆ ที่เป็นผู้ชายแท้ๆ"

หมอศัลยกรรมมือดีคนนี้ บอกว่า สิ่งที่ผู้ชายเข้ามาหาคลินิกศัลยกรรมคล้ายๆ กับผู้หญิง ความนิยมเป็นไปตามช่วงอายุ คือ หากมีอายุหน่อยก็จะมีตั้งแต่ทำหนังตาตก ดึงหน้า ดูดไขมัน หากเป็น

วัยรุ่นจะสนใจรูปร่าง หน้าตา หันมาทำหน้าเรียว ทำจมูก ทำตา ทำหน้าใส และดูดไขมันที่หน้าอก !

" ระยะหลังมีคนไข้ผู้ชายมาดูดไขมันที่หน้าอกมากขึ้น เพราะเมื่อไปฟิตเนสแล้วดูไม่ดี ดูไม่เฟิร์ม ออกกำลังกายอย่างไรก็ไม่หายรู้สึกเป็นปมด้อย จึงต้องมาเอาไขมันออกให้ดูแบนเหมือนผู้ชายทั่วไป ตอนนี้กำลังเยอะขึ้นเรื่อยๆ มีแทบทุกวัน ฝรั่งก็มี ไทยก็มี เป็นคนอายุ 20 ไปจนถึง 30 กว่าปี"

เหตุที่ผู้ชายตัดสินใจง่ายขึ้น ว่ากันว่าอาจเป็นเพราะมีการศึกษาหาข้อมูลทางการแพทย์มากขึ้น สมัยนี้การทำศัลยกรรมประเภทดูดไขมันไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ใช้เวลาเร็วขึ้น บางแห่งใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียวก็เรียบร้อย ดังนั้นการเตรียมงบประมาณเพื่อการดูดไขมันต่อจุดที่ 50,000 บาทจึงเป็นเรื่องที่ผู้ชายกลุ่มนี้พร้อมจ่าย

ไม่ใช่แค่นม แต่ยังมีพุง เอว อีกด้วยที่ผู้ชายเขายอมดูดไขมันทิ้งเพื่อให้ตัวเองดูดี !

ไม่แพ้ผู้หญิงเลยล่ะ

เทรนด์เกาหลีมาแรง

เป็นที่รู้กันว่า สำหรับเทรนด์ความงามแล้วมนุษย์พยายามทำอะไรก็ได้ให้ดูสวยดูหล่อขึ้น โดยใช้เวลาพักฟื้นสั้นลง !

โดย สิ่งที่เข้ามาเป็นตัวช่วยให้วงการความงามเป็นไปตามความต้องการของผู้บริโภค ได้มากขึ้นก็คือ "เทคโนโลยี" และ "นวัตกรรมทางการแพทย์" ที่ยุคนี้มีสารพัดสารพันวิธีเข้ามาช่วย

คือจากยุคเดิมที่เน้น ศัลยกรรมผ่าตัด ต้องพักฟื้นอยู่โรงพยาบาลหลายวัน ก็เปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีหรือใช้อะไรก็ตามที่ทำให้คนไข้ไม่ต้องหยุดงาน !

หาก จะไล่บริการที่ได้รับความนิยมจากบรรดาคลินิกความงามแล้ว มีตั้งแต่ 1.เลเซอร์ ที่คนเดี๋ยวนี้ไม่ต้องคิดมาก เข้าไปทำแล้วก็ไปทำอะไรต่อไปเลย 2.โบทอกซ์ ฉีดตีนการิ้วรอย 5 นาทีแล้วเดินออกไปทำงานต่อได้เลย ไม่ต้องพัก 3.ศัลยกรรม กลุ่มนี้อาจจะต้องใช้เวลาพักฟื้นบ้าง แต่จากที่เคยใช้เวลาเป็นอาทิตย์ก็เหลือเป็นไม่กี่วัน

เฉพาะอย่างยิ่ง เลเซอร์ดูจะเป็นอะไรได้รับความนิยมมาก อิทธิพลหนึ่งที่ส่งผลแรงต่อการเข้าใช้บริการแนวนี้เขาว่าเกิดจากวัฒนธรรม เกาหลี ซึ่งผู้บริโภคเริ่มมองหา นวัตกรรมด้านเลเซอร์เพื่อความสวยความงามกันตั้งแต่อายุ 15-45 ปี

เกาหลี ที่ส่งออกวัฒนธรรมการใช้ชีวิตมาสู่คอเคบ้านเราอย่างเต็มๆ ซึ่งในคลินิกความงามที่แดนกิมจิเองก็มีร้านเลเซอร์และคลินิกความงามผุดขึ้น เป็นดอกเห็ด ส่วนเมืองไทยก็กำลังจะเดินไปสู่จุดนั้น

กระแสหน้าใสแบบหนุ่มสาวเกาหลีจึงมาแรง และทำให้กลายเป็นจุดขายของคลินิกความงามหลายแห่ง จนธุรกิจนี้เติบโตขึ้นอย่างสวนกระแส

นาย แพทย์นิเวศบอกถึงกรณีความนิยมเทรนด์ความงามแบบเกาหลีว่า "เหตุที่เป็นเทรนด์เกาหลี หมอสันนิษฐานว่ามีการไหลของวัฒนธรรมเข้ามาสู่เมืองไทยช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ที่หนังเกาหลีเข้ามาแทนหนังญี่ปุ่นและหนังฝรั่ง แล้วสำหรับการทำศัลยกรรมในคนเกาหลีจะนิยมทำตั้งแต่วัยรุ่น คนหนึ่งทำหลายอย่าง เลเซอร์ ทำตาสองชั้น เสริมจมูก ที่สำคัญคนวัยพ่อแม่ของเกาหลีเขาทุ่มให้กับลูกหลานในเรื่องนี้มาก โดยเมืองไทยก็เริ่มมีเทรนด์นี้แล้ว คือมีพ่อแม่จำนวนไม่น้อยทุ่มเงินเพื่อให้ลูกดูดี"

ดังจะเห็นได้จากคลินิกความงามที่ชูเรื่องเลเซอร์หน้าใสที่โตวันโตคืน ทั้งวุฒิ-ศักดิ์ พรเกษม นิติพน และอื่นๆ อีกเต็มไปหมด

ส่วนในเว็บไซต์ที่นำเสนอขายนวัตกรรมเลเซอร์อย่างยุโรปหรืออเมริกาเองก็แข่งขันกันคิดค้นเลเซอร์เพื่อความงาม

รูป แบบใหม่ๆ ขึ้นมาตอบสนองผู้บริโภคทั่วโลก โดยอาศัยมาตรฐานความปลอดภัยได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐ อเมริกา (FDA) เป็นจุดขาย อาทิ เครื่อง Isolaz Laser ที่ใช้เทคโนโลยี Photopneumatics (Photo = Light, Pneumatics = Vacuum) โดยจากระบบ pneumatics จะใช้สุญญากาศช่วยในการขจัดสิ่งสกปรก สิวเสี้ยนจากรูขุมขน ส่วนแสงใช้เพื่อทำลายแบคทีเรียบนผิว หรือนำมารักษาแผลที่ถูกทำลายด้วยแสงแดด จุดแดงบนใบหน้าและเส้นเลือด รวมถึงกำจัดขนที่ไม่ต้องการออกไป, เครื่อง flexel refine เครื่องฉายแสงเลเซอร์ความถี่ 1410 นาโนเมตร ปรับหัวยิงลำแสงในลักษณะอนุภาค สามารถปล่อยออกมาทำปฏิกิริยาในระดับความลึกของผิวได้ด้วยการตั้งค่า selective จากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ไม่เกิดแผลแต่เห็นรอยแดงจางๆ

ใน วงการเลเซอร์เพื่อความงามยังมีการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยยังไม่ได้ FDA อีกก็มาก โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตเครื่องเลเซอร์จากจีน เกาหลี ที่กำลังพยายามทำการตลาดมาถึงบ้านเราทำให้ไหลทะลักเข้ามาสู่คลินิกความงาม เล็กๆ เป็นจำนวนมาก จนแพทย์ความงามหลายรายออกมาเตือนผู้บริโภค

ให้รู้เท่าทัน เพราะแม้จะยังไม่มีความเสียหายจากผู้ใช้บริการ

แต่เครื่องเหล่านั้นก็มิได้ผ่านองค์การอาหารและยา (อย.) ในเมืองไทย !

ตามความงามให้ทัน !

เมื่อ ความต้องการสวยหล่อของคนปัจจุบันขึ้นอยู่กับเทคโนโลยี ระยะเวลา และราคาที่ใครๆ ก็อยากได้ของดีราคาถูก นั่นก็ทำให้มีหลายปัญหาเกิดขึ้นตามมาจากความต้องการนี้

เลเซอร์จาก จีนก็ประการหนึ่ง แต่เท่าที่มีการพูดคุยกับแพทย์ความงามหลายคน ต่างจับสังเกตได้ว่าตอนนี้ไม่เพียงแค่เครื่องเลเซอร์จากจีนที่ไม่ได้มาตรฐาน แต่ยังมีโบทอกซ์จากจีนที่กำลังเข้ามาทำตลาดในบ้านเรา

คืออะไรที่ ขายดีได้รับความนิยม ผู้ผลิตจีนเขาก็หันมาทำตามทั้งนั้น อย่างโบทอกซ์พอได้ชื่อว่าเป็นยาฉีดเพื่อความงามที่ขายดีอันดับหนึ่งของโลก จีนก็อยากกระโจนเข้ามาเล่นด้วยบ้าง เพียงแต่ไม่ได้มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับของอเมริกา และอังกฤษ

ที่ สำคัญจีนเล่นทำราคามาแข่งในการดัมพ์ราคาต่ำกว่าถึง 3 เท่า ทำให้คลินิกความงามหลายแห่งสนใจและนำมาใช้เพื่อทำราคาให้ดึงดูดผู้ใช้บริการ

แพทย์เจ้าของคลินิกความงามแห่งหนึ่งกล่าวว่า ปัจจุบันมีคนหิ้วโบทอกซ์จีนเข้ามาขายเยอะมาก แต่ไม่ผ่าน อย.ไทย สามารถนำมาทำราคาให้ถูกลงได้ 1 ใน 3 ของราคาโบทอกซ์จากอเมริกา อังกฤษ สำหรับประสิทธิภาพเท่าที่มีการพูดคุยกับผู้ที่ไปใช้บอกว่า มีประสิทธิภาพด้อยมาก อยู่ได้แค่ประมาณเดือนเดียวก็ต้องมาฉีดใหม่ โดยยังไม่มีผลวิจัยทางการแพทย์ออกมาว่าในระยะยาวแล้วโบทอกซ์ที่จีนเป็นผู้ ผลิตจะส่งผลกับผู้บริโภคอย่างไร !

คงเป็นเพราะเทคนิคการฉีดโบทอกซ์ ใช้เวลาสั้น และถ้าได้แพทย์ฝีมือดีทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกระมั้งจึงทำให้โบทอกซ์ได้รับ ความนิยมทั้งผู้หญิง-ผู้ชายที่มีริ้วรอย

ดังนั้น แพทย์ความงามจึงอยากฝากเตือนให้ผู้บริโภคอย่างเราๆ ตามทันความงาม อย่างกรณีโบทอกซ์จากจีนก็ควรสอบถามหรือดูให้แน่ใจว่าแพทย์ดูดยาจากขวดยา ประเทศใดเพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง

เทรนด์เพื่ออนาคต

เพราะ ความงามเกี่ยวกับการต่อต้านริ้วรอยเป็นตลาดสำคัญของโลก จึงทำให้หลายฝ่ายออกมาวิเคราะห์กันว่า ต่อไปในวันหน้าวิวัฒนาการของการเอาชนะความเหี่ยวย่นจะเป็นเช่นไร

เสริมจมูกด้วยชิ้นส่วนกระดูกอ่อนของมนุษย์ ก็ใช่

ดึงหน้าตึงด้วยไหมพิเศษที่สามารถมาขันให้ตึงหากใบหน้าเกิดหย่อนขึ้นมาได้ นั่นก็ใช่

โดย IAPAM (International Association for Physicians in Aesthetic Medicine) ของอเมริกาได้เอ่ยถึงเทรนด์ความงามที่จะมาแรงในปี 2009 เอาไว้ว่า ต่อไปผู้คนจะนิยมใช้บริการที่เร็ว เล็ก และลดขั้นตอนการใช้เพื่อให้ตัวเองมีอายุต่ำกว่าอายุจริง 10 ปี ทั้งเลเซอร์ โบทอกซ์ เครื่องอัลตราซาวนด์กระชับสัดส่วน เขาว่าจะเพิ่มขึ้นมหาศาลเพราะมีผู้ผลิตเครื่องมือ ยาเกี่ยวกับเรื่องนี้ส่งไปให้องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา FDA อนุมัติตรึม

ไม่เพียงเท่านั้น นวัตกรรมเกี่ยวกับรอบดวงตา "EyeJuvenation" จะได้รับความนิยมมากขึ้น โดยจะมีการใช้ทั้งเลเซอร์และโบทอกซ์

ที่น่าสนใจก็คือ มีการมองด้วยว่าต่อไปเรื่องของสเต็มเซลล์จะเข้ามามีส่วนสำคัญในผลิตภัณฑ์เพื่อความงามต่อต้านริ้วรอยเป็นอย่างมาก

รวม ถึงความนิยมบริโภคพืชผักผลไม้หรืออาหารต่อต้านริ้วรอยเพื่อให้สวยจากภายใน สู่ภายนอก ก็จะเป็นสิ่งที่จะฮอตฮิตในอนาคตโดยไม่จำกัดเพศและวัย

เพราะ ในยุคที่เศรษฐกิจทั่วโลกระส่ำ แม้ความงามจะเป็นเรื่องที่หลายคนยอมจ่าย แต่การจ่ายเงินอย่างชาญฉลาดเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าน่าจะเป็นเรื่อง ที่ทุกคนหันมามอง ขึ้นอยู่กับว่าใครจะถนัดแบบไหน มีน้อยก็ทุ่มน้อย มีมากก็ทุ่มมาก

เพื่อความอยากสวย อยากหล่อ แต่ต้องตามให้ทันเท่านั้น ! :D



" แม้ว่าปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมจะไม่ดี แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบกับธุรกิจคลินิกความงาม และคาดว่าปีนี้ทั้งปีในส่วนของธุรกิจคลินิกความงามของบริษัทจะมีอัตราการ เติบโตกว่า 10% สูงกว่าเป้าที่วางไว้" นายแพทย์พิชิต สุวรรณประกร ประธานกรรมการ บริษัท แพน ราชเทวี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (ที่มา : หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ มกราคม 2552)



ผลวิจัยของ บริษัท OMD ซึ่งเป็นบริษัทวางแผนการใช้สื่อ แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงไทยที่อาศัยอยู่ในตัวเมืองให้ความสนใจในเรื่องความงาม บนใบหน้ามากถึง 60% ซึ่งค่านี้เท่ากับการให้ความสำคัญกับรูปร่างด้วย



ธุรกิจคลินิกความงามของไทย ปัจจุบันมีมูลค่ามากกว่า 12,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยถึงปีละ 10-15%



ธุรกิจ คลินิกความงามในประเทศไทย ได้รับความสนใจจากต่างชาติด้านความชำนาญและฝีมือของแพทย์โปรเฟสชันนอล ซึ่งไทยได้รับการยอมรับในฝีมือด้านเลสิก โบทอกซ์ เป็นพิเศษ และถือเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดเอเชีย โดยภาพรวมด้านธุรกิจความงามไทยเป็นผู้นำตลาดอันดับ 3 รองจากเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น (หน้าพิเศษ D-Life)

Article from MM Lee Kuan Yew - a MUST READ "If you want to see sunrise tomorrow or sunset, you must have a reason, you must have the stimuli to keep going."

A good one. For those 50+ years old, this e-mail is a good
thought-provoking article to have better and enjoyable time for the
remaining of our life. For those below 50, this is a good knowledge to
plan your life. To enjoy aging life longer, it becomes new knowledge for
all of us. LKY view in this article clearly advises us to keep busy on
what you like to do, especially on keeping interacted with other people.
We all need STIMULI to keep our life more enjoyable. A happy aging
life...... Viwat

*'Stay interested in the world, take on a challenge': MM Lee *This is
Minister Mentor Lee Kuan Yew's advice on ageing the best way one can.

Yesterday, he shared some personal insights into how he himself deals with
ageing. Here is the transcript of his remarks.*

----------------------------------------------------------------------------
--------------------------

MY CONCERN today is, what is it I can tell you which can add to your
knowledge about ageing and what ageing societies can do. You know more about

this subject than I do. A lot of it is out in the media, Internet and
books.

So I thought the best way would be to take a personal standpoint and tell
you how I approach this question of ageing.
If I cast my mind back, I can see turning points in my physical and mental
health. You know, when you're young, I didn't bother, I assumed good
health was God-given and would always be there. When I was about - ' 57
that was - I was about 34, we were competing in elections, and I was really

fond of drinking beer and smoking. And after the election campaign, in
Victoria Memorial Hall - we had won the election, the City Council election
-
I couldn't thank the voters because I had lost my voice. I'd been smoking
furiously. I'd take a packet of 10 to deceive myself, but I'd run through
the packet just sitting on the stage, watching the crowd, getting the
feeling, the mood before I speak. In other words, there were three speeches
a
night. Three speeches a night, 30 cigarettes, a lot of beer after that, and
the voice was gone.
I remember I had a case in Kuching, Sarawak . So I took the flight and I
felt awful. I had to make up my mind whether I was going to be an effective
campaigner and a lawyer, in which case I cannot destroy my voice, and I
can't go on. So I stopped smoking. It was a tremendous deprivation because I

was addicted to it. And I used to wake up dreaming... the nightmare was I
resumed smoking.
But I made a choice and said, if I continue this, I will not be able to do
my job. I didn't know anything about cancer of the throat or oesophagus
or the lungs, etc. But it turned out it had many other deleterious effects.

Strangely enough after that, I became very allergic, hyper-allergic to
smoking, so much so that I would plead with my Cabinet ministers not to
smoke
in the Cabinet room. You want to smoke, please go out, because I am
allergic.

Then one day I was at the home of my colleague, Mr Rajaratnam, meeting
foreign correspondents including some from the London Times and they took a

picture of me and I had a big belly like that (puts his hands in front of
his belly), a beer belly. I felt no, no, this will not do. So I started
playing more golf, hit hundreds of balls on the practice tee. But this
didn't go down. There was only one way it could go down: consume less, burn

up more.

Another turning point came when - this was 1976, after the general election

- I was feeling tired. I was breathing deeply at the Istana, on the lawns.

My daughter, who at that time just graduating as a doctor, said: 'What are
you trying to do?' I said: 'I feel an effort to breathe in more oxygen.'
She said: 'Don't play golf. Run. Aerobics.'

So she gave me a book, quite a famous book and, then, very current in
America on how you score aerobic points swimming, running, whatever it

is,cycling. I looked at it sceptically. I wasn't very keen on running. I
was keen on golf. So I said, 'Let's try'. So in-between golf shots while
playing on my own, sometimes nine holes at the Istana, I would try and walk
fast between shots. Then I began to run between shots. And I felt
better.

After a while, I said: 'Okay, after my golf, I run.' And after a few years,
I said: 'Golf takes so long. The running takes 15 minutes. Let's cut out
the golf and let's run.'

I think the most important thing in ageing is you got to understand
yourself. And the knowledge now is all there. When I was growing up, the

knowledge wasn't there. I had to get the knowledge from friends, from
doctors. But perhaps the most important bit of knowledge that the doctor
gave
me was one day, when I said: 'Look, I 'm feeling slower and sluggish.'

So he gave me a medical encyclopaedia and he turned the pages to ageing. I
read it up and it was illuminating. A lot of it was difficult jargon but
I just skimmed through to get the gist of it.

As you grow, you reach 20, 21, 22, 23, 24, 25 and then, thereafter, you are
on a gradual slope down physically. Mentally, you carry on and on and on
until I don't know what age, but mathematicians will tell you that they
know best output is when they're in their 20s and 30s when your mental

energy is powerful and you haven't lost many neurons. That's what they tell
me.
So, as you acquire more knowledge, you then craft a programme for yourself
to maximise what you have. It's just common sense. I never planned to
live till 85 or 84. I just didn't think about it. I said: 'Well, my mother
died when she was 74, she had a stroke. My father died when he was 94.'
But I saw him, and he lived a long life, well, maybe it was his DNA. But
more than that, he swam every day and he kept himself busy. He was working
for the Shell company. He was in charge, he was a superintendent of an oil
depot. When he retired, he started becoming a salesman. So people used to
tell me: 'Your father is selling watches at BP de Silva.'

My father was then living with me. But it kept him busy. He had that

routine: He meets people, he sells watches, he buys and sells all kinds of
semi-precious stones, he circulates coins. And he keeps going. But at 87,
88, he fell, going down the steps from his room to the dining room, broke
his arm, three months incapacitated. Thereafter, he couldn't go back to
swimming.

Then he became wheelchair-bound. Then it became a problem because my house
was constructed that way. So my brother - who's a doctor and had a flat
(one-level) house - took him in. And he lived on till 94. But towards the
end, he had gradual loss of mental powers.
So my calculations, I'm somewhere between 74 and 94. And I've reached the
halfway point now. But have I?
Well, 1996 when I was 73, I was cycling and I felt tightening on the neck.

Oh, I must retire today. So I stopped. Next day, I returned to the bicycle.

After five minutes it became worse. So I said, no, no, this is something
serious, it's got to do with the blood vessels. Rung up my doctor, who
said, 'Come tomorrow'. Went tomorrow, he checked me, and said: 'Come back
tomorrow for an angiogram.' I said: 'What's that?' He said: 'We'll pump
something in and we'll see whether the coronary arteries are cleared or
blocked.' I was going to go home.

But an MP who was a cardiologist happened to be around, so he came in and

said: 'What are you doing here?' I said: 'I've got this.' He said: 'Don't
go home. You stay here tonight. I've sent patients home and they never
came back. Just stay here. They'll put you on the monitor. They'll watch
your heart. And if anything, an emergency arises, they will take you
straight to the theatre. You go home. You've got no such monitor. You may
never come back.'
So I stayed there. Pumped in the dye, yes it was blocked, the left
circumflex, not the critical, lead one. So that's lucky for me.

Two weeks later, I was walking around,I felt it's coming back. Yes it has
come back, it had occluded. So this time they said: 'We'll put in a
stent.'

I'm one of the first few in Singapore to have the stent, so it was a brand
new operation. Fortunately, the man who invented the stent was out here
selling his stent.

He was from San Jose , La Jolla something or the other. So my doctor got
hold of him and he supervised the operation. He said put the stent in. My
doctor did the operation, he just watched it all and then that's that. That
was before all this problem about lining the stent to make sure that it
doesn't occlude and create a disturbance. So at each stage, I learnt
something more about myself and I stored that.

I said: 'Oh, this is now a danger point.' So all right, cut out fats,
change diet, went to see a specialist in Boston , Massachusetts General

Hospital . He said: 'Take statins.' I said: 'What's that?' He said: '(They)
help to reduce your cholesterol.' My doctors were concerned. They said:
'You don't need it. Your cholesterol levels are okay. ' Two years later,
more medical evidence came out. So the doctors said: 'Take statins.' Had
there been no angioplasty, had I not known that something was up and I
cycled on, I might have gone at 74 like my mother. So I missed that
deadline.

So next deadline: my father's fall at 87. I'm very careful now because
sometimes when I turn around too fast, I feel as if I'm going to get off

balance. So my daughter, a neurologist, she took me to the NNI, there's
this nerve conduction test, put electrodes here and there. The transmission

of the messages between the feet and the brain has slowed down. So all the
exercise, everything, effort put in, I'm fit, I swim, I cycle. But I
can't prevent this losing of conductivity of the nerves and this
transmission. So just go slow. So when I climb up the steps, I have no
problem.
When I go down the steps, I need to be sure that I've got something I can
hang on to, just in case. So it's a constant process of adjustment.
But I think the most important single lesson I learnt in life was that if
you isolate yourself, you're done for.
The human being is a social animal - he needs stimuli, he needs to meet
people, to catch up with the world.

I don't much like travel but I travel very frequently despite the jet lag,
because I get to meet people of great interest to me, who will help me in
my work as chairman of our GIC. So I know, I'm on several boards of banks,
international advisory boards of banks, of oil companies and so on. And I
meet them and I get to understand what's happening in the world, what has
changed since I was here one month ago, one year ago. I go to India , I go
to China . And that stimuli brings me to the world of today. I'm not living
in the world, when I was active, more active 20, 30 years ago. So I tell
my wife. She woke up late today. I said: 'Never mind, you come along by 12
o'clock. I go first.'
If you sit back - because part of the ending part of the encyclopaedia
which I read was very depressing - as you get old, you withdraw from

everything and then all you will have is your bedroom and photographs and
the furniture that you know, and that's your world. So if you've got to go
to hospital, the doctor advises you to bring some photographs so that
you'll know you're not lost in a different world, that this is like your

bedroom. I'm determined that I will not, as long as I can, to be reduced,
to have my horizons closed on me like that. It is the stimuli, it is the
constant interaction with people across the world that keeps me aware and
alive to what's going on and what we can do to adjust to this different
world.

In other words, you must have an interest in life. If you believe that at
55, you're retiring, you're going to read books, play golf and drink wine,
then I think you're done for. So statistically they will show you that all
the people who retire and lead sedentary lives, the pensioners die off
very quickly. So we now have a social problem with medical sciences, new
procedures, new drugs, many more people are going to live long lives. If
the mindset is that when I reach retirement age 62, I'm old, I can't work
anymore, I don't have to work, I just sit back, now is the time I'll enjoy
life, I think you're making the biggest mistake of your life.

After one month, or after two months, even if you go travelling with
nothing to do, with no purpose in life, you will just degrade, you'll go to

seed. The human being needs a challenge, and my advice to every person in
Singapore and elsewhere: Keep yourself interested, have a challenge. If
you're not interested in the world and the world is not interested in you,
the biggest punishment a man can receive is total isolation in a dungeon,
black and complete withdrawal of all stimuli, that's real torture.

So when I read that people believe, Singaporeans say: 'Oh, 62 I'm
retiring.' I say to them: 'You really want to die quickly?' If you want to
see
sunrise tomorrow or sunset, you must have a reason, you must have the
stimuli to keep going.'

*This story was first published on Jan 12, 2008.*

"มาฆะ-ราคะ" บูชา พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความรัก พระพุทธเจ้ามีพระนามอีกอย่างหนึ่งว่า พระมหาการุณิโก แปลว่า "พระผู้มีความรักที่แท้"

นิยาม "รัก" จาก "ว.วชิรเมธี" "มาฆะ-ราคะ" บูชา พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความรัก

กลีบ กุหลาบถูกเด็ดปลิวโปรยร่อนเพื่อเคล้าประสานสร้างบรรยากาศวันแห่งความรักนาน นับนานหลายปีผ่าน สังคมไทยร่ายรำไปตามวัฒนธรรมตะวันตก 14 กุมภา วันวาเลนไทน์ กลายเป็นเทศกาลที่เด็กวัยรุ่นต่างใจจดใจจ่อเฝ้ารอ เพื่อที่สุดท้ายแล้วจะได้หวังผสมเสน่ห์แห่งกามารมณ์กลมกลืนไปยามค่ำคืน

โลกแห่งความจริง เด็กรุ่นใหม่มองผ่านและละเลยวันเพ็ญเดือน 3 "มาฆบูชา" ที่ปีนี้มาเยือนก่อนวันแห่งความรัก 5 วัน

แต่กลับไม่ลืมที่จะหาช่อดอกไม้ ช็อกโกแลต และของขวัญรูปหัวใจ

รสธรรมหรือหอมหวานกว่ารสรัก

พระ มหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี ผู้ก่อตั้งสถาบันวิมุตตยาลัย วิสัชนาปรัชญาการศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพแห่งการตื่นรู้ สู่อิสรภาพไว้ว่า

"มหาสมุทรมีรสเค็มเพียงรสเดียวฉันใด พระธรรมวินัยก็มีรสเดียวคือ วิมุตติรส ฉันนั้น"

พระ อาจารย์ ว.วชิรเมธี เจริญสติต่อความเปลี่ยนแปลง ทางสังคมในยุคโลกาภิวัตน์ และยอมรับในสัจธรรมว่า เปรียบวันมาฆบูชาเป็นการเดินขึ้นเขา ส่วนวันวาเลนไทน์เป็นการเดินลงเขา

ธรรมชาติของคนย่อมชอบที่จะเดินลงเขาทั้งนั้น

ระหว่าง ที่อวลไปด้วยกรุ่นไอรัก บรรทัดต่อไป โปรดตาม พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี ก้าวย่างขึ้นเขาทีละขั้น เพื่อสดับนิยาม "รักแท้" ในสมณเพศ

"หนุ่ม สาวรุ่นใหม่ควรจะเรียนรู้ว่า ความรักมีหลายมิติ แต่ที่เราหยิบมาเน้นทุกวันนี้มีมิติเดียวคือความรักในเชิงชู้สาว ซึ่งมักจะไปจบที่การมีความสัมพันธ์ เพราะว่าไม่อยากจะผูกพัน และนั่นเป็นเหตุให้ก่อปัญหาสังคมตามมามากมาย เพราะฉะนั้นเขาควรจะเปิดใจให้กว้าง เพื่อที่จะได้เรียนรู้ว่าแท้ที่จริงนั้น ความรักเป็นอะไรที่มากกว่าความสัมพันธ์ในเชิงชายหนุ่มหญิงสาว"

"ใน ทรรศนะของอาตมาที่สรุปมาจากองค์ความรู้ทางพุทธศาสนา ความรักมีด้วยกัน 4 มิติ 1.รักตัวกลัวตาย 2.รักใคร่ปรารถนา 3.รักเมตตาอารี 4.รักมีแต่ให้"

พระ อาจารย์ ว.วชิรเมธี อธิบายว่า 1.รักตัวกลัวตาย เป็น ความรักอิงสัญชาตญาณพื้นฐานของการมีชีวิต ความรักเช่นนี้มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกประเภท อันตรายของความรักชนิดนี้ คือถ้ามีมากเกินไปจะกลายเป็นความเห็นแก่ตัว และบางครั้งเพื่อที่จะปกป้องตัวเอง ก็ถึงกับต้องฆ่าคนอื่น

2.รักใคร่ ปรารถนา เป็นความรักอิงสัญชาตญาณการสืบพันธุ์ มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวเป็นเครื่องมือของความรักชนิดนี้ ความรักชนิดนี้ถ้าวิเคราะห์ลึกๆ มีความโลภเจืออยู่ นั่นก็คืออยากจะได้ ใคร่จะครอบครอง และถ้าตัวเองได้ตามที่ต้องการก็ถือว่าประสบความสำเร็จในความรักชนิดนี้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามไม่ได้ตามที่ต้องการ ความโลภอาจจะกลายเป็นความแค้น

" และนั่นเป็นเหตุให้หลายครั้ง คนที่รักกันแต่พอผิดหวังจากความรัก จึงลงเอยด้วยการทำร้ายซึ่งกันและกัน และในบางกรณีถึงขั้นฆาตกรรม ชำแหละคนรักเป็นศพ ไหนบอกว่ารัก ทำไมต้องจบด้วยการฆาตกรรม เพราะลึกๆ แล้วไม่ใช่รัก เป็นแค่ราคะ คือความปรารถนาในกามารมณ์ และเป็นเพียงความโลภ คือต้องการที่จะครอบครองมาเป็นเจ้าของเพียงหนึ่งเดียว ดังนั้นความรักชนิดนี้จึงไม่ปลอดภัย ต้องก้าวไปหาความรักที่สูงขึ้น"

ความ รักที่ 3 คือ รักเมตตาอารี คือความรักที่อิงและร่วมทางวัฒนธรรมบางอย่าง เช่น มีสายเลือดเดียวกัน พ่อแม่ก็จะรักลูกมาก เพราะลูกก็คือสำเนาของตนเอง คนที่ถือศาสนาเดียวกันก็จะรู้สึกเป็นพวกเพราะมีศาสดาคนเดียวกัน คนที่ถือสัญชาติเดียวกันก็จะรู้สึกเป็นพวกกับคนสัญชาติเดียวกัน และมนุษย์ด้วยกันก็จะรู้สึกว่าต้องให้ความสำคัญกับมนุษย์มากกว่าสัตว์

" ความรักเช่นนี้เป็นความรักที่อาศัยโยงใยทางวัฒนธรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง เราจะรักใครก็ตามที่เราเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมได้ในแง่ใดแง่หนึ่ง เช่น ถ้าเราเดินอยู่ในอเมริกาแล้วเจอคนไทย เราจะรู้สึกปีติเบิกบานขึ้นมาทันที ทั้งๆ ที่ฝรั่งที่เราเจอก็คนทั้งนั้นแต่เราจะเฉยๆ ถ้าคนไทยคนนั้นเป็นชาวพุทธเหมือนกับเรา ก็ยิ่งดีใจใหญ่ ทำไมเป็นอย่างนั้น เพราะลึกๆ เรามีโยงใยทางวัฒนธรรมร่วมกันบางสิ่งบางอย่าง ความรักชนิดนี้ทำให้มนุษย์รวมกันเป็นหมู่เป็นคณะเป็นกลุ่มเป็นก้อน

แต่ อันตรายของความรักชนิดเช่นนี้ก็คือ บางครั้งมันกลายเป็นความหลงผิด ยึดติดถือมั่นในกลุ่ม ในหมู่ ในพรรค ในเผ่า ในพันธุ์ของตัวเอง แล้วกลายเป็นสงครามระหว่างชาติพันธุ์ ระหว่างผิวสี ศาสนา ลัทธิ การเมือง ซึ่งเคยมีตัวอย่างมาแล้วนับครั้ง ไม่ถ้วน เช่น ฮิตเลอร์สังหารชาวยิวเพราะอะไร หรือสงครามครูเสดเกิดขึ้นยาวนานหลายร้อยปี ก็เพราะทุกคนอยากจะปกป้องพระเจ้าของตนเอง รวมทั้งสงครามแบ่งแยกดินแดนทั้งหลาย ความรักชนิดนี้ลึกๆ เข้าไปอาศัยคำว่าลัทธิ อุดมการณ์เป็นเครื่อง หล่อเลี้ยง เป็นเครื่องเชื่อมโยงที่สำคัญ"

พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี ยังรวมถึงการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมืองที่มีทั้ง เสื้อเหลืองและเสื้อแดง หรือทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์เข้าไปยึดติดถือมั่นแล้วมีอิทธิพล ต่อการดำเนินชีวิต

"ความรักของสีเหลืองสีแดงก็เป็นความรักในประเภท ที่ 3 นี้ด้วย ความรักชนิดที่ 1 ที่ 2 และชนิดที่ 3 ก็ยังไม่ปลอดภัย ต้องพัฒนาต่อไปถึงความรักประเภทที่ 4 คือ รักมีแต่ให้"

"รักมีแต่ให้ เป็นความรักที่มาพร้อมกับปัญญา ความรักที่ 1-3 อิงอารมณ์คือความรู้สึกเป็นรากฐานที่สำคัญ แต่ความรักชนิดที่ 4 อิงปัญญาคือความรู้สว่างกระจ่างแจ้งในโลกและชีวิต ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง จนมนุษย์สามารถถอดถอนตัวเองออกมาจากมายาคติ คือสิ่งที่เป็นความลวงทุกชนิด เหมือนพอเมฆที่เคลื่อนออกไป ฟ้าก็เปิด ทอดตามองไปทางไหนก็เห็นแต่แสงสว่างในทิศทั้ง 4"

"ไม่มีอะไรอีกที่ เป็นความลับดำมืดหรือเคลือบแคลงสงสัยมัวเมา ความรักชนิด เช่นนี้เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเรามีปัญญาที่จะหยั่งรู้ ถึงความจริงของโลกและชีวิตอย่างตรงไปตรงมา เช่น ถ้าเราเห็นเงิน เราก็รู้ว่าเงินเป็นเพียงสิ่งสมมติที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เราใช้เงินเสร็จแล้ว เราก็สามารถปล่อยวางมันได้ เราใช้เสื้อผ้าเสร็จแล้วเราก็สามารถถอดวางไว้ได้ เรามียศ เราใช้ยศเสร็จแล้วเราก็ไม่ยึดติดยศ เรามีทรัพย์สมบัติ เราก็บอกว่าสรรพสิ่งคือของใช้ไม่ใช่ของฉัน"

"พอเรามีความเข้าใจโลก และชีวิตตามความเป็นจริงอย่างนี้ ปัญญาของเราจะเป็นอิสระ พอปัญญาของเราเป็นอิสระแล้ว ทอดตาไปทางไหนใจเราก็กว้างขวาง หมดความยึดติดถือมั่น ทอดตาไปทางไหนก็ไม่เห็นใครว่าเป็นเสื้อเหลืองเสื้อแดง เพราะสิ่งเหล่านั้นคือเปลือกของความเป็นมนุษย์ที่เราสมมติขึ้นมาเองทั้งหมด ทอดตาไปทางไหนคุณก็จะเห็นแต่มนุษยชาติกระจายอยู่ ทั่วทุกหนทุกแห่ง เขากับเราแตกต่างกันเพียงเปลือกผิวภายนอก แต่โดยเนื้อหาสาระก็คือ สิ่งมีชีวิตที่เรียกกันว่ามนุษยชาติ ไม่มีใครสูงกว่าใคร ไม่มีใครต่ำกว่าใคร มีแต่สิ่งมีชีวิตที่เรียกกันว่าคน นั่นคือความจริงสุดท้าย พอจิตของเราเป็นอิสระอย่างนี้แล้ว ความรู้สึกในเชิงแบ่งแยกหายไป ความรู้สึกในเชิงถือเขาถือเราหายไป ความรู้สึกในเชิงเปรียบเทียบหายไป ทอดตามองไปทางไหนก็เห็นแต่คนที่เสมอกันกับเรา และนั่นคือเหตุที่ทำให้เราเรียนรู้ที่จะรักคนอื่นพอๆ กับที่เรารักตัวเอง ความรักเช่นนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะนำความรักที่แท้มา นั่นคือความกรุณา รักแท้คือกรุณา"

พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี อธิบายต่อไปอีกว่า กรุณาก็คือความสงสารอันใหญ่หลวง ซึ่งทำให้เราไม่สามารถทำร้ายใครได้อีกเลย เพราะทอดตาไปทางไหนก็ล้วนแล้วแต่เป็น พี่น้องท้องเดียวกันกับเราทั้งหมดทั้งสิ้น เมื่อปัญญาทำหน้าที่เปิดประตูหัวใจของเราแล้ว ธารน้ำแห่งความรักก็จะไหลหลั่งถั่งท้นออกมา ชโลมชาวโลกให้อยู่กันฉันพี่ฉันน้อง

"อุปมาให้เห็นง่ายๆ รักแท้คือกรุณา เปรียบเสมือนแสงเดือนแสงตะวันที่สาดลงผืนโลก โดยที่ไม่เคยเรียกร้องค่าตอบแทน เป็นน้ำก็ไหล เป็นจันทร์ก็ส่อง เป็นนกก็ร้องเพลง โดยไม่เคยถามว่าใครเคยเห็นความสำคัญของฉันหรือ โดยไม่เคยถามว่าฉันจะได้อะไรตอบแทนไหม ฉะนั้นวิวัฒนาการสูงสุดของความรักก็คือ รักแท้คือกรุณา เราต้องไปให้ถึงความรักชนิดเช่นนี้ จึงจะเป็นความรักที่ดีที่สุด ที่ไม่เพียงแต่คนหนุ่มสาวเท่านั้น มนุษยชาติจะต้องไปให้ถึง"

ถึง กระนั้น พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี ก็นิยามความรักให้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายว่า ความรัก คือการตระหนักรู้ในสัจธรรม แล้วเราสามารถถอดถอนตัวเองออกมาจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้อย่างสิ้นเชิง มีหัวใจที่บริสุทธิ์ หมดจด แล้วก็แผ่ความรักนั้นออกไปรักคนได้ทั้งโลก ความรักในทรรศนะของอาตมากล่าวอย่างสั้นที่สุดคือกรุณา คือจิตใจอันใหญ่หลวงที่สามารถรักคนได้ทั้งโลกโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ รักแท้คือกรุณาจะมาหลังจากการผลิบานทางปัญญาเสมอไป ถ้าไม่ได้มาพร้อมปัญญาเป็นได้แค่มายาการณ์ชนิดหนึ่ง พูดง่ายๆ เป็นได้แค่ความรู้สึก

"ฉะนั้นถ้าไปดูพระพักตร์ของพระพุทธรูป ทุกองค์ ยิ้มทุกองค์ ทำไมยิ้ม เพราะจิตท่านเบิกบานผ่องใส ท่านจึงกลายเป็นผู้ที่ยิ้มให้กับคนทั้งโลก รักที่แท้จะเป็นอย่างนั้น เราเกลียดใครไม่ลงเลย"

"ฉะนั้นพุทธศาสนานี้ จึงเป็นศาสนาแห่งความรัก เริ่มต้น พระพุทธเจ้าก็รักใน โพธิญาณ ใช้วันเวลาทั้งหมด 84,000 อสงไขย กำไร 100,000 กัลป์ ทุ่มเทปัจจัยลงไปในโพธิญาณ รักในการที่จะเป็นพระพุทธเจ้า และเมื่อบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า ก็ไปถึงตาน้ำที่แท้ ตลอดเวลา 45 ปีหลังจากที่ตรัสรู้ เสด็จพุทธดำเนินไปทุกหนทุกแห่งเพื่อหว่านโปรยพุทธธรรมอันเป็นเครื่องมือ ที่จะนำชาวโลกไปสู่ความรักที่แท้ และด้วยเหตุดังนั้น พระพุทธองค์จึงมีพระนามอีกอย่างหนึ่งว่า พระมหาการุณิโก แปลว่า พระผู้มีความรักที่แท้"

"เพราะฉะนั้น พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความรัก และเราชาวพุทธทุกคน เมื่อเข้าใจพุทธธรรมอย่างถึงที่สุดแล้ว เราจะกลายเป็นผู้ที่มีความรักอย่างลึกซึ้งที่สุด"

หากแต่เมื่อมองกลับมายังสังคม ปัจจุบันที่เยาวชนห่างไกลวัด พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี มองปัญหาอย่างเข้าใจว่า

" การที่คนไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์มากกว่า วันมาฆบูชา อันนี้เป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ ก็วันมาฆบูชานั้นมีบรรยากาศทางศาสนา และเป็นศาสนาที่ชวนให้เราทวนกระแสกิเลสด้วยซ้ำไป มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่อยากทวนกระแสกิเลส อยากจะเดินตามกิเลสอย่างเชื่องๆ มากกว่า แต่วันวาเลนไทน์นั้นมีบรรยากาศของการทำอะไรตามใจกิเลส กล่าวให้เห็นภาพลักษณ์ วันมาฆบูชา มีบุคลิกภาพเหมือนการชวนให้คนทั่วไปเดินขึ้นเขา ส่วนวันวาเลนไทน์นั้นเหมือนการชวนให้คนทั่วไปเดินลงเขา คนส่วนใหญ่จะรู้สึกรื่นรมย์ตอนเดินลงเขามากกว่าตอนเดิน ขึ้นเขา เพราะวันมาฆบูชานั้นชวนให้ทวน กระแสกิเลส ส่วนวันวาเลนไทน์ชวนให้ไหลตามกระแสกิเลส ก็ในเมื่อมันสอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์ ทำไมมนุษย์จะไม่ชอบวันวาเลนไทน์ นี่เป็นเหตุผลทางจิตวิทยาที่เข้าใจได้"

"ต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่ง ว่า ชาวพุทธไทยห่างจากพุทธศาสนามาก ทั้งในเชิงเนื้อหาสาระ ทั้งในเชิงวิถีชีวิตประจำวัน และต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า สถาบันสงฆ์ในสังคมไทยเอง ก็มีแก่นสารใน เชิงเนื้อหาสาระน้อยลง นั่นเป็นเหตุให้ พุทธศาสนาในสังคมไทยเวลานี้เหมือนต้นไม้ที่กำลังยืนต้นตาย รักษาไว้ได้แต่ภาพลักษณ์อันสวยหรู แต่เนื้อหาสาระนั้นนับวันจะหาได้ยากยิ่งขึ้นทุกที"

พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี วิเคราะห์ว่า การที่องค์กรหลักของสถาบันพุทธศาสนาในสังคมไทยห่างไกลจากเนื้อหาสาระที่แท้ จริง นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนร่วมยุคร่วมสมัยพากันถอยห่างออกไปจากสถาบัน ศาสนา และทั้งๆ ที่สภาพสังคมโดยทั่วไปเป็นอย่างนี้ ที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือ ผู้ที่อยู่ในสถาบันศาสนาเองก็ไม่ตระหนักรู้ ไม่เพียงไม่ตระหนักรู้ บางทีปล่อยให้ปัญหานั้นคาราคาซัง กลายเป็นเรื่องที่สะเทือนใจในหมู่ ชาวพุทธ เช่น กรณีพระตุ๊ด พระเกย์ พระแต๋ว หลวงเจ๊ เยอะแยะมากมายกระจายกันอยู่ไปทุกหนทุกแห่ง

"นี่ คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า องค์กรกำลังถอยหลังเข้าไปสู่ความเสื่อมอย่างน่าเป็นห่วงที่สุด ถ้าสถาบันสงฆ์ซึ่งเป็นสถาบันตัวอย่างทางจริยธรรมยังเสื่อมได้ถึงขนาดนี้ ก็ไม่ต้องพูดว่าชาวบ้านจะเสื่อมกันขนาดไหน นี่เป็นเรื่องที่สะเทือนใจมากที่เราคนไทยจะต้องมาร่วมกันคิดหาทางออก เพราะมิเช่นนั้นแล้ววันมาฆบูชา จะเป็นได้แค่วันที่คนไทยทั่วประเทศ ตั้งแต่พระสงฆ์ รัฐบาล เด็กและเยาวชนร่วมกันจัดงานอีเวนต์ขึ้นมาหลอกตัวเองเท่านั้น ไม่มีผลอะไรในทางเนื้อหาสาระ"

"แล้วก็มาภาคภูมิใจว่า นี่ไง พุทธศาสนามั่นคง คนไทยเข้าวัดมากขึ้น อาตมาคิดว่านี่เป็นดัชนีชี้วัดที่ไร้สาระโดยสิ้นเชิง ความมั่นคงของพุทธศาสนาไม่ควรจะวัดที่ประชาชนเข้าวัดมากขึ้น แต่ควรจะวัดที่ประชาชนดำเนินชีวิตมีเนื้อหาสาระตรงกับพุทธศาสนามากขึ้น"

กับ ค่านิยมที่คู่รักหมายปองจะใช้โรงแรมเป็นสถานที่สุดท้ายของค่ำคืนแห่งความรัก "ราคบูชา" พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี อธิบายให้เห็นว่า ศาสนาพุทธ กับ กามารมณ์ นั้นมีเหตุและผลสอดรับกันอยู่

"พุทธศาสนาไม่ได้ห้ามใครให้เข้าหรือ ไม่ให้เข้าโรงแรม แต่พุทธศาสนาจะบอกว่าความเหมาะความควรอยู่ตรงไหน เราต้องไม่ลืมว่าพุทธศาสนามีหลักคำสอนที่เป็น positive มาก เราจะเคารพในวิจารณญาณของมนุษยชาติทั่วโลกเลย เราจะบอกว่าถ้าคุณทำอย่างนี้แล้ว คุณจะทุกข์นะ คุณทำอย่างนี้แล้ว คุณจะสุขนะ จากนั้นคุณเลือกเอาสิ คุณจะสร้างเหตุแห่งทุกข์หรือสร้างเหตุแห่งสุข นั่นเป็นวิจารณญาณของคุณ"

" ถ้าคุณเข้าโรงแรมแล้ว คุณมีทุกข์หรือคุณมีสุข คุณไปพิจารณาเอง ถ้าเขามีศักยภาพในทางพินิจพิจารณา เขาก็จะสร้างเหตุแห่งสุข เขาจะรู้เองว่า โรงแรมกับวัยของเขาในขณะนั้นคู่ควรกันหรือไม่คู่ควร นี่คือลักษณะของพุทธศาสนา"

"พุทธศาสนาจะไม่มีลักษณะคำสอนแบบ dogma หรือเทวโองการสั่งลงมา ห้ามทำ ไม่มี พุทธศาสนาจะบอกว่า ทางนี้ทำแล้วดี อันนี้ทำแล้วควร อันนี้ทำแล้วชีวิตมีความสุข อันนี้ทำแล้วจะเสียน้ำตา นี่คือลักษณะของพุทธศาสนา เป็น positive religion"

พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี วิพากษ์ต่ออีกว่า แต่ทุกวันนี้ที่เราคนไทยรู้จักพุทธศาสนาเป็น negative religion คือเป็นศาสนาที่ สั่ง บังคับ ห้าม ตอนหลังนี้หนักกว่านั้น มีผู้พยายามที่จะทำให้พุทธศาสนาเป็น untouchable buddhist คือแตะไม่ได้ ใครวิพากษ์วิจารณ์หน่อยไม่ได้ เขียนรูปสันดานกาหน่อยไม่ได้ หนักเข้าๆ พุทธศาสนาจะถูกรวบไปเป็นขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง ซึ่งบอกว่ารักพุทธศาสนามาก

" ศาสนาไหนก็ตาม องค์กรไหนก็ตาม ที่ไม่ยอมให้ใครแตะ หรือไม่ยอมให้ใครวิพากษ์วิจารณ์ ในที่สุดองค์กรนั้นจะตายทั้งๆ ที่ยังอยู่ จะไม่มีเนื้อหาสาระอะไรเลย"

และแม้ว่าสุดท้าย "เสียงธรรมะ" อาจเบากว่า "เสียงราคะ"

แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความรักของพระอาจารย์ ว.วชิรเมธี อาจเข้าไปสั่นคลอนถึงโครงสร้างสถาบันพุทธศาสนาด้วยความกรุณา

เพื่อที่ว่าปีหน้าและทุกๆ ปีต่อไป สังคมไทยจะได้ไม่ต้องปริวิตกกับค่านิยมของ วัยรุ่นที่หมุนแซงโลกใบนี้ไปตั้งนานแล้ว