Pineapple TH-PH

Done

Monday, March 16, 2009

ขาย...เวลา ( T-I-M-E )

อาคารขายเวลา

ในตอนค่ำวันหนึ่ง
ฉันทิ้งตัวลงบนเตียงนอนที่คลุมด้วยผ้าห่มลายนกนางนวลสีเขียว
แล้วก็มองไปยังหนังสือกองโตที่ค้างคา รอให้ฉันไปอ่าน
เสียงถอนหายใจของฉันทอดยาว รับกับเสียงพัดลมขายาวที่ส่งเสียงครางเบาๆ
แถมช่วงเวลานั้นอากาศก็ช่างเป็นใจ เพราะอากาศเย็นสบายกำลังดี
ฉะนั้นเมื่อเวลาผ่านไปได้สักพัก ฉันจึงเผลอหลับไป

ฉันพบตัวเองอีกทีที่หน้าอาคารหลังใหม่่ดูเหมือนจะสร้างด้วยหินอ่อนลักษณะ
คล้ายธนาคารมีบันไดหินสีขาวเป็นมันวับเรียงรายเป็นชั้นๆ
สุดบันไดขั้นสุดท้ายมีประตูกระจกติดฟิล์มกรองแสงเข้ม
มีป้ายแผ่นหนึ่งแขวนไว้ตรงประตูเขียนข้อความว่า 'มีเวลาขาย'
ฉันไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นหรือเพราะอะไรกันแน่
ที่ทำให้ขาทั้งสองข้างก้าวขึ้นไปบนอาคารหินอ่อนแห่งนั้น
เมื่อเอื้อมมือผลักประตูกระจกเข้าไป ไอเย็นของเครื่องปรับอากาศก็ปะทะร่างกาย

ภายในสถานที่นั้นดูโอ่โถงและสวยงามราวกับห้องรับรองชั้นดีมีโต๊ะไม้สีเข้มตัวยาว
ซึ่งกองแฟ้มเอกสารเรียงรายอยู่บนนั้น ชายหนุ่มคนที่นั่งประจำโต๊ะเอ่ยทักทายฉัน
ท่าทางเขาอบอุ่นและเป็นมิตร

'สวัสดีครับ' ...  'ค่ะ' ฉันตอบรับคำเขาเบาๆ
'ผมคิดว่าคุณคงจะไม่ได้มาซื้อเวลา ท่าทางคุณยังเป็นเด็กอยู่เลย
อายุคงยังไม่เกิน 20 ปี'

'ฉันไม่ได้มาซื้อเวลาหรอกค่ะ' ฉันตอบไปทั้งๆ
ที่ยังไม่แน่ใจว่าสินค้าหรือบริการอะไรกันแน่ ที่เขากำลังขายอยู่
'เพียงแต่ว่าฉันอยากมาดูผู้คนแล้วก็การซื้อขายของคุณเท่านั้น'

'ตามสบายเลยครับ' เขายิ้มอย่างมีไมตรี
'เชิญ?นั่ง' เขาผายมือไปทางโซฟาชุดที่ตั้งอยู่ชิดผนังด้านหนึ่ง
ฉันจึงถอยไปทรุดตัวลงนั่ง

ลูกค้าคนแรกที่ฉันพบในอาคารขายเวลาคือชายร่างเล็กผอมเกร็งผมขาวโพลน
ใบหน้าซีดเหลือง เขาพยุงตัวให้ก้าวผ่านบันไดทีละขั้นๆ อย่างลำบากยากเย็น
จนกระทั่งผลักประตูมาหยุดยืนตรงหน้าชายขายเวลา
'ผมมาขอซื้อเวลาที่ผ่านไป...ห้าปี' น้ำเสียงเขาแหบแห้ง และสั่นพร่าอย่างคนที่
กำลังป่วยหนัก
'หมอบอกว่าผมมาหาหมอช้าไปห้าปี ไม่อย่างนั้นแล้วโรคก็คงมีวิธีรักษาให้หายได้'

คนต่อมาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี แต่งตัวสะอาดสะอ้านเพียงแต่ว่าดูหม่นหมองและหมด
หวัง....
'ขอซื้อเวลา สามเดือน' เขาพูดกับชายขายเวลา
'คุณรู้ไหม ผู้หญิงที่ผมรัก เธอไปเมืองนอก เมื่อสามเดือนก่อน
เราคบกันมาเป็นปีแต่ผมก็ยังไม่เคยบอกรักเธอทั้งๆ ที่รักเธอมาก เธอไปโดยไม่รู้
อะไรเลย'
ชายขายเวลามีทีท่าว่าเห็นใจ


ฉันคิดว่าเขาเป็นนักขายเวลาที่มีความอดทนมากทีเดียวที่จะต้องพบลูกค้าที่
ล้วนแล้วแต่มีปัญหาต่างๆ กันไป พร้อมๆ กับนึกเสียดายแทนผู้ชายคนนี้ที่เขาผ่าน
เวลาร่วมปี
ไปโดยเปล่าประโยชน์ แล้วเพิ่งจะมาเห็นคุณค่าของเวลาเหล่านั้น... เมื่อมันได้
ผ่านไปแล้ว

ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มคนนั้นจะก้าวพ้นประตูออกไป หญิงสาวคนหนึ่งก็เดินสวนเข้ามา
หล่อนสวมชุดไว้ทุกข์สีดำ ใบหน้ายังเปื้อนคราบน้ำตา ดวงตายังมีรอยบอบช้ำ

'อยากได้เวลาค่ะ สักสองปี ปีเดียวหรือเพียงครึ่งปีก็ได้'  หล่อนพูดด้วยน้ำเสียง
ที่เศร้าโศก
'ผมคิดว่าคุณคงมีปัญ?หาเกี่ยวกับเวลาในอดีตเหมือนคนอื่นๆ' ชายขาย
เวลากล่าวขึ้น
'ค่ะ' หล่อนรับคำเสียงแผ่ว ...
'คุณแม่ของดิฉันเพิ่งเสียเมื่อสองวันก่อน ท่านดีกับฉันมาก
เลี้ยงดูอย่างเอาอกเอาใจแต่ดิฉันยังไม่ทันทำอะไรให้แม่ชื่นใจเลย
มีแต่ตั้งแง่ตั้งงอน ท่านก็มาด่วนจากไป'
'คุณเลยอยากซื้อเวลาที่ผ่านไปเพื่อทำดีกับคุณแม่ของคุณ'

ฉันนึกเวทนาหล่อน เวทนาที่หล่อนมาคิดอะไรอะไรได้ก็เมื่อสายไป ถ้าหากหล่อนได้ทำ
อะไรไปตั้งนานแล้ว ก็คงไม่ต้องมานึกเสียดายตอนนี้ วูบหนึ่งจึงนึกย้อนกลับมาที่
ตัวเอง

คนต่อมาเป็นเด็กหนุ่ม  ใบหน้าของเขายังอ่อนเยาว์ แต่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความ
กังวล

'ต้องการเวลาเท่าไหร่ดีครับ' ชายขายเวลาถามขึ้นก่อน'สองปี' เขายิ้มอย่างอ่อน
เพลีย
'ผมอยากกลับไปเลือกแผนการเรียนใหม่ผมพลาดไปในตอนนั้น
บางทีผมอาจเริ่มต้นใหม่ด้วยดี จะได้เรียนวิชาที่ชอบแทนวิชาที่น่าเบื่อตอนนี้'
แล้วเขาก็จากไป เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว

ฉันเห็นชายขายเวลาหลับตาลงในขณะที่กำลังเว้นว่างจากลูกค้า แต่เมื่อฉันขยับตัว
เขาก็ลืมตาขึ้นแล้วหันมายิ้มให้ฉัน  ดวงตาเขาอบอุ่น

...เป็นเวลานานเท่าไรก็ไม่ทราบที่ฉันนั่งมองผู้คนเดินผ่านไปมาล้วนแล้วแต่มีท่า
ที
วิตกกังวล ผิดหวัง เสียดาย เสียใจ แล้วก็มาซื้อเวลาไปเพราะว่าพวกเขา
ได้พลาดสิ่งที่น่าจะทำในอดีตแล้วชายขายเวลาก็ปิดแฟ้มพร้อมกับเงยหน้าขึ้น
มาทางฉัน  สักครู่จึงเดินมาทรุดตัวนั่งเก้าอี้โซฟาข้างๆ

'จะปิดร้านแล้วหรือคะ' ฉันถาม
'ครับ... ได้เวลาแล้ว'

'ขอบคุณมากนะคะสำหรับวันนี้ ฉันเห็นจะต้องกลับเสียที'
ฉันพูดกับเขาทั้งๆ ที่ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าฉันจะกลับไปอย่างไร....
'เชิญ?ครับ ขอให้คุณจงใช้เวลาทุกวินาทีให้ผ่านไปอย่างมีคุณค่าและคุ้มค่าที่สุด
นะครับ
ผมหวังว่า คงจะไม่เห็นคุณมาที่นี่เพื่อซื้อเวลานะครับ' เขากล่าวในที่สุด
'ขอบคุณมากค่ะ ฉันจะไม่ลืมคุณ และที่นี่' ฉันลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นไฟก็ดับวูบ

ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่แปลกใหม่เกิดอะไรขึ้น
และฉันเอื้อมมือไปรูดผ้าม่านหน้าต่างสีครีม ผ้าม่านถูกเปิดออก
ท้องฟ้ายังไม่สว่างดีและไก่ก็ยังไม่ขัน

ฉันรีบเก็บที่นอนและกระโดดเข้าห้องน้ำอย่างสดชื่น
จากนั้นก็กลับมานั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือตัวเดิมซึ่งฉันไม่เคยนั่งมันอย่าง
จริงจังมานานแล้ว ....ฉันรู้สึกดีใจที่ฉันยังมีเวลาเหลืออยู่ ... ยังไม่สายเกิน
ไปที่จะเริ่มลงมือทำในสิ่งที่ดีที่ฉันได้หวัง ได้ตั้งใจไว้
ซึ่งไม่เหมือนกับผู้คนเหล่านั้น...ที่ฉันพบที่อาคารขายเวลา...

เวลาไม่เคยรอใคร อย่าปล่อยเวลาไปโดยเปล่าๆ เพราะมันไม่มีวันย้อนกลับมาได้
ฉะนั้นจงใช้เวลาของคุณอย่างระมัดระวัง ใช้อย่างรู้คุณค่า และใช้ให้คุ้มค่าที่
สุด
ท่านจงเตือนสติกันและกันทุกวัน ตลอดเวลาที่เรียกว่า  'วันนี้'

Tuesday, March 10, 2009

'ชีวิตเกิดใหม่' หลังพาใจเข้าโรงเรียน "วรัตดา ภัทโรด"

ชีวิตนี้ไม่อยากเกิดอีกแล้ว อยากหลุดพ้นจากความทุกข์ ระหว่างทางที่ยังไปไม่ถึง
ตรงนั้น ก็ทำงานทำ
ธุรกิจเป็นสัมมาอาชีพไป ไม่ต้องใหญ่โต ไม่ได้คิดว่าต้องมีเงินเยอะๆ คนเราจะกิน
ข้าววันละกี่บาทกัน
เชียว เศรษฐกิจพอเพียงจริงๆ มันคือความพอที่ใจ ทุกวันนี้เงินทองมีพอใช้ มีรถ
ขับ มีคอนโดฯ อยู่
ชีวิตไม่ลำบาก มีเหลือก็ช่วยเหลือคนอื่นที่ลำบากกว่าค่ะ"


ใครจะเชื่อว่านี่จะเป็นเป้าหมายชีวิตของคนที่เคยมีเงินเดือนครึ่งล้าน คนที่มี
การช็อปปิ้งและดื่มเหล้า
เป็นวิธีหาความสุขใส่ชีวิต คนที่ทำงานในแวดวงการตลาดซึ่งต้องใช้สารพัดกลยุทธ์
เพื่อแข่งขันให้สินค้า
และธุรกิจเติบโต โดยมีตัวเลขการเติบโตเป็นหนึ่งในปัจจัยวัดความสำเร็จ คนที่เคย
ปฏิเสธการนุ่งขาว
ห่มขาววิปัสสนาด้วยเหตุผลว่า ถ้าบอกไม่ได้ว่าสีของเสื้อสัมพันธ์อย่างไรกับผล
ของการประสบความ
สำเร็จในการปฎิบัติก็อย่ามาบอกว่าต้องใส่สีอะไร



วรัตดา ภัทโรดม-เหมียว CEO บริษัท Amity Consulting Co.,Ltd. และเป็นที่ปรึกษา
ด้านการ
ตลาดให้กับบริษัทและองค์กรธุรกิจที่มีชื่อเสียงอีกมากมาย ย้อนหลังไปเมื่อ
ยี่สิบกว่าปีก่อน เธอเป็นคน
ไทยคนแรกๆ ที่จบมาทางด้าน Direct Marketing ทันทีที่จบปริญญาโทด้านนี้
จากอเมริกา เธอก็เริ่ม
ต้นทำงานด้วยวัยเพียง 21 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่โลกธุรกิจในเมือง
ไทยกำลังต้องการคนที่มี
ความรู้ด้านนี้ นั่นทำให้ความสำเร็จ ชื่อเสียง การเป็นที่ยอมรับและรายได้
มหาศาลหลั่งไหลเข้ามาใน
ชีวิตเธออย่างท่วมท้นในเวลาอันรวดเร็ว


เริ่มต้นการทำงานด้วยตำแหน่งผู้จัดการแผนก 4 ปีเศษเงินเดือนขยับจากหมื่นสอง
เป็น เกือบ 5 หมื่น
และเป็น 3.5 แสนเมื่ออายุ 29 ถูกทาบทามให้ไปตั้งบริษัท เป็นผู้ถือหุ้น ที่
ปรึกษา อาจารย์และผู้
บรรยายทั้งในและต่างประเทศตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 สื่อรุมล้อมให้ความสนใจ จน
ชื่อเสียงโด่งดังเป็น
ที่รู้จักไปทั้วในวงการธุรกิจ เอเจนซี่ทั้งในและต่างประเทศ พร้อมๆ กับความ
สำเร็จที่กำลังพุ่งทะยาน
อัตตาในตัวเธอก็ค่อยๆ สะสมพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ และต่อมามันได้กลายเป็นเหตุที่นำ
เธอเข้าสู่การปฏิบัติ
ธรรมจนได้พบกับ 'ชีวิตเกิดใหม่' เช่นทุกวันนี้


"
เหมียวเมื่อก่อนเป็นคน aggressive มากเวลาทำงาน จะหงุดหงิดง่าย โกรธง่าย
อารมณ์ร้ายโดย
เฉพาะเวลาที่คนทำอะไรไม่ได้อย่างใจ ก็จะพูดจาแรงๆ ทำร้ายคนอื่น พูดเสียงดังมา
กกกก คิดดู
ออฟฟิศพันตารางเมตรได้ยินเสียงเหมียวทั้งฟลอร์ ค่อนข้างดูถูกคนที่ทำอะไรไม่ได้
อย่างใจเรา มอง
เขาแบบ look down ว่าทำไมแค่นี้ทำไม่ได้ ทำไมช้า วันๆ หนึ่งมีเรื่องให้ฉุนจน
โมโหไม่รู้กี่ครั้ง
โมโหจนมือสั่น คอตีบเดือนนึงต้องมี 2-3 ครั้ง แม่บ้านทำสีตกใส่เสื้อผ้าก็โกรธ
เป็นฟืนเป็นไฟ เป็น
อย่างนี้มาตั้งแต่วัยรุ่นนานวันเข้าดีกรีมันเริ่มมากขึ้นๆ ขนาดใครขับรถปาดหน้า
เราก็ขับปาดคืน กระทั่ง
จอดรถลงไปหยิบกรวยส้มที่วางกั้นบนถนนขว้างใส่คนอื่นก็ทำมาแล้ว ของมันขึ้นความ
ไม่กลัวไม่มีเลย

ตอนนั้นรู้สึกแต่ว่าชีวิตมันเครียด พอเครียดทำอะไรล่ะ ผู้หญิงก็ช้อปปิ้งซื้อ
กระเป๋า นาฬิกา ซื้ออะไร
เลอะเทอะ ที่คาดผมอันละ 5-6 พันก็ซื้อ ไม่ใช่เพราะอยากได้นะ แต่มีความสุขไง พอ
หงุดหงิดเครียด
ก็ดื่มเหล้า ทุกวันศุกร์ เสาร์ ต้องไปเมา รู้สึกดื่มแล้วอารมณ์ดี ก็ดื่มตลอด
เพราะอยากได้อารมณ์แบบนั้น
ติดกับอารมณ์แบบนั้น ท่านโกเอ็นก้าเรียกว่า Emotional Addiction เป็นอย่างนี้
4-5 ปี ไม่เคยรู้
ตัวเลยว่าการกระทำแบบนี้มันสะท้อนว่าเราไม่มีความสุข"


กระทั่งวันหนึ่งเสียงที่เธอตะเบ็งด่าใส่คนอื่นด้วยความโกรธเกรี้ยวก็ดังสะท้อน
กลับมาให้เธอได้ยิน นั่น
เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเสียงของตัวเอง เป็นครั้งแรกที่เริ่มรู้สึกถึงอารมณ์
ฉุนเฉียวของตัวเอง เป็น
ครั้งแรกที่ตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมจึงไม่มีความสุข และเป็นจุดเริ่มต้นที่พา
ให้เธอเดินไปพบกับหน
ทางแห่งความสุขที่แท้จริงของชีวิต


"
คนรอบๆ ตัวพ่อแม่ เพื่อนก็บอกนะว่าเราทำไมขี้หงุดหงิดจัง ทำไมโมโหง่ายจัง แต่
เราไม่เคยคิดอย่าง
นั้น คิดแต่ว่าฉันปกติ จนวันที่ไปช็อปปิ้ง เหมียวบอกขอดูนาฬิกาสีฟ้ากับพนักงาน
ไป แต่เขาไม่สนใจ เรา
บอกย้ำไปอีก ทุกครั้งที่บอกเสียงเหมียวก็ดังขึ้นเรื่อยๆ จนเขาหยิบมาให้แต่เป็น
สีเขียว คราวนี้โกรธ
มากเลย บอก 3 ครั้งไม่ฟังแล้วยังหยิบผิดอีก เลยพูดกับพนักงานไปว่า 'ตาบอดสี
หรือไง บอกสีฟ้าหยิบ
สีเขียว' แต่โชคดีมากที่พอทำไปอย่างนั้นแล้วมันรู้สึกได้ยินเสียงตัวเอง รู้สึก
ว่าทำไมต้องโกรธเขา
ขนาดนั้น คิดได้ก็ขอโทษเขา พอขึ้นรถร้องไห้เลย มองหน้าตัวเองในกระจกก็รู้สึก
ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร
นี่ไม่ใช่เหมียวคนเดิมนี่ แล้วคำพูดของคนที่รักเราก็ค่อยๆ วิ่งเข้ามาในหัวเป็น
ฉากๆ

กลับบ้านก็เขียนเลย เหมียวแต่ก่อนนิสัยยังไง เหมียวปัจจุบันนิสัยแย่ยังไง ก็
คิดว่าทำไมคนนี้ถึงเปลี่ยน
เป็นอีนี่ อะไรทำให้เหมียวคนนี้กลายเป็น Meow 'the bitch' ก็เจอคำตอบว่าเพราะ
ความสำเร็จ
เงิน หน้าที่การงาน ชื่อเสียง ตอนนั้นรู้สึกเหมือนคนอกหักกับสิ่งที่เราได้ยิน
มาตลอดชีวิต เรียนจบสูงๆ
มีเงิน มีงานดีๆ มีชื่อเสียง เราได้ทุกอย่างที่ใครบอกว่าทำแล้วจะมีความสุข แต่
ทำไมเราถึงไม่มีความ
สุข คิดในใจว่าเกิดมาทำไม ทำงานหนักไปทำไม ตายไปผมเส้นเดียวก็เอาไปไม่ได้ ที
นี้มันเริ่มไม่เป็น
เหตุเป็นผลกัน แล้วเราจะทำไปทำไม"


จากการทบทวนตัวเองในวันนั้นทำให้เธอตัดสินใจปิดบริษัท หันหลังให้กับชีวิตแบบ
เดิมๆ เพื่อตัดเอาสิ่งที่
เคยเชื่อว่าเป็นปัจจัยสร้างสุขออกไป โดยที่ยังไม่รู้สาเหตุหลักของความทุกข์
เธอออกเดินทางท่
องเที่ยว ดำน้ำอยู่ปีเศษๆ แม้ผลที่ออกมาจะทำให้มีความสุขเข้ามาในชีวิต คนรอบ
ข้างรู้สึกว่าพฤติกรรม
เธอดีขึ้น แต่เธอก็ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนกับตัวเอง จนเมื่อได้เข้าไปปฏิบัติ
ธรรม คำถามต่างๆ นานา
ในใจก็ถูกคลี่คลาย


"
มีหมอดูบอกว่าให้ไปวิปัสสนาแต่ก็ยังไม่ไป จนพี่ปิ๋มมาทักว่าไม่คิดจะไปวิปัสสนา
บ้างเหรอ ก็โอเคไป ไป
วิปัสสนาของท่านโกเอ็นก้าไปอยู่ 10 วันๆ นี้ห้ามพูดเลย 3 วันแรกนี่ทรมานมาก
เขาให้เฝ้าดูลมหาย
ใจ แต่เรา 1 2 3 ใจมันก็ไปไหนต่อไหนแล้ว นั่งนี่ก็เจ็บ แล้วเป็นคนทำอะไรต้อง
สำเร็จก็พยายามจะ
เอาชนะ แต่ยิ่งสู้มันยิ่งเจ็บ วันที่ 4 เริ่มอยากกลับบ้าน คิดในใจว่ากูมาทำ
อะไรที่นี่ เก็บของเตรียม
กลับบ้าน พอเดินออกมาเห็นเลข 5 ติดบนบอร์ดก็คิดว่ามาตั้งครึ่งทางแล้ว เอาวะ ทน
อีกหน่อย

การนั่งวิปัสสนาครั้งแรกนี้มีความเจ็บปวดมากค่ะ ปวดทั้งตัว พอวันที่ 6 ก็ยัง
ไม่หายเจ็บเราก็ทน ทน
มาทุกวัน เพราะอุเบกขาทำยังไงยังทำไม่เป็น นึกขึ้นได้ว่าก่อนมาปฏิบัติ มีพระ
อาจารย์บอกว่า เวลาที่
เราภาวนาเจ้ากรรมนายเวรจะขัดขวางไม่ให้เราทำสำเร็จ จะทำให้เราเจ็บบ้าง ทำอย่าง
อื่นบ้าง
แล้วแต่คน ของเหมียวนี่เจ็บร้าวอย่างเดียวคะ ถึงวันที่ 6 ตอนบ่ายนี่เหมียว
ประกาศในใจว่า 'มึง
กระทืบกูอย่างนี้มึงฆ่ากูดีกว่า ชั่วโมงนี้อยากกระทืบก็กระทืบไปแต่กูจะไม่เจ็บ
กับมึงแล้ว' เป็นการเรียน
ภาวนาแบบนักเลงมาก

ทีนี้เวลาเราเจ็บเนี่ย ร่างกายเจ็บแล้วเราก็ทำให้ความเจ็บปวดมันมากขึ้น โดย
ปล่อยให้ใจของเรามัน
ไปไม่ชอบ ไปเกลียดความเจ็บด้วย เลยยิ่งทนไม่ไหวใหญ่เลย (Multiple physical
pain by
making it a mental pain) ดังนั้นถ้าเราเอาใจเราไปตั้งไว้กับความเจ็บทางกายและ
ปล่อยให้
มันปรุงแต่งความไม่ชอบตามสบาย เราก็ยิ่งเจ็บ ท่านอาจารย์ โกเอ็นก้าพูดในเทปตอน
ก่อนเริ่มนั่
งพอดีว่า ให้เราหัดยอมรับ ยิ้มรับความเจ็บปวดให้เป็น พอเริ่มเจ็บมากก็จำได้ว่า
เราเพิ่งประกาศว่า
เราจะไม่เจ็บด้วยแล้ว เหมียวเลยสูดลมหายใจเต็มปอด ยอมรับว่าเราเจ็บและยิ้มเลย
ค่ะ นาทีนั้นเป็น
ครั้งแรกในชีวิตที่เริ่มเข้าใจว่า อุเบกขาทำยังไง ปล่อยอะไรวางอะไร อยู่จนครบ
10 วัน พอเขาให้
พูดคำแรกเลยว่า 'เกิดใหม่แล้ว' น้ำตาไหล ปิติมาก


หลังจากปฏิบัติธรรมมาหลายคนก็บอกว่าเหมียวเปลี่ยนไป หลังจากปฏิบัติครั้งแรก
ประมาณ 3 เดือน
ตอนนั่งทานข้าวอยู่ คุณแม่ถามว่า 'เหมียวไปทำอะไรมาลูกหน้าตาใจดีขึ้น หน้าลูก
ก็เปลี่ยน แววตาก็
เปลี่ยน' เดี๋ยวนี้กลายเป็นคนโกรธน้อยลงมากๆ เหลือแค่ประมาณ 1% เมื่อเทียบกับ
เมื่อก่อน เรียกได้
ว่าไม่เป็นบ้าแล้ว ถ้าเกิดการหงุดหงิดก็ประมาณไม่กี่นาทีหรือไม่กี่วินาทีเท่า
นั้นเอง

ในการทำงานเมื่อก่อน ชอบว่าลูกน้องว่าฟังไม่รู้เรื่อง ทำไมพูดแค่นี้ไม่เข้าใจ
หรือ เป็นคนที่มี
listening skill ต่ำ ฟังน้อยพูดมาก เดี๋ยวนี้เมื่อเกิดปัญหาหรือลูกน้องทำ
งานพลาด จะถามเขา
ก่อนว่าเป็นยังไง เกิดอะไรขึ้น โดยไม่หงุดหงิดหรือโกรธเลย จะคุยแบบขำๆ ซะ
มากกว่า เราเองก็
ถามตัวเองก่อนเสมอว่า เหมียวสามารถคิดหาวิธีการทำงาน หรือเปลี่ยนวิธีการอธิบาย
อย่างไรเพื่อให้
เขาเข้าใจได้มากกว่านี้ เรานั่นแหละที่พูดไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่เขาฟังไม่รู้
เรื่อง การทำงานดุได้ ติเตียน
ได้ค่ะ แต่ต้องทำด้วยใจที่มีแต่ความหวังดี ไม่โกรธ


ประมาณ 5 ปีที่แล้ว มีน้องคนหนึ่งทำงานมาไม่โอเค เหมียวก็บอกเขาว่า งานออกมา
อย่างนี้แสดงว่า
ยังเตรียมตัวมาไม่ดีพอ ครั้งนี้พี่จะเขียนให้ก่อน แต่ครั้งหน้าต้องเตรียมให้
พร้อมกว่านี้ ระหว่างคุยๆ อยู่
ก็มีเสียงโทรศัพท์เข้าแล้วเขาก็รับโทรศัพท์ค่ะ เราก็หยุด รอจนเขาพูดโทรศัพท์จบ
ก่อนแล้วก็คุยต่อ เขา
พูดโทรศัพท์สัก 3 ครั้งได้ระหว่างที่เรากำลังคุยกับเขา พอเขาลุกไป น้องอีกคน
ที่นั่งอยู่ด้วยซึ่ง เขาทำ
งานกับเหมียวมา 10 ปีตั้งแต่อยู่กันที่อีกบริษัทหนึ่ง อ้าปากค้างเลยแล้วบอกว่า
'พี่เหมียวถ้าเป็นเมื่อ
ก่อนใครทำแบบนี้ต้องโดนว่าอย่างหนักหรือไม่ก็โดนไล่ออกเลยนะ' 'ทำไมพี่ไม่โกรธ
เลยล่ะ' ซึ่งถ้า
เป็นเมื่อก่อนเหมียวอาจจะให้เด็กคนนี้เก็บของออกไปจากบริษัทเลย พรุ่งนี้อย่า
ให้ฉันเห็นหน้าเธอนะ

หลังจากใจเราสะอาดขึ้น ใจเราได้เข้าโรงเรียน ใจของเราๆ สามารถสั่งได้ ใจไม่
ดื้อ ไม่เป็นบ้า
ใจหายป่วยและแข็งแรงกว่าเก่ามากค่ะ เวลาที่เจอลูกค้าโวยวายไม่น่ารัก ก็คิดในใจ
โถ...เขาสาด
ไฟใส่เราเรื่องอะไรเราจะไปสาดเบนซินใส่ เขาอีก จริงๆ เขาไม่ได้ทำร้ายเราแต่เขา
กำลังทำร้าย
ตัวเองอยู่ เราเองก็เคยเป็นอย่างนั้น ดังนั้น โถ…

ในใจและส่งความรัก ความปารถนาดีให้ ไม่มีหน้าหงิกหน้างอ หรือมีคำพูดเปรี้ยวๆ
ใส่เขากลับไปอีก
ต่อไป เมื่อใจของเราสว่างแล้ว ใจของเรามีความเมตตามากขึ้น อะไรๆ ก็ค่อยๆ
เปลี่ยนไปในทางที่
ดีขึ้น


ตั้งแต่ประมาณ 1 ปีหลังจากส่งใจไปโรงเรียน เวลาเหมียวเจอคนขับรถปาดหน้า ใจของ
เหมียวไม่
เห็นด้วยซ้ำไปว่าเขาปาดหน้าค่ะ ใครรีบให้เขาไป คิดว่า โถ… เขาคงรีบ คิดว่าเวล
าเรารีบเราก็
อาจจะปาดหน้าใครแบบนี้ก็ได้ แบบนี้ใจมันสบาย ไม่มีเรื่องบ้าๆ บนถนนอีก หรือ
เมื่อหลายเดือนก่อน
เพิ่งเจอเรื่องใหญ่ในชีวิต เป็นพายุ Tornado ลูกโตวัดเราเต็มๆ ถ้าเป็นเมื่อ
ก่อนคงร้องไห้ คงดื่ม
เหล้าให้เมาจะได้ลืม คงทุกข์มาก แต่นี่ใช้ธรรมะที่ฝึกมา พอมีปัญหารีบกลับบ้าน
นั่งสมาธิ วิปัสสนา พอ
ใจนิ่งก็พิจารณาดูได้ว่าทุกข์ใจเพราะอะไร เหตุมาจากไหน ทางแก้ไขมีอะไรบ้าง
พายุลูกโตนี้ถ้าเป็น
เมื่อก่อนคงล้มตายไปนานหลายเดือนหรือไม่ก็เป็นปี นี่ใช้เวลา 3 วันในการนั่ง
พิจารณา แล้วก็เด่งดึ๋งก
ลับมาใหม่ ตอนนี้พายุก็ยังโจ มตีอยู่นะคะ แต่ใจเราไม่ล้มไม่เอนแล้ว ความสุขแบบ
นี้หาจากที่อื่นไม่ได้
ค่ะ ได้จากธรรมะและการปฏิบัติจริงเท่านั้น


ส่วนเรื่องหรือคนที่ทำให้เราทุกข์ เหมียวกราบขอบคุณทุกวัน เป็นอาจารย์ใหญ่ของ
เหมียว เพราะ
เหมียวได้ความก้าวหน้าและปัญญามากมายจากพายุลูกนี้


ชีวิตของเราไม่ใช่จะไม่เจอเรื่องหรือคนที่ทำให้เราทุกข์นะคะ ความก้าวหน้าของ
การปฏิบัติวัดได้จาก
ความเร็วของเราว่าล้มแล้วลุกได้เร็วแค่ไหน หรือที่เคยล้มแต่คราวนี้ไม่ล้ม ความ
จริงอีกอย่างที่เหมียว
ได้พิสูจน์แล้วคือ มนุษย์คนเดียวที่จะทำให้เหมียวโกรธได้ ทำให้เหมียวทุกข์ได้
คือตัวเหมียวเองเท่านั้น

ประสบการณ์เหล่านี้ไม่สามารถที่จะอธิบายได้ 100% จากการใช้ภาษานะคะ เพราะภาษา
ก็เป็นสิ่ง
สมมุติ ต้องลองเองค่ะ เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเราเองโดยตรงเท่านั้น การฝึก
จิตก็เหมือน
กับการเ รียนว่ายน้ำ เราจะไม่มีทางว่ายน้ำเป็นได้เลย ถ้าเราไม่กระโดดลงไปในน้ำ
ต่อให้เรา
เรียนรู้ทฤษฎี อ่านหนังสือหรือฟังใครพูดมามากมายแค่ไหนก็ตาม


เหมียวระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ทุกนาที พระ
คุณของพระธรรมคำ
สอน พระคุณของพระสงฆ์และครูบาอาจารย์ที่ได้เก็บรักษาธรรมะและวิธีการปฏิบัติที่
บริสุทธ์ จนเราได้
รับในวันนี้ ขอบคุณบรรพบุรุษ พ่อกับแม่ ญาติๆทุกคน กัลยาณมิตรทุกคน เพื่อนและ
ทุกคนที่ทำให้เรามี
ความสุข และที่สำคัญทุกคนที่ทำให้เราทุกข์ เพราะทุกข์นี่แหละที่ทำให้เหมียว
อยากหาวิธีออกจากทุกข์ใน
วันนี้ค่ะ


ความทุกข์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทำให้เราได้ฝึกฝน เหมือนได้ดึงอาวุธออกมาใช้
และได้ดูว่าอาวุธที่เรา
มีอยู่มันยังคมอยู่มั้ย"


ปัจจุบันเธอยังคงใช้ชีวิตตามแบบฆราวาสที่นำหลักธรรมมาปรับใช้กับชีวิตประจำวัน
และการทำงาน ยัง
คงทำงานอยู่ในแวดวงธุรกิจการตลาด โดยมีบริษัทเล็กๆ ที่มีเป้าหมายอยู่ที่คนทำ
งานมีสุข การพออยู่ได้
ของธุรกิจ โดยที่ไม่เบียดเบียนใคร และไม่ยุยงให้ลูกค้าไปเบียดเบียนผู้อื่น ที่
สำคัญเธอมีความสุขกับ
การปฏิบัติธรรมและได้ชักชวนคนให้รู้จักธรรมะ



>>>เปลี่ยนความคิด ชีวิตเปลี่ยน (สนพ. More of Life) หนังสือที่รวบรวมความคิด
ชีวิต
ประสบการณ์จริง ของวรัตดา ภัทโรดม ในคราบ 'Meow the bitch' ขณะที่อยู่ในช่วง
ชีวิตรุ่งโรจน์
และจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ชีวิตของเธอได้เกิดใหม่อีกครั้ง


--------------------------------------------------------------------------
มีสติทุกขณะ เหมือนมีพระคอยคุ้มครอง

--------------------------------------------------------------------------

Thursday, March 5, 2009

เค้าว่ากันว่า . . .

1. เค้าว่ากันว่า . . . อ่านหนังสือสักเล่มต้องใช้เวลา เช่นเดียวกัน เราคงไม่
รู้จักใครสักคนได้ดี
ตั้งแต่วันแรก

2. เค้าว่ากันว่า . . . อย่าตัดสินหนังสือดี ๆ แค่ปกมันสวย เช่นเดียวกัน คนหน้า
ตาดี อาจจะไม่ใช่คน
ดีเสมอไป

3. เค้าว่ากันว่า . . . คนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือเลย ก็ใช่ว่าจะมีหนังสือเล่มแรก
ในชีวิตที่ชอบไม่ได้ เช่น
เดียวกัน คนที่เราไม่คิดจะอยากรู้จัก อาจจะเป็นคนที่ดีที่สุดในชีวิตเราก็ได้

4. เค้าว่ากันว่า . . . การชอบหนังสือสักเล่ม ไม่ได้หมายความว่า หนังสือเล่ม
นั้น เนื้อหาดีทุกหน้า
เช่นเดียวกัน การรู้สึกดีกับใครสักคน ไม่จำเป็นว่าเขาต้องไม่มีข้อเสียอะไรเลย

5. เค้าว่ากันว่า . . . อย่ารู้สึกเสียดายเวลา กับการอ่านหนังสือบางเล่มจนจบ
แล้วพบว่าเป็นหนังสือ
ที่ไม่ชอบ เช่นเดียวกัน จงรู้สึกดี กับการใช้เวลากับใครสักคนหนึ่งอย่างเต็มที่
แม้ว่าวันหนึ่งจะรู้ว่า เขา
คนนั้นไม่ใช่เลยสักนิด เพราะอย่างน้อย ต่อจากนี้ไป เราจะได้เลือกทางที่ถูกและคน
ที่ใช่ซะที

Monday, March 2, 2009

อย่าเสียศูนย์ เวลาสูญเสีย

การที่เราดำรงชีวิตอยู่ได้เป็นปกติ ก็เพราะศูนย์(จิตใจ)ของเราสมดุล ไม่เอียงซ้ายเอียงขวา ไม่สุขหรือไม่ทุกข์จนเกินไป แต่ถ้าวันใดที่เราเจอปัญหาอุปสรรคหนักๆในชีวิต อาจจะทำให้ชีวิตเริ่มเสียศูนย์ได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่คนเราต้องสูญเสียสิ่งที่เรารักไป ไม่ว่าจะเป็นคนที่เรารักต้องจากไป ไม่ว่าทรัพย์สินเงินทองที่อุตส่าห์เก็บหอมรอบริบมาทั้งชีวิตสูญหายไป ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ หรือคนที่เรารักต้องพลัดพรากจากเราไป

 

คนทุกคนย่อมมีปัญหาหรือความเสี่ยงในชีวิตอยู่ 2 กลุ่มหลักคือ

 

    *

      ความเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความ เสี่ยงกลุ่มนี้ก็คือ การเกิด แก่ เจ็บตาย การมีสุขและมีทุกข์ การมีความโลภ โกรธ หลง (ซึ่งเป็นอารมณ์ประจำตำแหน่งมนุษย์) ความเสี่ยงกลุ่มนี้ทุกคนรู้ทุกคนรับทราบ แต่จะมีสักกี่คนที่ได้วางแผนเตรียมรับมือกับมัน ความเสี่ยงกลุ่มนี้ไม่มีใครหลีกหนีได้ ไม่สามารถไปกำหนดอะไรได้ มันจะเกิดก็ต้องเกิด จะเกิดช้าเกิดเร็วก็ห้ามไม่ได้

    *

      ความเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงหรือป้องกันได้ ความเสี่ยงกลุ่มนี้ก็คือ ความจน ความลำบากในชีวิต ปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม ปัญหาการทำงาน ปัญหาเพื่อนฝูง ปัญหาเรื่องทรัพย์สิน ฯลฯ ความเสี่ยงกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อม และเป็นความเสี่ยงที่ดูแล้ว ไม่ใช่แก่นสารของชีวิต แต่ระดับความรุนแรงของปัญหาในกลุ่มนี้ มักจะมีมากกว่าปัญหาในกลุ่มแรก เช่น การผูกคอตายเพราะอกหัก การกระโดดตึกตายเพราะผิดหวังเรื่องรัก เรื่องเรียน การฆ่าตัวตายด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งถ้าพิจารณากันให้ลึกซึ้งแล้ว จะพบว่าผลกระทบของปัญหาเหล่านี้มีมากในสังคมในปัจจุบัน

 

เวลา ที่มีชีวิตปกติ คนเราสามารถประคับประคองรถยนต์ชีวิตคันนี้ให้แล่นไปได้ดี แต่พอเจอปัญหาอุปสรรคเล็กๆน้อยๆ รถชีวิตบางคันอาจจะทำให้เสียศูนย์หรือควบคุมได้ยาก แต่ก็เพียงชั่วเวลาสั้นๆก็สามารถปรับศูนย์ให้กับคืนปกติด้วยตัวเองได้ เช่น โดนแม่ดุด่า อาจจะเซ็งไปสักพักหนึ่งทำอะไรที่คนธรรมดาคนไม่ทำกันสักวันสองวัน แล้วก็กลับมาเป็นคนปกติได้ แต่ถ้าเจอปัญหาหนักๆ เจอปัญหาที่ไม่เคยเจอมาก่อน เจอปัญหาที่กระทบต่อจิตใจอย่างรุนแรง มักจะทำให้คนเราเสียศูนย์ไปได้ง่ายและยากต่อการปรับศูนย์ด้วยตัวเอง เช่น การสูญเสียบุคคลหรือสิ่งที่เรารัก คนมักจะแสดงอาการเสียศูนย์ให้เห็น เช่น ควบคุมสติตัวเองไม่ได้ ทำอะไรในสิ่งที่คนปกติเขาไม่ทำกัน คิดสั้น ประชดชีวิต หมดอาลัยตายอยากในชีวิต ฯลฯ

 

ใน เมื่อชีวิตก็เป็นเช่นนี้เอง (พูดเหมือนภาษาพระเลย) เราจึงไม่ควรดำเนินชีวิตอย่างประมาท เราควรจะจัดเตรียมตัวเตรียมใจของเราให้พร้อมที่จะรับมือกับสิ่งที่เป็นความ เสี่ยงในชีวิตดังกล่าวอย่างมีสติ ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ชีวิตเกิดอาการเสียศูนย์เหมือนรถยนต์ที่ตกหลุมตก บ่อ จึงอยากจะแนะนำแนวทางในการป้องกันไม่ให้ชีวิตเสียศูนย์เมื่อเกิดการสูญเสีย ดังนี้

 

    *

      ซ้อมรับกับความสูญเสีย เรื่อง บางเรื่องที่เราต้องเจอแน่ๆ แต่จะเร็วหรือช้า ก็ควรจะซ้อมสูญเสียไปตั้งแต่เนิ่น เช่น พ่อแม่ของเราต้องจากเราไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง เราเคยซ้อมทำใจไว้บ้างหรือยัง ของรักของหวงของเราอาจจะหายไปจากชีวิตเรา เราเคยซ้อมรับมือเตรียมใจกับมันไว้บ้างหรือยัง การซ้อมคิดเพื่อรับมือกับการสูญเสีย จะช่วยให้จิตใจของเราได้มีโอกาสผัสผัสกับความผิดหวังบ้าง ถึงแม้จะไม่รุนแรงมากก็ตาม อย่างน้อยที่สุด จิตเราเคยมีความรู้สึกเสียใจ เสียดายกับการซ้อมสูญเสียมาแล้วบ้าง เมื่อต้องเจอกับเหตุการณ์จริงก็คงจะพอช่วยไม่ให้เสียศูนย์มากนัก

    *

      นำเหตุการณ์การสูญเสียของคนอื่นมาเป็นบทเรียน ใน ชีวิตประจำวันของเรา มีเหตุการณ์การสูญเสียของคนรอบข้างเราตลอดเวลา บางคนเสียคนรัก บางคนเสียของรัก ขอให้เราลองนำเอาความรู้สึกและเหตุการณ์ของคนรอบข้างของเรามาคิดว่า ถ้าเป็นเรา เราจะรู้สึกอย่างไร เราจะทำอย่างไร เหมือนหรือต่างกับเขา เหมือนเวลาเขาขับรถ แล้วไปเจอรถคันหนึ่งเสียหลักพุ่งชนราวสะพาน ขอให้เราคิดเสมอว่าถ้าเป็นเรา เราควรจะทำอย่างไร เพราะเตรียมพร้อมโดยการเรียนรู้จากเหตุการณ์ในชีวิตคนอื่น

    *

      รีบกลับมาตั้งหลักโดยการตั้งสติเมื่อเจอปัญหา ถ้า เราขับรถไปแล้วยางแตกหรือระเบิด คนที่จะสามารถรักษาชีวิตของตัวเองให้รอดได้คือคนที่มีสติสัมปชัญญะ ไม่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือตกใจก็สามารถรู้ตัวว่าควรจะทำอย่างไร ในขณะที่คนบางคนตกใจทำอะไรไม่ถูกและไปเหยียบเบรกโดยอาศัยพฤติกรรมอัตโนมัติ ทำให้รถเสียศูนย์เสียหลัก และอาจจะทำให้สูญเสียทั้งทรัพย์สินและชีวิตได้ ดังนั้น เมื่อประสบปัญหาใดๆก็ตาม อันดับแรกคือการตั้งสติรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ดึงสติที่กำลังวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงกลับมาให้ได้ก่อน

    * ประคองตัวเองก่อนที่จะไปคำนึงถึงคนอื่น เมื่อ เกิดปัญหาอะไรขึ้นก็ตาม ขอให้คิดถึงการมีชีวิตอยู่ของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก ไม่ต้องไปกังวลว่าสิ่งอื่นนอกเหนือจากตัวเราจะเป็นอย่างไร เช่น เวลารถเสียหลัก ไม่ต้องไปคิดเรื่องรถพัง ไม่ต้องไปคิดเรื่องว่าจะไปชนรถคนอื่น ไม่ต้องไปคิดว่าตำรวจจะจับ ฯลฯ ต้องคิดถึงตัวเองเป็นอันดับแรก เพราะเมื่อเราคิดถึงตัวเอง เราสามารถประคับประคองตัวเองให้กลับมาสู่สภาวะปกติได้แล้ว ถึงตอนนั้นค่อยไปคิดถึงเรื่องอื่นที่อยู่นอกตัวเรา เพราะถ้าตัวเองยังเอาตัวไม่รอด ไม่คิดถึงคนอื่น สิ่งอื่น ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร

 

      สรุป การสูญเสียบางเรื่องไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ถ้าเราเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงไว้ล่วงหน้า เราก็จะสามารถจัดการกับมันได้ โดยที่เราไม่มีการเสียศูนย์และไม่เสียใจในภายหลัง

ความภูมิใจที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ผลของความสำเร็จ

ความภูมิใจที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ผลของความสำเร็จ

 

เป็น ธรรมดาที่คนทุกคนอยากไขว่คว้าหาความสำเร็จทั้งๆที่หารู้ไม่ว่า ความภูมิใจที่แท้จริงนั้นไม่ได้อยู่ที่ผลของความสำเร็จ แต่อยู่ที่การได้มาซึ่งความสำเร็จนั้นมากกว่า ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ได้ให้ทุกคนเลิกคิดถึงความสำเร็จ เลิกหวังถึงความสำเร็จ แต่เพียงแต่อยากจะเตือนสติว่า คำว่า "ความสำเร็จ" นั้น เรากำลังหมายถึงอะไร หมายถึงสิ่งที่ตั้งเป้าหมายแล้วได้รับ หรือสิ่งที่ได้รับมาโดยไม่ได้คาดหวัง และจุดไหนคือความสำเร็จ เวลาที่เราไปถึงจุดหมายหรือระหว่างทางที่จะไปถึงจุดหมาย ความภูมิใจอะไรที่อยู่กับเรานาน ผลพวงของความสำเร็จ หรือวิธีการได้มาซึ่งความสำเร็จ

 

อยากให้ ท่านผู้อ่านลองคิดตามดูว่า ถ้าท่านเป็นนักกีฬาทีมชาติไทยไปทำการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ที่ประเทศมาเลเซีย ก่อนไปท่านทำการฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อหวังจะเอาเหรียญทองกลับมาเมืองไทย เมื่อไปเจอคู่แข่งซึ่งเป็นเจ้าภาพแล้ว ท่านรู้ได้ทันทีว่า "หิน" ทั้ง ความสามารถของคู่แข่ง และสภาพแวดล้อมของกองเชียร์เจ้าภาพ แต่เมื่อทำการแข่งขัน ผลปรากฎว่าท่านเป็นผู้ชนะคว้าเหรียญทองกลับบ้าน จึงอยากจะถามว่า  

 

    * ความภูมิใจของท่านคือตัวเหรียญทอง(ซึ่งเป็นโลหะ) หรือความสามารถของตัวท่านเอง?

    * เหรียญทองมีค่าสำหรับท่านมากน้อยเพียงใด ท่านไปหาซื้อเหรียญทองแบบเดียวกันที่อื่นได้หรือไม่?

    * ถ้าเหรียญทองที่ได้มานั้น  ได้ มาเพราะคู่แข่งถอนตัวหมด จะด้วยเหตุใดๆก็ตาม แล้วเหลือท่านเพียงคนเดียว ผู้จัดการแข่งขันเลยต้องยกเหรียญทองนั้นให้กับท่าน ท่านคิดว่าท่านรู้สึกภาคภูมิใจกับเหรียญทองเหรียญนี้หรือไม่?

    * สมมติ ว่าท่านไม่ได้เหรียญใดๆเลย แต่คนขโมยเหรียญทองที่ใช้มอบสำหรับการแข่งขันจริงมาให้กับท่าน ท่านคิดว่ามันมีค่าในสายตาของท่านหรือไม่?

    * เวลาไปไหนมาไหนท่านคิดว่าคนจะเข้ามาพูดคุยกับท่านเพราะท่านมีเหรียญทองหรือเพราะความสามารถของท่าน?   

 

จากคำถาม ข้างต้นนี้ หวังว่าท่านคงจะตอบได้โดยไม่ยากนัก แต่ในชีวิตจริงแล้ว คนหลายคนมักจะหลงติดอยู่กับสิ่งที่เป็นผลพวงของความสำเร็จ เช่น ผลการเรียนได้เกียรตินิยม ได้ปรับตำแหน่ง ได้รับเงินเดือน ได้ของขวัญของรางวัล ประกาศนียบัตร เพราะมักจะคิดว่าสิ่งนี้คือความสำเร็จ แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องหมายบ่งชี้ความสำเร็จ เท่านั้น หาได้มีค่ามากมายอะไรดั่งที่เราคิดกันไม่ 

 

 

 

ทำไม เราจึงมีความภาคภูมิใจเมื่อเราคว้าชัยหรือเมื่อเราบรรลุเป้าหมายหรือทำบาง สิ่งบางอย่างได้สำเร็จ เหตุผลที่สำคัญก็เพราะว่าเราเกิดความภูมิใจในความสามารถของตัวเราเองที่ สามารถฝ่าฟันอุปสรรคมาได้ และเราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอะไรก็ตามที่เราได้มาง่ายๆ เราจะไม่รู้สึกภาคภูมิใจกับมันมากนัก หรือมีก็เพียงประเดี๋ยวประด๋าว เพราะเราไม่ได้ภูมิใจในสิ่งที่ได้ แต่เราภูมิใจในความสามารถในการที่ได้มามากกว่า 

 

 เมื่อ เป็นเช่นนี้แล้ว หวังว่าทุกคนคงจะเลิกลุ่มหลงในเครื่องหมายแห่งความสำเร็จกันเสียที และหันกลับมาให้ความสำคัญกับเส้นทางไปสู่ความสำเร็จกันให้มากขึ้น  เพราะถ้าเรามัวแต่มุ่งหวังแต่ความสำเร็จ สักวันหนึ่งท่านจะผิดหวังกับการกระทำของท่านเอง

 

เราคงเคยเห็นการคัดเลือกประธานาธิบดีสหรัฐ (ไม่อยากพูดถึงนักการเมืองไทย) คน ที่จะมาเป็นประธานาธิบดีได้นั้น จะต้องไม่มีประวัติด่างพร้อยในทุกๆเรื่องแม้แต่เรื่องส่วนตัว ถ้าคนบางคนประสบความสำเร็จมาจากวิธีการที่ไม่ถูกต้อง เขาจะไม่สามารถแก้ไขหรือลบประวัติศาสตร์ของชีวิตในบันทึกหน้านั้นๆของเขาได้ เลย ยังไงเสียเขาก็ยังคงถูกตีตราไว้ว่าไม่บริสุทธิ์อยู่ดี ถึงแม้ไม่มีใครรู้แต่ความจริงก็คือความจริงที่ไม่สามารถลบออกจากตัวของเขา ได้ อยากจะยกตัวอย่างให้เห็นได้ชัดเจนขึ้น เช่น เมื่อปีที่แล้วคุณเคยขโมยเงินคนอื่นมา 1,000 บาท แต่ตอนนี้คุณเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของประเทศไทยแล้ว คุณคิดว่าคุณสามารถเอาเงินสักร้อยเท่าพันเท่าของเงินที่คุณเคยขโมยมา ไปคืนให้เจ้าของเพื่อชดเชยกับเงินที่คุณเอาของเขามาได้หรือไม่  ถึงแม้เจ้าของเงินจะยอมรับเงินจากคุณแต่คุณก็ยังไม่สามารถลบมลทินในชีวิตของคุณได้อยู่ดี

 

ดังนั้น จึงอยากจะให้ทุกคนตระหนักว่าความสำเร็จนั้นเป็นผลพวงแห่งการผสมผสานของหลาย สิ่งหลายอย่างในระหว่างเส้นทางชีวิตที่เรากำลังจะเดินไปหาจุดหมาย เราไม่สามารถบอกได้การกระทำอันไหนจะส่งผลต่อความสำเร็จ และไม่สามารถบอกได้ชัดเจนเฉพาะเจาะจงลงไปได้ว่าสิ่งไหนที่ไม่เกี่ยวข้องกับ ความสำเร็จของเราเลย  

 

ขอ ให้เราลองหันกลับไปทบทวนความเป็นมาของชีวิตของเราเองว่า การที่เราประสบความสำเร็จอยู่ในปัจจุบันนี้มันเป็นผลมาจากอะไรในอดีต เกิดจากการที่เราเรียนเก่งใช่หรือไม่ เกิดจากการที่เราเกิดในครอบครัวที่ดีใช่หรือไม่  เกิดจากเรามีเพื่อนดีมีสามีภรรยาดีใช่หรือไม่  คำ ถามเหล่านี้เราไม่สามารถตอบได้ชัดเจนว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นกิจกรรมแห่งชีวิตของเราล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อ สถานภาพในปัจจุบันของเราทั้งสิ้น ดังนั้น กิจกรรมแห่งชีวิตในปัจจุบันก็กำลังจะกลายเป็นส่วนผสมของความสำเร็จในอนาคต เช่นเดียวกัน

 

 ระดับแห่งความภูมิใจในความสำเร็จนั้นไม่ได้วัดกันที่ผลของความสำเร็จ ซึ่งพอจะเขียนสูตรของระดับความภูมิใจในความสำเร็จได้ดังนี้  

 

ระดับแห่งความภูมิใจ  = ช่องว่างระหว่างจุดเริ่มต้นกับเป้าหมาย x ระดับปัญหาอุปสรรค

 

คนที่ไม่มีเงินเลย แต่สามารถทำงานหาเงินมาได้ 100 บาท จะมีความภาคภูมิใจมากกว่าคนเศรษฐีพันล้านที่หาเงินมาเพิ่มได้อีกหนึ่งล้าน บาท อันนี้แสดงให้เห็นว่าระดับของตัวชี้วัดความสำเร็จเพียงอย่างเดียวไม่ได้ บ่งบอกถึงระดับความภาคภูมิใจในความสำเร็จ  

 

 คน สองคนมีตำแหน่งหน้าที่การงานเหมือนๆกัน แต่คนแรกต้องทำงานหนักมาตลอดเพราะเป็นลูกจ้างมืออาชีพ ต้องฟันฝ่าอุปสรรคเส้นสายมามากมายกว่าจะขึ้นมาเป็นฝ่ายบริหารของบริษัทได้ ในขณะที่อีกคนหนึ่งได้มาเป็นฝ่ายบริหารเพราะเป็นลูกของเจ้าของและร่ำเรียนจบ มาจากเมืองนอก ถามว่าสองคนนี้ใครจะรู้สึกภาคภูมิใจกับตำแหน่งหน้าที่การงานมากกว่ากัน  เราสามารถพูดได้เต็มปากว่าคนที่ฝ่าฟันอุปสรรคมากกว่าย่อมมีความภาคภูมิใจกับความสำเร็จของตัวเองสูงกว่า 

 

สรุป ความภาคภูมิใจของคนเราที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ผลของความสำเร็จ แต่อยู่ที่การได้มาซึ่งความสำเร็จนั้นๆ และสิ่งที่ติดตัวไปกับคนเราตลอดเวลานั้นไม่ใช่เหรียญรางวัลหรือเครื่องชี้ วัดผลของความสำเร็จ   แต่อยู่ที่ความ ภูมิใจในความสามารถของตัวเอง และระดับความภาคภูมิใจนี้ก็ได้มาจากช่องว่างระหว่างจุดเริ่มต้นกับเป้าหมาย รวมกับความยากลำบากในการได้มา ถ้าท่านต้องการความภาคภูมิใจต่อความสำเร็จของท่านที่แท้จริงและยั่งยืน ขอให้ท่านตั้งเป้าหมายที่ท้าทายและทุ่มเทใจกายให้กับสิ่งนั้นอย่างเต็มที่ รับรองความความสำเร็จและความภูมิใจจะไม่หนีหายไปจากท่านอย่างแน่นอน

เทคนิคการสร้างแรงจูงใจในชีวิต

เทคนิคการสร้างแรงจูงใจในชีวิต

ถ้า วันไหนเรามีแรงจูงใจหรือกำลังใจในชีวิต น้อยกว่าปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นหรือกำลังจะเกิดขึ้น วันนั้นอาการที่แสดงออกมาคือ เบื่อ เซ็ง ขี้เกียจ ท้อแท้ ฯลฯ เปรียบเหมือนกับการที่เราขับรถยนต์ขึ้นภูเขา ถ้าวันไหนต้องขับขึ้นภูเขาที่สูงชันมากเกินกว่ากำลังเครื่องยนต์ของเราจะสู้ ได้ วันนั้น รถยนต์ของเราก็คงจะหยุดอยู่กับที่หรือไม่ก็ลื่นไถลตกลงมาสู่ที่ต่ำ ถ้าวันไหนเรามีแรงจูงใจหรือกำลังใจ มากกว่าปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้น วันนั้น อาการที่เราแสดงออกคือ สนุก ขยัน แรงฮึดเยอะ ไม่กลัว กล้าทำ กล้าลุย กล้าเสี่ยง ฯลฯ เปรียบเสมือนกับการที่เราขับรถยนต์ที่มีกำลังเครื่องยนต์แรงมากหรือเหมือน ขับรถโฟวีลที่สามารถขับขึ้นภูเขาลูกไหนก็ได้ ลุยกับสภาพถนนแบบไหนก็ได้

 

แรงจูงใจมีอยู่ในตัวคนเราอย่างไม่จำกัด แต่ข้อจำกัดอยู่ที่ใจของเราเองที่ไปจำกัดว่าเราไม่มี เราไม่ไหว เราไม่สู้ เช่น เวลาตื่นนอนตอนเช้าถ้าวันไหนเรารู้สึกเบื่อ ท้อ ขี้เกียจ การที่จะลุกขึ้นออกจากเตียงยังยากเลย แทบจะไม่มีแรงต่อสู้กับแรงดึงดูดของเตียง แต่ถ้าวันไหนมีกำลังไหม้บ้าน (แรงผลักที่เกิดจากความกลัว) หรือเราต้องไปขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวต่างประเทศ(แรงดึงที่เกิดจากความอยาก) เราสามารถตื่นและลุกออกจากเตียงได้โดยไม่ต้องลังเล เราสามารถชนะแรงดึงดูดของเตียงนอนได้อย่างง่ายดาย สิ่งเหล่านี้แสดงว่าในความเป็นจริงแล้ว ศักยภาพในตัวเรามีอยู่อย่างไม่จำกัด ขึ้นอยู่กับว่าเรามีสิ่งกระตุ้น(ความอยากและความกลัว)และเทคนิควิธีการในการ ฉุดดึงเอาแรงจูงใจ ออกมาใช้ได้มากน้อยเพียงใดเท่านั้น

 

เพื่อให้ชีวิตของเรามีแรงขับเคลื่อนที่มากพอและต่อเนื่อง ผมขอแนะนำเทคนิคการสร้างแรงจูงใจจาก 2 แหล่งดังนี้

 

การสร้างแรงจูงใจ...จากเรื่องราวในอดีต

ชีวิตคนหนึ่งคน คือภาพยนตร์หนึ่งเรื่องที่ถ่ายเก็บไว้ตั้งแต่เกิด แต่ไม่ค่อยมีใครนำมาเปิดใช้ในระหว่างทางของชีวิต ส่วนใหญ่จะเปิดกันก็ต่อเมื่อเข้าสู่บั้นปลายของชีวิต เข้าข่ายที่ว่า "คนแก่ชอบเล่าเรื่องเก่า" เพราะชีวิตของคนกลุ่มนี้ไม่มีอนาคตแล้ว พลังที่จะช่วยให้ชีวิตของเรายังคงอยู่ต่อไปได้คือกำลังใจจากเรื่องราวในอดีต ที่รู้สึกภูมิใจ เล่ากี่ครั้งกี่หนก็ไม่เคยเบื่อ (แต่คนฟังเบื่อไปหลายรอบแล้ว) ถ้าเรายังไม่แก่ ขอแนะนำว่าควรจะนำเอาเรื่องเก่าทั้งที่เป็นจุดด้อยและความภูมิใจในชีวิตที่ ผ่านมา มาสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง เมื่อไหร่ที่นึกถึงความยากลำบากในชีวิตที่ผ่านมาก็จะทำให้เราเกิดพลังที่จะ ขับเคลื่อนตัวเองให้หลุดพ้นจากสภาพที่เราเคยลำบากมาก่อน ในขณะเดียวกันถ้าเรานึกถึงเรื่องที่เราภูมิใจ อาจจะเป็นความสำเร็จในชีวิตที่ผ่าน ก็เท่ากับว่าเราได้ชาร์ตไฟให้กับตัวเองด้วยความภูมิใจในอดีตของตัวเราเอง

 

การสร้างแรงจูงใจจากอดีต ถือเป็นเทคนิคการสร้างแรงจูงใจแบบผลักดันให้ชีวิตเราเดินไปข้างหน้า ด้วยเรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว เหมือนกับการที่เราเข็นรถยนต์ที่จอดอยู่จากด้านหลังของรถนั่นเอง ตัวอย่างเทคนิคการสร้างแรงจูงใจจากเรื่องราวในอดีต...

 

    * ใครเบื่อพ่อเม่ ขอให้นึกถึงตอนที่เราเจ็บไข้ไม่สบายตอนเด็กๆ ใครเป็นคนเผ้าดูแลเอาใจใส่เราตลอดเวลา

    * ใครเบื่องาน ขอให้นึกถึงวันเริ่มงานวันแรก

    * ใครเบื่อสามีหรือภรรยา ให้นึกถึงวันที่แต่งงาน

    * ใครเบื่อลูกให้นึกถึงวันที่คลอดลูกหรือไปรอหน้าห้องคลอด

    * ใครเบื่อคนรอบข้างให้นึกถึงวันที่เราเคยไปหลงป่าอยู่คนเดียว หรือวันที่เราต้องอยู่บ้านคนเดียว

    * ใครเบื่อตัวเอง ให้นึกถึงวันที่เราเคยให้คำปรึกษาผู้อื่น

 

การสร้างแรงจูงใจ...จากเรื่องราวในอนาคต

คนบางคน ในบางเวลา เรื่องราวในอดีตอาจจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ไม่ได้ อาจจะเป็นเรื่องในอดีตมีแต่เรื่องที่ช่วยฉุดแรงจูงใจให้ต่ำลงไปอีก จึงขอแนะนำให้ใช้เทคนิคสร้างแรงจูงใจโดยใช้เรื่องราว เหตุการณ์ในอนาคตมาหลอกล่อหรือดึงดูดใจ การสร้างแรงจูงใจในชีวิตเปรียบเสมือน การที่เราเข็นรถชีวิตที่จอดอยู่นิ่งๆ ถ้าไม่สามารถเข็นจากด้านหลังได้ ก็อาจจะต้องใช้วิธีการดึงจากข้างหน้า หรือไม่ก็อาจจะต้องใช้ทั้งสองทางรวมดัน(ทั้งดึงและดัน)

 

สำหรับการสร้างแรงจูงใจจากเรื่อง ราวในอนาคต เป็นการหลอกตัวเองให้วิ่งไล่จับความฝัน หลอกตัวเองให้กลัวการสูญเสียบางสิ่งบางอย่างในอนาคตไป เป็นการป้องกันคำว่า "เสียดาย" ในชีวิต เพราะคนหลายคนมักจะเกิดคำว่าเสียดายในหลายเรื่อง เนื่องจากมาคิดได้ก็สายไปเสียแล้ว วิธีการสร้างแรงจูงใจจากเรื่องราวในอนาคตเป็นการซ้อมคิดหาคำว่าเสียดายที่ อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต แล้วนำเอาความรู้สึกเสียดายนั้นๆมาใช้ในการสร้างแรงจูงใจ ตัวอย่างเทคนิคการสร้างแรงจูงใจจากเรื่องราวในอนาคต...

 

    * ใครเบื่อพ่อเม่ ขอให้นึกถึงวันสุดท้ายที่ท่านจากเราไป

    * ใครเบื่องาน ขอให้นึกถึงวันที่เขาจะให้เราออกจากงานหรือวันที่เราจะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง

    * ใครเบื่อสามีหรือภรรยา ให้นึกถึงวันที่เขาจากเราไป

    * ใครเบื่อลูกให้นึกถึงวันที่ลูกประสบความสำเร็จ

    * ใครเบื่อคนรอบข้างให้นึกถึงวันที่คนเหล่านั้นมาร่วมแสดงความยินดีกับความสำเร็จของเรา

    * ใครเบื่อตัวเอง ให้นึกถึงวันที่เราจะประสบความสำเร็จ

 

สรุป แรงจูงใจไม่ต้องไปซื้อหาหรือหยิบยืมใครที่ไหน มันอยู่ในตัวของเราอยู่แล้ว เพียงแต่เราจะมีเทคนิควิธีการในการดึงมันขึ้นมาใช้ได้อย่างไร สำหรับเทคนิคที่ผมแนะนำไปนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ผู้อ่านหลายท่านอาจจะมีเทคนิคเฉพาะของตัวเองอีกหลายวิธี ขอให้ลองฝึกดึงพลังภายในโดยการสร้างกำลังใจให้กับตัวเองบ่อยๆ รับรองได้ว่าชีวิตนี้ไม่มีวันหมด "กำลังใจ" อย่างแน่นอนครับ

การบริหารลูกค้าภายใน (Internal Customer Management)

การบริหารลูกค้าภายใน (Internal Customer Management)

 

เมื่อพูดถึงคำว่า "ลูกค้า" คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงกลุ่มคนที่เป็นคนซื้อสินค้าหรือบริการจากองค์กรต่างๆ เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วใครก็ตามที่เขาได้รับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากเราไป เราก็ถือว่าเขาเหล่านั้นเป็นลูกค้าทั้งสิ้น เมื่อระบบมาตรฐานสากลต่างๆเข้ามา คำว่าลูกค้าก็เริ่มครอบคลุมถึงหน่วยงานภายในองค์กรที่ต้องทำงานต่อเนื่องจาก เรา

 

ใน อนาคตอันใกล้นี้ผมคิดว่าคำว่าลูกค้าจะต้องครอบคลุมมาถึงลูกค้าในชีวิตของเรา ด้วย เพราะอะไร ก็เพราะว่าการที่เราจะบริการลูกค้าภายนอกได้ดีหรือไม่ดีนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเรามีพฤติกรรมบริการหรือนิสัยบริการในระดับพื้นฐานของชีวิต ประจำวันมากน้อยเพียงใด เดี๋ยวนี้เขานิยมเรียกกันว่าเป็น Competency เรื่อง Service Mind หรือ Customer Focus 

 

ถ้า เปรียบชีวิตของคนเราเป็นองค์กรๆหนึ่งเราก็มีลูกค้าอยู่หลายกลุ่มตั้งแต่ กลุ่มลูกค้าที่เป็นคนในครอบครัวเรา กลุ่มลูกค้าที่เป็นญาติ เป็นเพื่อน จนถึงกลุ่มลูกค้าที่เป็นลูกค้าในหน้าที่การงานของเรา และคนทั่วไปในสังคม 

 

สิ่ง ที่เรามักจะประสบพบเจออยู่เสมอคือ คนมักจะใส่ใจกับลูกค้าที่เป็นลูกค้าภายนอกที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงาน มากกว่าลูกค้าภายใน โดยเฉพาะคนในครอบครัว คนเรามักจะนึกถึงวันเกิดของลูกค้า วันครบรอบแต่งงานของลูกค้า มีสมุดจดบันทึกประวัติลูกค้าอย่างละเอียด และมักจะมีของติดไม้ติดมือไปฝากลูกค้าอยู่เป็นประจำ แต่...มักจะลืมวันเกิดหรือวันสำคัญๆของลูกค้าภายใน(ครอบครัว) ซ้ำร้ายบางครั้ง แล้วคนเหล่านี้ก็มักจะนำเอาความประทับใจของลูกค้าภายนอกที่มีต่อตนเองมาเล่า ให้คนที่เป็นลูกค้าภายในครอบครัวฟังอีก ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้คนในครอบครัวเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจมากยิ่งขึ้น

 

ผม อยากจะชี้ให้ท่านผู้อ่านเห็นสัจธรรมของชีวิตข้อหนึ่ง นั่นก็คือ ว่าไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะไหน เศรษฐกิจขาขึ้นหรือลง ทำงานได้หรือไม่ได้ อยู่สุขสบายหรือเจ็บป่วย ลูกค้าที่มีความจงรักภักดีกับเราและไม่เคยหนีจากเราไปไหนคือ ลูกค้าที่เป็นคนในครอบครัวโดยเฉพาะพ่อแม่พี่น้อง คู่สมรส หรือลูก ถึงแม้ว่าสินค้าและบริการของเราจะแย่กว่า แพงกว่าคนอื่น แต่คนเหล่านี้ก็ยังอุดหนุนเราอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ไม่ได้อุดหนุนในเชิงของการซื้อขายเหมือนของกินของใช้ แต่อุดหนุนด้วยกำลังใจ ไม่เหมือนกับลูกค้าภายนอกกลุ่มอื่น เช่น เพื่อน(บางคน)จะมาหาเราก็ต่อเมื่อเรามีผลประโยชน์(เพื่อนกิน) ลูกค้าจะซื้อสินค้าเราก็ต่อเมื่อเราเสนอบางสิ่งบางอย่างให้เขาดีกว่าคู่แข่ง ขัน และลูกค้าเหล่านี้พร้อมที่จะหนีเราไปได้ตลอดเวลา ถ้าเราให้เขาได้น้อยกว่าที่เขาคาดหวัง

 

เพื่อ ให้ลูกค้าภายในซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเราเกิดความ ประทับใจและพึงพอใจต่อสินค้าและบริการของเราให้คุ้มค่ากับการที่เขามอบความ ไว้วางใจให้กับเรามากกว่ากลุ่มอื่นๆ ผมจึงขอแนะนำเทคนิคการบริหารลูกค้าภายในดังนี้

 

 ·       บริการและดูแลลูกค้าภายในเหมือนลูกค้าภายนอก  ผม คิดว่าแค่เพียงเราทำสิ่งต่างๆเท่ากับสิ่งที่ทำให้กับลูกค้าภายนอก (ไม่ต้องดีกว่าไม่ต้องมากกว่า) รับรองได้ว่าผลของการให้บริการที่เกิดจากลูกค้าภายในย่อมมีมากกว่าลูกค้าภาย นอก เช่น เรานำของขวัญวันเกิดให้ลูกค้าภายนอก ลูกค้าอาจจะรู้สึกดีหรือเฉยๆ เพราะคู่แข่งของเราหรือคนอื่นๆเขาก็ให้ของขวัญแก่ลูกค้าคนนั้นและลูกค้าก็ รู้ว่าเราให้ของขวัญเขาเพราะหวังผลตอบแทนจากการซื้อขายสินค้าหรือบริการ แต่ถ้าเราซื้อของขวัญวันเกิดมูลค่าเท่ากันให้กับคนในครอบครัว สมาชิกในครอบครัวเราย่อมมีความประทับใจมากกว่าลูกค้าภายนอกอย่างแน่นอน   

 

·       แบ่งปันความภูมิใจให้ลูกค้าภายในครอบครัว  เมื่อ ไหร่ที่เรามีกำไรในชีวิต(ความสำเร็จ) กรุณาแบ่งปันให้ลูกค้าในครอบครัวบ้าง เช่น บอกว่ากำไรในชีวิตนั้น บุคคลคนไหนในครอบครัวมีส่วนร่วมบ้าง หลายคนนึกถึงคนในครอบครัวเมื่อชีวิตลำบาก แต่มักจะลืมคนในครอบครัวเมื่อประสบความสำเร็จ ดังนั้น ทุกครั้งที่ประสบความสำเร็จควรจะมีการแบ่งปันความรู้สึกดีๆสู่ลูกค้าภายใน ครอบครัวด้วย

 

·       นึกถึงลูกค้าภายในเสมอเมื่อทำอะไรให้ลูกค้าภายนอก ทุกครั้งที่เราทำอะไรให้กับใครซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มอื่นๆ กรุณาถามตัวเองว่าเราได้ทำสิ่งนี้ให้กับลูกค้าภายในครอบครัวของเราแล้วหรือ ยัง เช่น ในขณะที่เรานั่งฟังคนอื่นพูดอย่างตั้งใจ เราเคยตั้งใจฟังคำพูดของคนในครอบครัวบ้างหรือไม่ ในขณะที่เราเลือกซื้อของขวัญให้คนอื่น ลองนึกดูว่าเราเคยซื้อของขวัญให้กับคนในครอบครัวบ้างหรือยัง ถ้าเราทำแบบนี้ทุกครั้ง อย่างน้อยจะช่วยให้เราไม่หลงลืมลูกค้าภายในได้บ้างถึงจะไม่ทั้งหมดก็ตาม  

 

สรุป การ บริหารลูกค้าภายในถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคนทุกคน เพราะจะช่วยให้เราสามารถดูแลลูกค้าภายนอกได้อย่างไม่เคอะเขิน เช่น ถ้าเราเคยยกมือไหว้พ่อแม่ทุกวัน เมื่อเราไปหาลูกค้าภายนอกเราสามารถยกมือไหว้ลูกค้าได้ง่ายขึ้น เพราะการยกมือไหว้เป็นนิสัยที่ติดตัวเราอยู่แล้ว นอกจากนี้ การดูแลลูกค้าภายในให้ดีนั้น จะช่วยให้ฐานในการดำเนินชีวิตของเรามั่นคงขึ้น เพราะความพึงพอใจของลูกค้าภายในครอบครัวถือเป็นฐานกำลังใจที่ดีที่สุดที่จะ ช่วยให้เราก้าวไปสู่ความสำเร็จในเรื่องอื่นๆ สุดท้ายนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านผู้อ่านคงจะหันมาดูแลและใส่ใจลูกค้าภาย ใน(ครอบครัว)ให้มากขึ้นกว่าเดิมนะครับ