Pineapple TH-PH

Done

Thursday, January 28, 2010

Wednesday, January 27, 2010

Article of the Week :บันทึกช่วยจำ.... ของ "เหลียงจี้จาง "

บันทึกช่วยจำ....ของ "เหลียงจี้จาง "

เป็นพิธีกรดังของ TVB

ในฮ่องกง

และเป็นนักเขียนด้วย

 

บันทึกช่วยจำที่เขาเขียนให้ลูก

ได้รับการเผยแพร่เป็นวงกว้างเมื่อไม่นานมานี้

นอกจากแสดงถึงความห่วงหาอาทรที่พ่อมีต่อลูกเฉกเช่นคุณพ่อทั่วๆ ไป

มุมมองของเขาบางเรื่อง  (แบบสังคมฮ่องกง)

แม้บางคนจะเคยประสบมาบ้างเหมือนกัน

อ่านแล้วก็ยังอดอึ้งไม่ได้ เลยถ่ายทอดสู่กันฟัง...

 

ลูกรัก...

ที่พ่อเขียนบันทึกช่วยจำฉบับนี้ให้ลูก

มีเหตุผลอยู่ 3 ประการ

คือ

1.  สรรพสิ่งล้วนอนิจัง

จะมีชิวิตอยู่ได้อีกนานเท่าใดไม่มีใครบอกได้พ่อจึงคิดว่า

บางเรื่องพ่อน่าจะสั่งเสียไว้แต่เนิ่นๆ ย่อมจะดีกว่า

 

2.  เพราะพ่อเป็นพ่อของลูก

ถ้าพ่อไม่บอกลูก

ไม่มีใครหรอกที่เขาจะบอกลูกแบบที่พ่อบอก

 

3.  สิ่งที่พ่อบันทึกไว้นี้  ล้วนเป็นประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดที่พ่อได้เรียนรู้มา

มันจะทำให้ลูกไม่ต้องเสียเวลา ไปเรียนรู้มันอีก

ในชีวิตของลูก ขอให้จำสิ่งต่างๆ หล่านี้ไว้ให้ดี...

 

 1. คนที่ไม่ดีต่อเรา ไม่ต้องไปใส่ใจนัก

ในชีวิตคนเรา ไม่มีใครมีหน้าที่ที่จะต้องมาดีต่อเรา

ยกเว้นพ่อ กับแม่ของลูก

 

 

สำหรับคนที่ดีกับลูก

นอกจากลูกต้องหวงแหน  และขอบคุณเขาแล้ว ...

ยังต้องคอยระวังตัวไว้ด้วย  เพราะคนเราทุกคน

ทำอะไรย่อมมีจุดประสงค์

เขาทำดีกับลูก

ใช่ว่าเขาจะทำเพราะชอบลูกเสมอไป

ลูกต้องตระหนักจุดนี้ให้ดี

อย่าเพิ่งรับเขาเป็นเพื่อนเร็วเกินไป

(น่ากลัวไหม)

 

2. ไม่มีคนที่ทดแทนกันไม่ได้ และไม่มีสิ่งใดที่ต้องมีให้ได้

ถ้าเข้าใจจุดนี้

หากวันใดคนข้างกายของลูกไม่ต้องการลูกอีกต่อไป

หรือวันใดที่ลูกต้องเสียสิ่งที่รักที่สุดไป

ลูกจะได้เข้าใจ ว่านี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรเลย

 

3. ชีวิตนี้แสนสั้น

(อยากมากก็แค่ 120 ปี )

หากลูกยังใช้ชีวิตอย่างไม่เห็นคุณค่า

พรุ่งนี้ลูกจะพบว่าชีวิตจะหลุดลอยไปไกลยิ่งขึ้น

ดังนั้น ยิ่งรู้จักถนอมชีวิตเร็วเท่าใด

เวลาที่ลูกจะได้รับความสุขจากชีวิตก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

หาความสุขเสียแต่วันนี้ ดีกว่านั่งหวังให้มีอายุยืนนาน

 

4. ในโลกนี้ไม่มีเรื่องรักนิรันด์กาล

ความรักเป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบ

โดยความรู้สึกนี้ย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา และอารมณ์

หากสิ่งที่ลูกรักมากที่สุดจากลูกไป

ขอให้รอคอยอย่างอดทน ห้เวลาช่วยชะล้าง

ให้จิตใจค่อยๆ ตกตะกอน

แล้วความทุกข์ของลูกจะค่อยๆจางหายไป..

อย่าวาดหวังความรักให้สวยเกินไป

และอย่าซ้ำเติมการอกหักให้ทุกข์เกินเหตุ

 

5. แม้ว่าคนหลายคนที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้ไม่ได้เรียนมาสูง

แต่ไม่ได้หมายความว่า หากไม่ขยันเรียน แล้วจะได้ดี

ความรู้คืออาวุธ คนเราอาจสู้แล้วรวย

 

แต่ไม่มีทางรวยได้ หากปราศจากอาวุธที่จะสู้.. จำไว้!

 

6. พ่อจะไม่ขอให้ลูกเลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของพ่อ

เพราะพ่อก็จะไม่เลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของลูกเช่นกัน

เมื่อลูกโตพอจนเป็นอิสระได้แล้ว พ่อก็หมดหน้าที่แล้วเช่นกัน

หลังจากนั้นไป  ลูกจะนั่งรถเมล์ หรือจะนั่งรถเบ๊นซ์ จะกินหูฉลาม

หรือจะกินบะหมี่ยำๆ ลูกต้องเลือกเอง

 

7.  ต้องทำดีต่อผู้อื่น

แต่อย่าหวังว่าผู้อื่นต้องทำดีต่อเรา

เราปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร

มิได้หมายความว่าผู้อื่นก็จะปฏิบัติตอบต่อเราในแบบเดียวกัน..

ลูกต้องเข้าใจในข้อนี้ จะได้ไม่หาทุกข์ใส่ตัวโดยไม่จำเป็น

 

8. พ่อซื้อล๊อตเตอรี่มาตลอดชีวิต

ยังยากจนเหมือนเดิม

แม้แต่รางวัลเลขท้ายยังไม่เคยถูกเลย

นี่เป็นบทพิสูจน์ว่า

คนเราจะเจริญก้าวหน้าได้

ต้องขยันขันแข็งอย่างเดียวเท่านั้น

ในโลกนี้ไม่มีมื้อเที่ยงที่ไม่ต้องเสียตังค์

(No free lunch)

 

9. ญาติ มิตร หรือสหาย

ล้วนเป็นกันชาตินี้ชาติเดียว

ฉะนั้น  จงหวนแหนโอกาสที่ได้อยู่ด้วยกัน

และแสนมีค่านี้ เพราะในชาติหน้า

ไม่ว่าท่านจะรักใคร หรือชังใคร

ท่านก็จะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก

(หมายเหตุ ถึงพบกัน...ก็ไม่รู้จักกัน)

Monday, January 25, 2010

FW: Quote of the Day: FAILURE (ความล้มเหลว)

"Ninety-nine percent of the failures come from people who have the habit
of making excuses."


- George Washington Carver

________________________________________________________________


เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ของคนที่ล้มเหลวมาจากนิสัยชอบแก้ตัว


________________________________________________________________


- จอร์จ วอชิงตัน คาร์เวอร์

George Washington Carver. ชาวอเมริกันผิวสี อัจริยะบุคคล ด้านพฤกษศาสตร์ งาน
ประดิษฐ์
วาดภาพ ดนตรี และการสอน.



"ผู้ชนะหาหนทาง ผู้แพ้หาคำแก้ตัว"

Wednesday, January 20, 2010

"สามเหลี่ยมแห่งชีวิต" วิธีเอาตัวรอดจากแผ่นดินไหวและตึกถล่ม

"สามเหลี่ยมแห่งชีวิต"
วิธีเอาตัวรอดจากแผ่นดินไหวและตึกถล่ม

 


จากบทความของ ดัก คอบบ์ เรื่อง "สามเหลี่ยมชีวิต" เรียบเรียงสำหรับการสรุปให้คณะกรรมการ ด้านความปลอดภัย MAA

ผมชื่อ ดัก คอบบ์ ผมเป็นหัวหน้าหน่วยกู้ภัย และ ผู้จัดการด้านพิบัติภัยของทีมกู้ภัยนานาชาติแห่งสหรัฐฯ ซึ่งเป็นทีมกู้ภัยที่มีประสบการณ์มากที่สุดในโลก ข้อมูลในบทความนี้ จะช่วยชีวิตคนในกรณีเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงได้

ผมเคยคลานเข้าไปในตึกที่ถล่มมาแล้ว 875 ตึก เคยทำงานกับหน่วยกู้ภัยจาก 60 ประเทศ ก่อตั้งหน่วยกู้ภัยในหลายประเทศ และเป็นเหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการอพยพผู้คน กรณีเกิดพิบัติภัยขององค์การสหประชาชาติมา 2 ปี ผมได้ทำงานกับพิบัติภัยใหญ่ๆ ในโลกมาตั้งแต่ ปี ค.ศ.1985

เมื่อปี ค.ศ.1996 เราได้ทำภาพยนตร์ ขึ้นมาเรื่องหนึ่ง ซึ่งได้พิสูจน์ว่าวิธีการรักษาชีวิตของผมถูกต้องเรา โดยผมได้จำลองเหตุการณ์แผ่นดินไหวถล่มโรงเรียนและบ้านที่มีหุ่นมนุษย์ 20 ตัวอยู่ภายใน หุ่น 10 ตัว "มุดและหาที่กำบัง" และอีกสิบตัวใช้วิธีการรักษาชีวิตแบบ "สามเหลี่ยมชีวิต" ของผม หลังจากแผ่นดินไหวทดลอง เราคลานผ่านซากปรักหักพังและเข้าไปในตึก เพื่อถ่ายภาพและเก็บข้อมูลของผลที่เกิด

ในภาพยนต์แสดงให้เห็นว่าอัตราการอยู่รอด ของพวกที่มุดและหาที่กำบังคือ "ศูนย์" และมีโอกาสรอด 100% สำหรับพวกที่ใช้วิธี "สามเหลี่ยมชีวิต" ของผม

ภาพยนต์ชุดนี้ได้ผ่านสายตาของผู้ชมโทรทัศน์เป็นล้านๆ คนในตุรกี และส่วนที่เหลือของยุโรป เคยออกอากาศทางโทรทัศน์ในสหรัฐอเมริกา คานาดา และลาตินอเมริกา ตึกแห่งแรกที่ผมได้คลานเข้าไป คือโรงเรียนแห่งหนึ่งในเมืองเม็กซิโกซิตี้ในแผ่นดินไหว ปี 1985 เด็กทุกคนอยู่ใต้โต๊ะเรียน ทุกคนถูกอัดแบนจนกระดูกแหลก พวกเขาอาจจะมีชีวิตรอดด้วยการนอนราบกับพื้น ตรงบริเวณทางเดินข้างๆ โต๊ะเรียนของตัวเอง

ในเวลานั้น เด็กๆได้รับคำแนะนำ ให้หลบใต้อะไรบางอย่าง อธิบายอย่างง่ายๆ เมื่อตึกถล่ม น้ำหนักของเพดานที่ตกลงมาบนสิ่งของหรือ เครื่องเรือนที่อยู่ภายในจะทับทำลายสิ่งของเหล่านั้น จนเกิดเหลือที่ว่างหรือช่องว่างข้างๆ ที่ว่างเหล่านี้คือสิ่งที่ผมเรียกว่า "สามเหลี่ยมชีวิต" สิ่งของชิ้นยิ่งใหญ่ ยิ่งแข็งแรง โอกาสที่สิ่งของถูกทับอัดยิ่งน้อย ช่องว่างก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น โอกาสที่คนที่อาศัยช่องว่างเหล่านั้นหลบภัย จะไม่เป็นอันตรายก็ยิ่งมีมาก

ครั้งต่อไปที่คุณดูอาคารที่ถล่มในโทรทัศน์ ลองนับ "สามเหลี่ยม" ที่เกิดขึ้นที่คุณเห็น มันอยู่เต็มไปหมดทุกที่ เป็นรูปทรง ที่เห็นได้มากที่สุดอยู่ทั่วไป

10 วิธีเพื่อความปลอดภัยยามแผ่นดินไหว

1) "อย่ามุดเข้าไปอยู่ใต้โต๊ะ" เกือบทุกคนที่ "มุดและหาที่กำบัง" เมื่ออาคารถล่มจะถูกทับอัดจนตาย คนที่เข้าไปอยู่ใต้สิ่งของ อาทิ โต๊ะหรือรถยนต์จะถูกอัดทับ

2) แมว หมา และเด็กทารก โดยธรรมชาติมักจะขดตัวในท่าเหมือนอยู่ในครรภ์มารดา คุณควรทำเช่นกันในกรณีแผ่นดินไหว มันเป็นสัญชาติญาณเพื่อความปลอดภัยและรักษาชีวิต คุณสามารถมีชีวิตรอดในช่องว่างที่เล็กๆ โดยไปอยู่ข้างๆสิ่งของ ข้างเก้าอี้โซฟา ข้างของหนักๆ ชิ้นใหญ่ๆ ที่จะบี้แบนไปบ้างแต่ก็ยังเหลือที่ว่างข้างๆมันไว้

3) อาคารไม้เป็นสิ่งก่อสร้างที่ปลอดภัยที่สุด ที่จะอยู่ได้ในขณะเกิดแผ่นดินไหว แผ่นไม้มีความยืดหยุ่นและเคลื่อนตัวตามแรงของแผ่นดินไหว ถ้าอาคารไม้ถล่ม จะเกิดช่องว่างขนาดใหญ่เพื่อช่วยชีวิต และอาคารไม้ ยังมีน้ำหนักทับทำลายที่เป็นอันตรายน้อยกว่า อาคารอิฐจะแตกพังเป็นก้อนอิฐมากมาย ก้อนอิฐเหล่านี้เป็นสาเหตุของการบาดเจ็บ แต่จะทับอัดร่างกายน้อยกว่าแผ่นคอนกรีต

4) หากคุณกำลังนอนอยู่บนเตียงตอนกลางคืนและเกิดแผ่นดินไหว เพียงกลิ้งลงจากเตียง ช่องว่างที่ปลอดภัยจะเกิดรอบๆเตียง โรงแรมจะสามารถเพิ่มอัตราผู้รอดชีวิตจากแผ่นดินไหวได้ โดยเพียงติดป้ายหลังประตูในทุกห้องพัก บอกให้ผู้เข้าพักนอนราบกับพื้นข้างๆขาเตียงระหว่างเกิดแผ่นดินไหว

5) หากมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้น และคุณไม่สามารถหนีออกมาง่ายๆทางประตูหรือหน้าต่าง ก็ให้นอนราบ และขดตัวในท่าทารกในครรภ์ ข้างๆเก้าอี้โซฟาหรือเก้าอี้ตัวใหญ่ๆ

6) เกือบทุกคนที่อยู่ตรงช่องประตูตอนตึกถล่ม ไม่รอดเพราะอะไร? หากคุณยืนอยู่ตรงช่องประตูและวงกบ ประตูล้มไปข้างหน้าหรือข้างหลัง คุณจะโดนเพดานด้านบนตกลงมาทับ หากวงกบประตูล้มออกด้านข้าง คุณจะถูกตัดเป็นสองท่อนโดยช่องประตู ไม่ว่ากรณีไหน คุณก็ไม่รอดทั้งนั้น!

7) อย่าใช้บันไดเด็ดขาด บันไดมี "ช่วงการเคลื่อนตัว" ที่แตกต่างไป (บันไดจะมีการแกว่งแยกจากตัวอาคาร) บันไดและส่วนที่เหลือของตัวอาคารจะชนกระแทกกันอย่างต่อเนื่อง จนเกิดปัญหากับโครงสร้างของบันได คนที่อยู่บนบันไดก่อนที่บันไดจะถล่มจะถูกตัดเป็นชิ้นโดยชั้นบันได ถูกแยกส่วนอย่างน่าสยดสยอง ถึงอาคารจะไม่ถล่มก็ควรอยู่ห่างบันไดไว้ บันไดเป็นส่วนของอาคารที่มีโอกาสถูกทำให้เสียหาย ถึงแม้แผ่นดินไหวจะไม่ได้ทำให้บันไดถล่ม มันอาจถล่มในเวลาต่อมาเมื่อรับน้ำหนักมากเกินไปจากคนที่กำลังหนี มันควรได้รับการตรวจสอบความปลอดภัยเสมอ ถึงแม้ส่วนที่เหลือของอาคารจะไม่ได้รับความเสียหายก็ตาม

8) ไปอยู่ใกล้กำแพงด้านนอกของอาคาร หรือออกจากอาคารถ้าเป็นไปได้ จะเป็นการดีกว่ามากที่จะอยู่ใกล้ส่วนนอกของอาคาร มากกว่าจะอยู่ที่ส่วนในของอาคาร คุณยิ่งอยู่ลึกเข้าไปหรือไกลจากบริเวณภายนอกของอาคารมากเท่าไหร่ โอกาสที่ทางหนีของคุณจะถูกปิดกั้นยิ่งมีมาก

9) คนที่อยู่ภายในรถยนต์ถูกทับอัด เมื่อถนนด้านบนตกลงมาเพราะแผ่นดินไหวและทับรถของพวกเขา นี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับแผ่นคอนกรีตระหว่างชั้นของถนนหลวงนิมิทซ์ ผู้เคราะห์ร้ายทั้งหมดจากแผ่นดินไหวที่ซานฟรานซิสโก อยู่ในรถของตัวเอง พวกเขาตายทั้งหมด พวกเขาสามารถมีชีวิตรอดได้ง่ายๆ ด้วยการออกจากรถและนั่งหรือนอนราบอยู่ข้างๆรถตัวเอง คนที่ตายทุกคนอาจรอดได้ถ้าพวกเขาสามารถออกจากรถ และนั่งหรือนอนราบอยู่ข้างรถตัวเอง รถที่ถูกทับอัดทุกคันมีช่องว่าง สูง 3 ฟุตอยู่ข้างๆ ยกเว้นรถที่ถูกเสาคาดตกทับกลางคันรถ

10) ผมค้นพบว่า ขณะที่คลานเข้าไปในซากสำนักงานหนังสือพิมพ์ และสำนักงานอื่นๆ ที่โดนแผ่นดินไหวและมีกระดาษอยู่ข้างในเป็นจำนวนมากว่า กระดาษจะไม่อัดตัว จะพบช่องว่างขนาดใหญ่รอบๆ กองกระดาษที่เรียงทับซ้อนกัน

การเผยแพร่ข้อมูลนี้ จะช่วยชีวิตคนได้อีกหลายคน

 

Monday, January 18, 2010

บันทึกช่วยจำของ"เหลียงจี้จาง" Very very Good!!!!

บันทึกช่วยจำของ"เหลียงจี้จาง" Very very Good!!!!

เหลียงจี้จาง"เป็นพิธีกรดังของ TVB ในฮ่องกงและเป็นนักเขียนด้วย บันทึกช่วยจำ
ที่เขาเขียนให้ลูก
ได้รับการเผยแพร่เป็นวงกว้างเมื่อไม่นานมานี้ นอกจากแสดงถึงความห่วงหาอาทรที่
พ่อมีต่อลูกเฉกเช่น
คุณพ่อทั่วๆไป มุมมองของเขาบางเรื่อง(แบบสังคมฮ่องกง) แม้บางคนจะเคยประสบมา
บ้างเหมือนกัน
อ่านแล้วก็ยังอดอึ้งไม่ได้ เลยถ่ายทอดสู่กันฟัง...


ลูกรัก..ที่พ่อเขียนบันทึกช่วยจำฉบับนี้ให้ลูก มีเหตุผลอยู่ 3 ประการ คือ

1. สรรพสิ่งล้วนอนิจัง จะมีชิวิตอยู่ได้อีกนานเท่าใดไม่มีใครบอกได้ พ่อจึงคิด
ว่า บางเรื่องพ่อน่าจะ
สั่งเสียไว้แต่เนิ่นๆ ย่อมจะดีกว่า

2. เพราะพ่อเป็นพ่อของลูก ถ้าพ่อไม่บอกลูก ไม่มีใครหรอกที่เขาจะบอกลูกแบบที่
พ่อบอก
3. สิ่งที่พ่อบันทึกไว้นี้ ล้วนเป็นประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดที่พ่อได้เรียนรู้
มา มันจะทำให้ลูกไม่ต้อง
เสียเวลาไปเรียนรู้มันอีก


ในชีวิตของลูก ขอให้จำสิ่งต่างๆเหล่านี้ไว้ให้ดี

1. คนที่ไม่ดีต่อเรา ไม่ต้องไปใส่ใจนัก ในชีวิตคนเรา ไม่มีใครมีหน้าที่ที่จะ
ต้องมาดีต่อเรา ยกเว้น
พ่อกับ

แม่ของลูก สำหรับคนที่ดีกับลูก นอกจากลูกต้องหวงแหนและขอบคุณเขาแล้ว ยังต้อง
คอยระวังตัวไว้
ด้วย

เพราะคนเราทุกคน ทำอะไรย่อมมีจุดประสงค์ เขาทำดีกับลูก ใช่ว่าเขาจะทำเพราะชอบ
ลูกเสมอ
ไป
ลูกต้องตระหนักจุดนี้ให้ดี อย่าเพิ่งรับเขาเป็นเพื่อนเร็วเกินไป (น่ากลัวไหม)


2.ไม่มีคนที่ทดแทนกันไม่ได้ และไม่มีสิ่งใดที่ต้องมีให้ได้ ถ้าเข้าใจจุดนี้
หากวันใดคนข้างกายของลูก
ไม่ต้องการลูกอีกต่อไป หรือวันใดที่ลูกต้องเสียสิ่งที่รักที่สุดไป ลูกจะได้
เข้าใจ ว่านี่ไม่ใช่เรื่องคอขาด
บาดตายอะไรเลย

3. ชีวิตนี้แสนสั้น (จะอยู่แค่ 160 ปีเอง)หากลูกยังใช้ชีวิตอย่างไม่เห็นคุณ
ค่า พรุ่งนี้ลูกจะพบว่าชีวิต
จะ
หลุดลอยไปไกลยิ่งขึ้น ดังนั้น ยิ่งรู้จักถนอมชีวิตเร็วเท่าใด เวลาที่ลูกจะได้
รับความสุขจากชีวิตก็จะ
ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น หาความสุขเสียแต่วันนี้ ดีกว่านั่งหวังให้มีอายุยืนนาน


4. ในโลกนี้ไม่มีเรื่องรักนิรันด์กาล ความรักเป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบ โดย
ความรู้สึกนี้ย่อมเปลี่ยน
ไปตาม กาลเวลาและอารมณ์ หากสิ่งที่ลูกรักมากที่สุดจากลูกไป ขอให้รอคอยอย่างอด
ทน ให้เวลาช่วย
ชะล้าง ให้จิตใจค่อยๆตกตะกอน แล้วความทุกข์ของลูกจะค่อยๆจางหายไป.. อย่าวาด
หวังความรักให้
สวยเกินไป

และอย่าซ้ำเติมการอกหักให้ทุกข์เกินเหตุ


5. แม้ว่าคนหลายคนที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้ไม่ได้เรียนมาสูง แต่ไม่ได้หมาย
ความว่า หากไม่
ขยัน เรียน แล้วจะได้ดีความรู้คืออาวุธ คนเราอาจสู้แล้วรวย แต่ไม่มีทางรวยได้
หากปราศจาก
อาวุธสู้.. จำไว้


6. พ่อจะไม่ขอให้ลูกเลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของพ่อ เพราะพ่อก็จะไม่เลี้ยงดู
ครึ่งชีวิตหลังของลูกเช่นกัน
เมื่อ ลูกโตพอจนเป็นอิสระได้แล้ว พ่อก็หมดหน้าที่แล้วเช่นกัน หลังจากนั้นไป
ลูกจะนั่งรถเมล์หรือจะนั่ง
รถเบ๊นซ์จะกินหูฉลามหรือจะกินบะหมี่ยำๆ ลูกต้องเลือกเอง


7. ต้องทำดีต่อผู้อื่น แต่อย่าหวังว่าผู้อื่นต้องทำดีต่อเรา เราปฏิบัติต่อผู้
อื่นอย่างไร มิได้หมายความ
ว่าผู้อื่น ก็จะปฏิบัติตอบต่อเราในแบบเดียวกัน.. ลูกต้องเข้าใจในข้อนี้ จะได้
ไม่หาทุกข์ใส่ตัวโดยไม่จำ
เป็น


8. พ่อซื้อล๊อตเตอรี่มาตลอดชีวิต ยังยากจนเหมือนเดิม แม้แต่รางวัลเลขท้ายยัง
ไม่เคยถูกเลย นี่
เป็นบท พิสูจน์ว่า คนเราจะเจริญก้าวหน้าได้ ต้องขยันขันแข็งอย่างเดียวเท่า
นั้น ในโลกนี้ไม่มีมื้อเที่ยง
ที่ไม่ต้อง เสียตังค์ (No free lunch)


9. ญาติ มิตร หรือสหาย ล้วนเป็นกันชาตินี้ชาติเดียว ฉะนั้น จงหวงแหนโอกาสที่
ได้อยู่ด้วยกัน
ค่านี้ เพราะในชาติหน้า ไม่ว่าท่านจะรักใครหรือชังใคร ท่านก็จะไม่มีโอกาสได้
พบกันอีก
(หมายเหตุ ถึงพบกันก็ไม่รู้จักกัน ) &nb

ความโกรธ : คัดลอกจากหนังสือ "ชั่วโมงแห่งความคิดดี"

ความโกรธ   คัดลอกจากหนังสือ  "ชั่วโมงแห่งความคิดดี"

 

ความโกรธเกิดขึ้นในกรณีต่าง ๆ ดังนี้คือ

 

เขาพูดจริงโดยหวัดดีต่อเรา แต่ไม่ถูกใจเรา  เราโกรธ

เขาพูดธรรมดา แต่ไม่ถูกใจ เรา เราโกรธ

เขาไม่พูด ไม่ถูกใจเรา  เราโกรธ

เราคิดว่าเขานินทาเรา (ที่จริง เขาไม่ได้นินทาเรา)  เราโกรธ

เขาคิดว่าเรานินทาเขา (แต่เราไม่ได้นินทาเขา)   เราโกรธ

เราเข้าใจผิดว่าเขาทำผิด(ทั้ง ๆ ที่ เขาทำดี)   เราโกรธ

เขาเข้าใจผิดว่าเราทำผิด (ทั้ง ๆ ที่ เราทำดี)  เราโกรธ

เขาหน้าบึ้ง ใจไม่ดี เรารู้สึกว่าเขาไม่พอใจเรา   เราโกรธ

เหตุปัจจัยทางกายที่ทำให้เรารู้สึกหงุดหงิด ก็มี อารมณ์ โทสะครอบงำ จิตใจของเรา เรารู้สึกหงุดหงิด

ก็มี อย่างไรก็ตามเมื่อเรารู้สึกหงุดหงิด เราจะรู้สึกว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ใครจะอยู่รอบตัวเรา น่าโกรธทั่ง

นั้น

เราจะรู้สึกว่า เขาคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำอะไรก็ไม่ดี  น่าโกรธ สมควรโกรธ  ครูบาอาจารย์สอนไว้ว่า

เหตุที่สมควรโกรธนั้นไม่มี 

อย่าเชื่อความรู้สึก อย่าเชื่อความคิด เพราะมันไม่แน่

 

ความโกรธ เปรียบเหมือน อาหารที่ไม่อร่อย

หากมีใครนำมาให้เราแล้วเราไม่รับ ผู้ที่นำมาให้ก็จะต้องรับกลับไปเอง ความโกรธก็่เช่นเดียวกัน เมื่อ

เขาโกรธเรา แล้ว

เราเฉย ๆ  ก็เท่ากับเขาโกรธ ตัวเอง  หากเราโกรธตอบ ก็เหมือนกินอาหารไม่อร่อยนั้นด้วยกัน

 

เมื่อเกิดอารมณ์โกรธ โมโห การหายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ จนมีสติสัมปชัญญะ มีความรู้สึกตัว

ทั่วถึงลมหายใจแล้ว

อารมณ์โกรธ ก็ตั้งอยู่ไม่ได้

จึงเปรียบเหมือนการที่เราไม่กินอาหารไม่อร่อย ที่เขาปรุงมาให้ เขาก็ต้องยกอาหารนั้นกลับคืนไป

 

*****************************************

อย่าพึ่งเชื่อ ความรู้สึกและความคิด ที่ผ่านการฝึกมาน้อย

*****************************************

เหตุที่สมควรโกรธนั้นไม่มี กับผู้ที่ฝึกแล้ว

***************************************************************

คนเป็นสัตว์ที่ฝึกและพัฒนาตนเองได้ เมื่อฝึกแล้วจึงจะเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐกว่าสัตว์อื่น

***************************************************************

 

วิธีระงับความโกรธ

 

ตั้งสติ หายใจออกยาว ๆ สบาย ๆ หายใจเข้า ปล่อยตามธรรมชาติ หายใจออกยาว ๆ สบาย ๆ เพื่อ

คลายความรู้สึกที่ไม่ดี

ออกไปพร้อมกับลมหายใจออก หายใจเข้า ปล่อยตามปกติ ให้ลมหายใจเข้า ช้า ๆ ลึก ๆ พอสมควร

หายใจออก ตั้งใจให้เป็น

ลมหายใจยาว ๆ สบายๆ เมื่อทำซ้ำๆ อยู่เช่นนี้ก็จะรู้สึกสบาย กาย สบายใจ เกิดความสงบเย็นใจ แล้ว

ก็เกิดความละอายต่ออารมณ์โกรธ

จนกระทั่งความโกรธไม่กล้า โผล่หน้ามาให้เห็นอีก

 

 

สำหรับคนที่มีนิสัยขี้โกรธ มาก ๆ  การห้ามไม่ให้โกรธเลย อาจจะเป็นไปได้ยาก หรือยิ่งพยายามระงับ

ยิ่งเครียด ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็ปล่อย

ให้โกรธได้ตามปกติ แต่พยายามให้ความรู้สึกโกรธนัั้น หายไปเร็ว ๆ ปล่อยวางให้เร็วขึ้น จากเคยโกรธ

3 วัน ก็ให้เหลือ 2 วัน 1 วัน

1 ชั่วโมง แล้ว ก็ปล่อยวางไปในที่สุด

 

 

 

***************************************

พิมพ์ โดย   ชญานันทน์

 

ปรัชญาพุทธกับคนรัก(ที่ไม่รักเรา)

ปรัชญาพุทธกับคนรัก(ที่ไม่รักเรา)

 

 

 

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว

มีหญิงสาวคนหนึ่งผิดหวังในรักเนื่องจากคนรักของตนได้มาทิ้งไป

จึงกำลังจะฆ่าตัวตาย

ขณะนั้นเองมีพระธุดงส์รูปหนึ่งผ่านมาพบเข้า

จึงได้กล่าวให้สติกับสีกา ว่า "โยมจะทำอะไรรึ"

หญิงสาว "อิชั้นจะฆ่าตัวตายเพราะไม่รู้จะอยู่ไปทำไม มีแฟนๆ
ก็มาทิ้งไปเจ้าค่ะ"

หญิงสาวตอบ พระธุดงส์จึงได้เทศนาให้หญิงสาวฟังว่า

"เหตุใดโยมจึงต้องเสียใจเล่าในเมื่อคนที่ควรจะเสียใจควรจะเป็นแฟนของโยมสิ"

หญิงสาวหยุดคิดและถามกลับไปด้วยความสงสัยว่า"ทำไมล่ะเจ้าคะ"

พระธุดงส์ตอบว่า"ในเมื่อโยมมิได้สูญเสียสิ่งที่สำคัญไปเลยน่ะสิ"

หญิงสาวตั้งใจฟังพระธุดงส์แล้วก็ตอบกลับไปว่า

"ไม่จริงหรอกค่ะดิชั้นสูญเสียแฟนอันเป็นที่รักยิ่งไปนะเจ้าค่ะ"

พระธุดงส์ตอบ"โยมได้สูญเสียคนที่มิได้รักและห่วงใยโยมซึ่งจะมีค่าอันใด

แต่แฟนโยมซิที่สูญเสียคนที่รักและห่วงใยเค้าเช่นโยม

ใครควรจะเสียใจกว่ากันล่ะโยม"

 

=

Tuesday, January 5, 2010

รักฉันก็จงปล่อยให้ฉันตายเถิด...!เทคโนโลยี 'ซ่อมมนุษย์ 'โลกตะลึง!

รักฉันก็จงปล่อยให้ฉันตายเถิด...!

http://www.thairath.co.th/content/edu/56329

เทคโนโลยี 'ซ่อมมนุษย์ 'โลกตะลึง! วงการแพทย์ ปี 2010
สร้างเซลล์อะไหล่ปฏิบัติการยื้อชีวิต

"อะไหล่มนุษย์"
"ซ่อมมนุษย์"
นับย้อนหลังไปประมาณ 15 ปีก่อนหน้านี้ หากมีใครพูดถึงเรื่องแบบนี้
คงถูกผู้คนในสังคมมองด้วยสายตาแปลกๆ หรืออาจถึงขั้นโดนกล่าวหาว่าเพ้อเจ้อ
แต่มาถึงวันนี้สิ่งที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน ก็กลับเกิดขึ้นได้จริง
เพราะวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ โดย
เฉพาะความพยายามของมนุษย์ที่จะคิดค้น แสวงหา
ทุกวิถีทางเพื่อยืดช่วงเวลาของความเป็นหนุ่มเป็นสาว
และในที่สุดคือสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ที่เรียกกันว่า
"ชะลอแก่-ชะลอตาย"
เพราะนับจากปี 2010 เป็นต้นไป เซลล์ ยีน ซึ่งหมายถึง
พันธุกรรมของมนุษยชาติ
และสเต็มเซลล์จะเป็นสิ่งที่ทำให้โลกต้องตกตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ก่อนที่จะก้าวไปถึงวันที่วงการแพทย์ สามารถสร้างเซลล์อะไหล่ของมนุษย์
เพื่อปฏิบัติ การซ่อม ยืด และถึงที่สุดคือยื้อชีวิตมนุษย์นั้น
ทีมข่าวสาธารณสุข
ขอย้อนอดีตเพื่อไล่เลียงถึงที่มาที่ไปของวิวัฒนาการทางการแพทย์
ที่นำมาสู่การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี สเต็มเซลล์ หรือ เซลล์อะไหล่
ที่กำลังจะกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการแพทย์โลก
เริ่มจากปี ค.ศ. 1995 เทคโนโลยีการผ่าตัด, การปลูกถ่าย หรือเปลี่ยนอวัยวะ
เป็นที่ฮือฮาอย่างมาก เทคโนโลยีการผ่าตัดที่ทันสมัย
ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดผ่านกล้อง หรือแม้แต่
การใช้ระบบนำวิถีเพื่อลงมีดผ่าตัดที่อวัยวะต่างๆ
ลดความเสี่ยงจากการผ่าตัดพลาดเป้า
โดยเฉพาะการผ่าตัดสมองซึ่งเป็นอวัยวะที่มีความซับซ้อนและละเอียดอ่อนกว่าอวัยวะอื่นๆ
เป็นที่สนใจอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์โลก และประเทศไทย
ต่อมาในปี ค.ศ. 2000 หรือเมื่อ 10 ปีก่อน ทั่วโลกต้องตกตะลึง
เมื่อนักวิทยาศาสตร์ทั้งภาครัฐและเอกชน ของสหรัฐฯ อังกฤษ และอีก
หลายประเทศ ร่วมกันแถลงถึงผลงานชิ้นโบแดงแห่งศตวรรษ
ถึงความสำเร็จของโครงการทดลองที่เรียกว่า Human Genom Project หรือ
"การถอดรหัส พันธุกรรมมนุษย์" ซึ่ง ดร. ฟรานซิส คอลลินส์
เป็นผู้อำนวยการโครงการ
ถือเป็นการปฏิวัติวงการวิทยาศาสตร์ การแพทย์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบทศวรรษ!
ปฏิบัติการ "ถอดรหัส พันธุกรรมมนุษย์"
ทำให้เกิดศัพท์แสงใหม่ๆเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์ เช่น
การโคลนนิ่ง การตัดต่อยีน รวมไปถึง เทคโนโลยีจีเอ็มโอ
ที่ทำในพืชและสัตว์ด้วย
ว่ากันว่าประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการ
เสียค่าใช้จ่ายในการลงทุนศึกษาค้นคว้าวิจัย และ
พัฒนาเป็นเงินหลายล้านดอลลาร์
สหรัฐฯความสำเร็จของโครงการนี้ คือ การได้ มาซึ่ง "พิมพ์
เขียวพันธุกรรมมนุษย์" ที่เรียกว่า "บุ๊ก ออฟ ไลฟ์" หรือ "คัมภีร์ชีวิต"
ที่ถ่ายทอดความรู้ เกี่ยวกับการถอดรหัสยีน ซึ่งเป็นหน่วยทางพันธุกรรม
เพื่อจัดลำดับอนุกรมทางเคมีของดีเอ็นเอ 3,120 ล้านคู่ ที่มีอยู่
ในยีนของมนุษย์ ซึ่งการถอดรหัสยีนดังกล่าว ทำให้รู้ว่า
ดีเอ็นเอแต่ละหน่วยทำงานอย่างไร หน่วยใดที่ทำให้เราเจ็บป่วย
หรือหน่วยใดที่ช่วยต้านทานโรค ตลอดจนหน่วยใดที่ทำให้ เราแก่ชรา

พิมพ์เขียวพันธุกรรมมนุษย์ ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถแยกชนิด
และหน้าที่ของโปรตีนที่ยีนผลิตขึ้นมา
ระบบการทำงานของโปรตีนในร่างกายมนุษย์
ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการค้นคว้าวิจัย
เพื่อผลิตยารักษาโรคร้ายแรงต่างๆ เช่น มะเร็ง, อัลไซเมอร์ หรือเบาหวาน
ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
รวมไปถึงการพยากรณ์อนาคตของมนุษย์แต่ละคนว่า
มีโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคร้ายแรงอย่างโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง มะเร็ง
อัลไซเมอร์ หรือจิตเภท ได้หรือไม่
นักวิทยาศาสตร์ที่คิดค้นเรื่องเหล่านี้ถึงขั้นวางแผนไปไกลขนาดที่จะใช้พิมพ์เขียวพันธุกรรมมนุษย์
เป็นตำราในห้องทดลองเพื่อชะลอการชราภาพลงของมนุษย์ หรือพูดง่ายๆก็คือ
ทำให้มนุษย์ไม่ต้องแก่ หรืออาจจะไม่ตายตามกฎแห่งวัฏสงสาร
แต่พอถึงปี ค.ศ.2005 การถอดรหัสพันธุกรรม และพิมพ์เขียวพันธุกรรมมนุษย์
กลายเป็นเรื่องเก่า เพราะนักวิทยาศาสตร์เริ่มคิดค้นสิ่งใหม่ๆ
ในการรักษาโรคและซ่อมสร้างสังขารของมนุษย์ ขึ้นมาใหม่ สิ่งนั้นเรียกว่า
"สเต็มเซลล์"
ที่นับวันยิ่งมีความก้าวหน้าและทันสมัยขึ้นเรื่อยๆ
และในวันนี้ ก็มีการพูดถึงคำว่า "อะไหล่ ร่างกาย"
ที่สามารถเก็บสำรองไว้สำหรับรักษาโรคร้ายหรือความเสื่อมของอวัยวะในอนาคตได้
การฝากเก็บสเต็มเซลล์ ไว้ในธนาคารสเต็ม
เซลล์ เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
โดยเฉพาะเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ.2009
ความเคลื่อนไหวในเรื่องของการวิจัยและพัฒนาสเต็มเซลล์
กลายเป็นประเด็นที่เขย่าความสนใจของวงการวิจัยทางการแพทย์ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย
เมื่อ ประธานาธิบดี บารัค โอ- บามา ประกาศอนุญาตให้มีการวิจัยสเต็มเซลล์
เต็มรูปแบบ ด้วยการลงนามยกเลิกข้อห้ามสมัยอดีตประธานาธิบดี จอร์จ
ดับเบิลยู. บุช ที่ไม่ให้ใช้เงินของรัฐบาลกลางเพื่อสนับสนุนการวิจัยสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนมนุษย์
คำสั่งของประธานาธิบดีโอบามา คือ ให้ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (เอ็นไอเอช)
วางแนวทาง ในการวิจัยด้วยการนำสเต็มเซลล์จากห้องทดลองเอกชนมารวมกันภายใน
120 วัน นับจากวันที่ 9 มี.ค. 2009
ถือเป็นการประกาศบุกเบิกงานวิจัยทาง ด้านนี้อย่างเต็มรูปแบบ
และรัฐบาลอเมริกันยังได้ทุ่มงบประมาณ เพื่อสนับสนุนการวิจัยถึงกว่า 3,000
ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ดังนั้น เริ่มตั้งแต่ปี 2010 เรื่อยไปภายในไม่กี่ปีหลังจากนี้
ผลิตภัณฑ์สเต็มเซลล์
วิศวกรรมเนื้อเยื่อและอวัยวะสังเคราะห์จะเริ่มเกิดขึ้น และแน่นอนที่สุด
ผลิตภัณฑ์มหัศจรรย์จากการคิดค้นของมนุษย์เหล่านี้จะถูกผลักดันเข้าสู่ตลาดการแพทย์ทั่วโลกอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
ที่เห็นชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่งตอนนี้ก็คือ เทคโนโลยีที่เรียกว่า
"Regenerative medicine" หรือนวัตกรรมยาที่สามารถ สร้างอวัยวะขึ้นมาใหม่
เมื่อได้รับความเสียหายหรือถูกทำลาย ที่นำแนวคิดเริ่มต้นมาจาก "การ
งอกใหม่" ของอวัยวะบางอย่างของสิ่งมีชีวิต เช่น พวกซาลาแมนเดอร์ ไฮดรา
และดาวทะเล ฯลฯ

ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานในการ ทดลองนี้ว่า
เมื่ออวัยวะบางอย่างของสิ่งมีชีวิต มีการงอกใหม่ได้
มนุษย์ก็น่าที่จะสร้างอวัยวะที่ขาดหายไปขึ้นมาใหม่ได้ โดยเฉพาะจาก "ยีน"
หรือ "เซลล์" ที่ควบคุมการงอกใหม่ของอวัยวะที่เสียหายเหมือนในสิ่งมีชีวิตบางอย่างดังที่กล่าวมาแล้ว
ซึ่งถ้าการวิจัยนี้สำเร็จ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า
ในอนาคตมนุษย์อาจจะสามารถงอกแขนขาได้ใหม่เหมือนจิ้งจกงอกหางเลยทีเดียว
กลับมาที่เรื่องใกล้ตัวที่เกิดขึ้นแล้วอย่างสเต็มเซลล์บ้าง
ในเอเชียรวมทั้งประเทศไทยจำนวน "สเต็มเซลล์" ที่ถูกฝากจนล้นในธนาคาร
เท่ากับเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความพยายามที่จะฝืน ยืด ยื้อ
หรือต่อรองกับมัจจุราชในการใช้เวลาบนโลกมนุษย์ให้มากขึ้น
ด้วยการเอาชนะโรคร้ายทุกโรคที่เคยทำให้มนุษย์ต้อง "ตาย" ตามกฎของธรรมชาติ
"สเต็มเซลล์" หรือ เซลล์ต้นกำเนิด ที่นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า
ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า คือ เซลล์ชนิดไหน แต่กลไกการทำงานของเซลล์ ชนิดนี้
มีความมหัศจรรย์มาก เพราะ ไม่ว่าจะไปอยู่ตรงไหนในร่างกาย
เจ้าสเต็มเซลล์ก็จะทำตัวเป็นเซลล์ของอวัยวะนั้น เช่น
ถ้าไปเกาะที่กล้ามเนื้อหัวใจก็กลายเป็นเซลล์ กล้ามเนื้อหัวใจ
เกาะที่เส้นประสาทก็กลาย เป็นเซลล์เส้นประสาทที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ
เมื่อไปเจอเซลล์ตรงจุดไหนเสื่อม
เจ้าสเต็มเซลล์ที่ฉลาดปราดเปรื่องและขยันขันแข็งตัวนี้
ก็จะทำหน้าที่ซ่อมแซมเซลล์ อวัยวะส่วนนั้น เหมือนเป็นทั้งนายช่าง
และอะไหล่ประจำร่างกายเลยทีเดียว
นักวิทยาศาสตร์ และแพทย์จำนวนไม่น้อยเปรียบเทียบว่า สเต็มเซลล์
อาจจะเป็นเสมือน "อวัยวะ สำรอง"
ของร่างกายที่เมื่ออันหนึ่งเสื่อมไปก็สามารถเปลี่ยนอะไหล่
หรืออวัยวะใหม่เข้าไปแทนที่ได้ เหมือนเปลี่ยนอะไหล่รถ...
ปีที่ผ่านมาวงการแพทย์ทั่วโลกนำสเต็มเซลล์ไปใช้
รักษาโรคร้ายแรงได้มากกว่า 70 ชนิด เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ
โรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน โรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อน โรคเส้น
เลือดในสมองอุดตัน โรคเกี่ยวกับความผิดปกติของเลือดและ ไขกระดูก
โรคเกี่ยวกับความบกพร่องของกล้ามเนื้อ รวมถึงอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต
ไขสันหลังบาดเจ็บ และบาดแผลทางผิวหนัง ฯลฯ
แต่ในปีนี้ จำนวนโรคที่เจ้าเซลล์มหัศจรรย์
ตัวนี้สามารถเป็นอะไหล่เข้าไปซ่อมสร้างได้ ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 100
โรคแล้ว
Dr.Kostas I. Papadopulos
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการแห่งไทยสเต็มไลฟ์
บริษัทจัดเก็บสเต็มเซลล์แห่งแรกและใหญ่ที่สุดของไทย ถึงกับระบุว่า...
"สเต็มเซลล์คือสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดในชีวิตคนเรา"
สำหรับวิธีจัดเก็บสเต็มเซลล์ที่นิยมส่วนใหญ่ มี 2 วิธี คือ
เก็บจากเลือดในรกและสาย สะดือเด็กแรกเกิด และ เก็บจากกระแสโลหิต
ในกรณีของสเต็มเซลล์ที่อยู่ในเลือดจากรกและสายสะดือนั้น
นอกจากจะเป็นอะไหล่ สำหรับเจ้าของรกและสายสะดือแล้ว
หลายครั้งที่มันถูกนำไปเพาะเลี้ยงเพื่อเป็นอะไหล่ให้กับสมาชิกคนอื่นในครอบครัวด้วย
มีกรณีตัวอย่างหลายกรณีที่ลูกคนโตได้ใช้
สเต็มเซลล์จากรกของลูกคนเล็กหรือน้องเพื่อรักษาโรคร้ายแรงของตัวเอง
เพราะโอกาสที่พี่น้องท้องเดียวกันจะมีสเต็มเซลล์ที่ตรงกันมีสูงถึง 1 ใน 4

ปี ค.ศ.2009 หรือ พ.ศ.2552 เมื่อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิด เอ
เอช 1 เอ็น 1 ระบาดทั่วโลก
รวมถึงโรคร้ายอย่างมะเร็งเริ่มที่จะปรับตัวให้มีความร้ายกาจในการกัดกินอวัยวะที่ซับซ้อนและรักษาได้ยากมากขึ้น
หลายประเทศถึงขนาดกำหนดเป็นนโยบายให้มีการเก็บสเต็มเซลล์จากรกไว้ให้มากที่สุด
เพื่อการพัฒนาทางการแพทย์ในอนาคต
ยกตัวอย่าง เช่น สิงคโปร์
ซึ่งกำหนดเป็นพันธกิจของรัฐบาลที่ต้องรับผิดชอบจัดเก็บสเต็มเซลล์ของทารกแรกเกิดชาวสิงคโปร์
เอาไว้ทุกคน เพื่อเป็นการประกันสุขภาพของประชากร
อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ในวงการแพทย์ของสิงคโปร์ด้วย
หันกลับมามองในส่วนของประเทศไทย ความก้าวหน้าเรื่องของสเต็มเซลล์
เริ่มได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้น
แม้ว่ารัฐบาลไม่ว่าจะเป็นกระทรวงสาธารณสุข โดย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์,
แพทยสภา ซึ่งเป็นองค์กรวิชาชีพที่กำกับดูแลการประกอบวิชาชีพของแพทย์จะออกมาให้ข้อมูลตรงกันทั้งในเรื่องของกฎหมายและการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้กระทำต่อร่างกายมนุษย์ว่า
ยังอยู่ในขั้นตอนของการศึกษาวิจัย แต่ก็มีโรงพยาบาล
ทั้งภาครัฐและเอกชนหลายแห่งที่นำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ซ่อมแซมอวัยวะที่สึกหรอของร่างกายมนุษย์แล้วอย่างแพร่หลาย
โดยในทางการแพทย์เฉพาะทางหลายสาขาระบุตรงกันว่า
ขณะนี้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านนี้
สามารถแยกเซลล์ตั้งต้นให้บริสุทธิ์ได้ โดยแยกจากเลือดสายรก
ทำให้เซลล์จากเลือดสายรก ปลอดจากเชื้อโรค เชื้อไวรัส เซลล์มะเร็ง
เซลล์เม็ดเลือดขาว หรือโปรตีนอื่นๆ ที่ร่างกายต่อต้าน
ทำให้การใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากเลือดสายรก ปลอดภัยในการปลูกถ่ายเซลล์ใหม่
หรือซ่อมอวัยวะที่ตายหรือเสียหาย เช่น ไขสันหลังบาดเจ็บ
หรือเซลล์สมองขาดเลือด ซึ่งการแพทย์
แผนปัจจุบันไม่สามารถผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายเซลล์ ใหม่
หรืออวัยวะนั้นไม่อาจรักษาด้วยยาได้แล้ว
และล่าสุดถึงขั้นมีสถานพยาบาลแห่งหนึ่งโฆษณาถึงขั้นที่ว่า
สามารถฉีดเฟรชเซลล์ จากสัตว์โดยเฉพาะแกะเข้าไปยังร่างกายมนุษย์
เซลล์ที่สกัดจากตัวอ่อนของแกะพุ่งตรงไปทำหน้าที่ให้เซลล์เก่าของร่างกาย
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
เช่น ถ้าเป็นโรคพาร์กินสัน เซลล์ก็ไปยังสมอง ถ้าโรคชรา วัยทอง
เซลล์จะไปที่ต่อมหมวกไต ถ้ากล้ามเนื้ออ่อนแรงก็จะไปที่ขา
หรือรักษาโรคหัวใจมันก็จะวิ่งไปยังอวัยวะที่ต้องการเอง
แล้วทุกอย่างก็จะกลับมาสดชื่น ราวกับเกิดใหม่

จริงหรือไม่จริง เป็นไปได้หรือไม่ได้ เป็นสิ่งที่ต้องติดตามดูต่อไป
นับจากปี 2010 เป็นต้นไป
แต่แม้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยจะเป็นความหวัง ที่จะช่วย "ยื้อ"
ชีวิตมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 ให้ยืนยาวมากขึ้นได้ หรืออาจจะวิเศษถึงขั้นที่
"ไม่ตาย" ได้
สิ่งที่ ทีมข่าวสาธารณสุข อดที่จะฉุกคิดไม่ได้ก็คือ สัจธรรมของโลกที่ว่า
ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ หรือสิ่งที่มีคุณอนันต์อาจจะมีโทษมหันต์ตามมาด้วย
โดยเฉพาะหากเป็นเรื่องของความพยายามที่จะฝืนกฎหรือความเป็นไปตามธรรมชาติ
ลองคิดดูกันเล่นๆ หากวิทยาการทาง
การแพทย์สามารถยื้อชีวิตมนุษย์ไว้ได้จริง ถึงวันนั้นคนอาจจะล้นโลก
จนต้องแย่งกันกิน แย่งกันอยู่ และถึงที่สุดแล้ว
เราก็อาจจะค้นพบความจริงที่ว่า
ไม่มีอะไรที่จะฝืนกฎเกณฑ์ของ ธรรมชาติไปได้
ทำให้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำปรารภของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ
ที่ชัดเจนถึงความดำรงอยู่ และสูญสลายไปตามกฎ ของธรรมชาติ
รักฉันก็จงปล่อยให้ฉันตายเถิด...!
ทีมข่าวสาธารณสุข

รักฉันก็จงปล่อยให้ฉันตายเถิด...!เทคโนโลยี 'ซ่อมมนุษย์ 'โลกตะลึง!

รักฉันก็จงปล่อยให้ฉันตายเถิด...!

http://www.thairath.co.th/content/edu/56329

เทคโนโลยี 'ซ่อมมนุษย์ 'โลกตะลึง! วงการแพทย์ ปี 2010
สร้างเซลล์อะไหล่ปฏิบัติการยื้อชีวิต

"อะไหล่มนุษย์"
"ซ่อมมนุษย์"
นับย้อนหลังไปประมาณ 15 ปีก่อนหน้านี้ หากมีใครพูดถึงเรื่องแบบนี้
คงถูกผู้คนในสังคมมองด้วยสายตาแปลกๆ หรืออาจถึงขั้นโดนกล่าวหาว่าเพ้อเจ้อ
แต่มาถึงวันนี้สิ่งที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน ก็กลับเกิดขึ้นได้จริง
เพราะวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ โดย
เฉพาะความพยายามของมนุษย์ที่จะคิดค้น แสวงหา
ทุกวิถีทางเพื่อยืดช่วงเวลาของความเป็นหนุ่มเป็นสาว
และในที่สุดคือสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ที่เรียกกันว่า
"ชะลอแก่-ชะลอตาย"
เพราะนับจากปี 2010 เป็นต้นไป เซลล์ ยีน ซึ่งหมายถึง
พันธุกรรมของมนุษยชาติ
และสเต็มเซลล์จะเป็นสิ่งที่ทำให้โลกต้องตกตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ก่อนที่จะก้าวไปถึงวันที่วงการแพทย์ สามารถสร้างเซลล์อะไหล่ของมนุษย์
เพื่อปฏิบัติ การซ่อม ยืด และถึงที่สุดคือยื้อชีวิตมนุษย์นั้น
ทีมข่าวสาธารณสุข
ขอย้อนอดีตเพื่อไล่เลียงถึงที่มาที่ไปของวิวัฒนาการทางการแพทย์
ที่นำมาสู่การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี สเต็มเซลล์ หรือ เซลล์อะไหล่
ที่กำลังจะกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการแพทย์โลก
เริ่มจากปี ค.ศ. 1995 เทคโนโลยีการผ่าตัด, การปลูกถ่าย หรือเปลี่ยนอวัยวะ
เป็นที่ฮือฮาอย่างมาก เทคโนโลยีการผ่าตัดที่ทันสมัย
ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดผ่านกล้อง หรือแม้แต่
การใช้ระบบนำวิถีเพื่อลงมีดผ่าตัดที่อวัยวะต่างๆ
ลดความเสี่ยงจากการผ่าตัดพลาดเป้า
โดยเฉพาะการผ่าตัดสมองซึ่งเป็นอวัยวะที่มีความซับซ้อนและละเอียดอ่อนกว่าอวัยวะอื่นๆ
เป็นที่สนใจอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์โลก และประเทศไทย
ต่อมาในปี ค.ศ. 2000 หรือเมื่อ 10 ปีก่อน ทั่วโลกต้องตกตะลึง
เมื่อนักวิทยาศาสตร์ทั้งภาครัฐและเอกชน ของสหรัฐฯ อังกฤษ และอีก
หลายประเทศ ร่วมกันแถลงถึงผลงานชิ้นโบแดงแห่งศตวรรษ
ถึงความสำเร็จของโครงการทดลองที่เรียกว่า Human Genom Project หรือ
"การถอดรหัส พันธุกรรมมนุษย์" ซึ่ง ดร. ฟรานซิส คอลลินส์
เป็นผู้อำนวยการโครงการ
ถือเป็นการปฏิวัติวงการวิทยาศาสตร์ การแพทย์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบทศวรรษ!
ปฏิบัติการ "ถอดรหัส พันธุกรรมมนุษย์"
ทำให้เกิดศัพท์แสงใหม่ๆเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์ เช่น
การโคลนนิ่ง การตัดต่อยีน รวมไปถึง เทคโนโลยีจีเอ็มโอ
ที่ทำในพืชและสัตว์ด้วย
ว่ากันว่าประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการ
เสียค่าใช้จ่ายในการลงทุนศึกษาค้นคว้าวิจัย และ
พัฒนาเป็นเงินหลายล้านดอลลาร์
สหรัฐฯความสำเร็จของโครงการนี้ คือ การได้ มาซึ่ง "พิมพ์
เขียวพันธุกรรมมนุษย์" ที่เรียกว่า "บุ๊ก ออฟ ไลฟ์" หรือ "คัมภีร์ชีวิต"
ที่ถ่ายทอดความรู้ เกี่ยวกับการถอดรหัสยีน ซึ่งเป็นหน่วยทางพันธุกรรม
เพื่อจัดลำดับอนุกรมทางเคมีของดีเอ็นเอ 3,120 ล้านคู่ ที่มีอยู่
ในยีนของมนุษย์ ซึ่งการถอดรหัสยีนดังกล่าว ทำให้รู้ว่า
ดีเอ็นเอแต่ละหน่วยทำงานอย่างไร หน่วยใดที่ทำให้เราเจ็บป่วย
หรือหน่วยใดที่ช่วยต้านทานโรค ตลอดจนหน่วยใดที่ทำให้ เราแก่ชรา

พิมพ์เขียวพันธุกรรมมนุษย์ ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถแยกชนิด
และหน้าที่ของโปรตีนที่ยีนผลิตขึ้นมา
ระบบการทำงานของโปรตีนในร่างกายมนุษย์
ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการค้นคว้าวิจัย
เพื่อผลิตยารักษาโรคร้ายแรงต่างๆ เช่น มะเร็ง, อัลไซเมอร์ หรือเบาหวาน
ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
รวมไปถึงการพยากรณ์อนาคตของมนุษย์แต่ละคนว่า
มีโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคร้ายแรงอย่างโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง มะเร็ง
อัลไซเมอร์ หรือจิตเภท ได้หรือไม่
นักวิทยาศาสตร์ที่คิดค้นเรื่องเหล่านี้ถึงขั้นวางแผนไปไกลขนาดที่จะใช้พิมพ์เขียวพันธุกรรมมนุษย์
เป็นตำราในห้องทดลองเพื่อชะลอการชราภาพลงของมนุษย์ หรือพูดง่ายๆก็คือ
ทำให้มนุษย์ไม่ต้องแก่ หรืออาจจะไม่ตายตามกฎแห่งวัฏสงสาร
แต่พอถึงปี ค.ศ.2005 การถอดรหัสพันธุกรรม และพิมพ์เขียวพันธุกรรมมนุษย์
กลายเป็นเรื่องเก่า เพราะนักวิทยาศาสตร์เริ่มคิดค้นสิ่งใหม่ๆ
ในการรักษาโรคและซ่อมสร้างสังขารของมนุษย์ ขึ้นมาใหม่ สิ่งนั้นเรียกว่า
"สเต็มเซลล์"
ที่นับวันยิ่งมีความก้าวหน้าและทันสมัยขึ้นเรื่อยๆ
และในวันนี้ ก็มีการพูดถึงคำว่า "อะไหล่ ร่างกาย"
ที่สามารถเก็บสำรองไว้สำหรับรักษาโรคร้ายหรือความเสื่อมของอวัยวะในอนาคตได้
การฝากเก็บสเต็มเซลล์ ไว้ในธนาคารสเต็ม
เซลล์ เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
โดยเฉพาะเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ.2009
ความเคลื่อนไหวในเรื่องของการวิจัยและพัฒนาสเต็มเซลล์
กลายเป็นประเด็นที่เขย่าความสนใจของวงการวิจัยทางการแพทย์ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย
เมื่อ ประธานาธิบดี บารัค โอ- บามา ประกาศอนุญาตให้มีการวิจัยสเต็มเซลล์
เต็มรูปแบบ ด้วยการลงนามยกเลิกข้อห้ามสมัยอดีตประธานาธิบดี จอร์จ
ดับเบิลยู. บุช ที่ไม่ให้ใช้เงินของรัฐบาลกลางเพื่อสนับสนุนการวิจัยสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนมนุษย์
คำสั่งของประธานาธิบดีโอบามา คือ ให้ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (เอ็นไอเอช)
วางแนวทาง ในการวิจัยด้วยการนำสเต็มเซลล์จากห้องทดลองเอกชนมารวมกันภายใน
120 วัน นับจากวันที่ 9 มี.ค. 2009
ถือเป็นการประกาศบุกเบิกงานวิจัยทาง ด้านนี้อย่างเต็มรูปแบบ
และรัฐบาลอเมริกันยังได้ทุ่มงบประมาณ เพื่อสนับสนุนการวิจัยถึงกว่า 3,000
ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ดังนั้น เริ่มตั้งแต่ปี 2010 เรื่อยไปภายในไม่กี่ปีหลังจากนี้
ผลิตภัณฑ์สเต็มเซลล์
วิศวกรรมเนื้อเยื่อและอวัยวะสังเคราะห์จะเริ่มเกิดขึ้น และแน่นอนที่สุด
ผลิตภัณฑ์มหัศจรรย์จากการคิดค้นของมนุษย์เหล่านี้จะถูกผลักดันเข้าสู่ตลาดการแพทย์ทั่วโลกอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
ที่เห็นชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่งตอนนี้ก็คือ เทคโนโลยีที่เรียกว่า
"Regenerative medicine" หรือนวัตกรรมยาที่สามารถ สร้างอวัยวะขึ้นมาใหม่
เมื่อได้รับความเสียหายหรือถูกทำลาย ที่นำแนวคิดเริ่มต้นมาจาก "การ
งอกใหม่" ของอวัยวะบางอย่างของสิ่งมีชีวิต เช่น พวกซาลาแมนเดอร์ ไฮดรา
และดาวทะเล ฯลฯ

ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานในการ ทดลองนี้ว่า
เมื่ออวัยวะบางอย่างของสิ่งมีชีวิต มีการงอกใหม่ได้
มนุษย์ก็น่าที่จะสร้างอวัยวะที่ขาดหายไปขึ้นมาใหม่ได้ โดยเฉพาะจาก "ยีน"
หรือ "เซลล์" ที่ควบคุมการงอกใหม่ของอวัยวะที่เสียหายเหมือนในสิ่งมีชีวิตบางอย่างดังที่กล่าวมาแล้ว
ซึ่งถ้าการวิจัยนี้สำเร็จ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า
ในอนาคตมนุษย์อาจจะสามารถงอกแขนขาได้ใหม่เหมือนจิ้งจกงอกหางเลยทีเดียว
กลับมาที่เรื่องใกล้ตัวที่เกิดขึ้นแล้วอย่างสเต็มเซลล์บ้าง
ในเอเชียรวมทั้งประเทศไทยจำนวน "สเต็มเซลล์" ที่ถูกฝากจนล้นในธนาคาร
เท่ากับเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความพยายามที่จะฝืน ยืด ยื้อ
หรือต่อรองกับมัจจุราชในการใช้เวลาบนโลกมนุษย์ให้มากขึ้น
ด้วยการเอาชนะโรคร้ายทุกโรคที่เคยทำให้มนุษย์ต้อง "ตาย" ตามกฎของธรรมชาติ
"สเต็มเซลล์" หรือ เซลล์ต้นกำเนิด ที่นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า
ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า คือ เซลล์ชนิดไหน แต่กลไกการทำงานของเซลล์ ชนิดนี้
มีความมหัศจรรย์มาก เพราะ ไม่ว่าจะไปอยู่ตรงไหนในร่างกาย
เจ้าสเต็มเซลล์ก็จะทำตัวเป็นเซลล์ของอวัยวะนั้น เช่น
ถ้าไปเกาะที่กล้ามเนื้อหัวใจก็กลายเป็นเซลล์ กล้ามเนื้อหัวใจ
เกาะที่เส้นประสาทก็กลาย เป็นเซลล์เส้นประสาทที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ
เมื่อไปเจอเซลล์ตรงจุดไหนเสื่อม
เจ้าสเต็มเซลล์ที่ฉลาดปราดเปรื่องและขยันขันแข็งตัวนี้
ก็จะทำหน้าที่ซ่อมแซมเซลล์ อวัยวะส่วนนั้น เหมือนเป็นทั้งนายช่าง
และอะไหล่ประจำร่างกายเลยทีเดียว
นักวิทยาศาสตร์ และแพทย์จำนวนไม่น้อยเปรียบเทียบว่า สเต็มเซลล์
อาจจะเป็นเสมือน "อวัยวะ สำรอง"
ของร่างกายที่เมื่ออันหนึ่งเสื่อมไปก็สามารถเปลี่ยนอะไหล่
หรืออวัยวะใหม่เข้าไปแทนที่ได้ เหมือนเปลี่ยนอะไหล่รถ...
ปีที่ผ่านมาวงการแพทย์ทั่วโลกนำสเต็มเซลล์ไปใช้
รักษาโรคร้ายแรงได้มากกว่า 70 ชนิด เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ
โรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน โรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อน โรคเส้น
เลือดในสมองอุดตัน โรคเกี่ยวกับความผิดปกติของเลือดและ ไขกระดูก
โรคเกี่ยวกับความบกพร่องของกล้ามเนื้อ รวมถึงอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต
ไขสันหลังบาดเจ็บ และบาดแผลทางผิวหนัง ฯลฯ
แต่ในปีนี้ จำนวนโรคที่เจ้าเซลล์มหัศจรรย์
ตัวนี้สามารถเป็นอะไหล่เข้าไปซ่อมสร้างได้ ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 100
โรคแล้ว
Dr.Kostas I. Papadopulos
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการแห่งไทยสเต็มไลฟ์
บริษัทจัดเก็บสเต็มเซลล์แห่งแรกและใหญ่ที่สุดของไทย ถึงกับระบุว่า...
"สเต็มเซลล์คือสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดในชีวิตคนเรา"
สำหรับวิธีจัดเก็บสเต็มเซลล์ที่นิยมส่วนใหญ่ มี 2 วิธี คือ
เก็บจากเลือดในรกและสาย สะดือเด็กแรกเกิด และ เก็บจากกระแสโลหิต
ในกรณีของสเต็มเซลล์ที่อยู่ในเลือดจากรกและสายสะดือนั้น
นอกจากจะเป็นอะไหล่ สำหรับเจ้าของรกและสายสะดือแล้ว
หลายครั้งที่มันถูกนำไปเพาะเลี้ยงเพื่อเป็นอะไหล่ให้กับสมาชิกคนอื่นในครอบครัวด้วย
มีกรณีตัวอย่างหลายกรณีที่ลูกคนโตได้ใช้
สเต็มเซลล์จากรกของลูกคนเล็กหรือน้องเพื่อรักษาโรคร้ายแรงของตัวเอง
เพราะโอกาสที่พี่น้องท้องเดียวกันจะมีสเต็มเซลล์ที่ตรงกันมีสูงถึง 1 ใน 4

ปี ค.ศ.2009 หรือ พ.ศ.2552 เมื่อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิด เอ
เอช 1 เอ็น 1 ระบาดทั่วโลก
รวมถึงโรคร้ายอย่างมะเร็งเริ่มที่จะปรับตัวให้มีความร้ายกาจในการกัดกินอวัยวะที่ซับซ้อนและรักษาได้ยากมากขึ้น
หลายประเทศถึงขนาดกำหนดเป็นนโยบายให้มีการเก็บสเต็มเซลล์จากรกไว้ให้มากที่สุด
เพื่อการพัฒนาทางการแพทย์ในอนาคต
ยกตัวอย่าง เช่น สิงคโปร์
ซึ่งกำหนดเป็นพันธกิจของรัฐบาลที่ต้องรับผิดชอบจัดเก็บสเต็มเซลล์ของทารกแรกเกิดชาวสิงคโปร์
เอาไว้ทุกคน เพื่อเป็นการประกันสุขภาพของประชากร
อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ในวงการแพทย์ของสิงคโปร์ด้วย
หันกลับมามองในส่วนของประเทศไทย ความก้าวหน้าเรื่องของสเต็มเซลล์
เริ่มได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้น
แม้ว่ารัฐบาลไม่ว่าจะเป็นกระทรวงสาธารณสุข โดย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์,
แพทยสภา ซึ่งเป็นองค์กรวิชาชีพที่กำกับดูแลการประกอบวิชาชีพของแพทย์จะออกมาให้ข้อมูลตรงกันทั้งในเรื่องของกฎหมายและการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้กระทำต่อร่างกายมนุษย์ว่า
ยังอยู่ในขั้นตอนของการศึกษาวิจัย แต่ก็มีโรงพยาบาล
ทั้งภาครัฐและเอกชนหลายแห่งที่นำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ซ่อมแซมอวัยวะที่สึกหรอของร่างกายมนุษย์แล้วอย่างแพร่หลาย
โดยในทางการแพทย์เฉพาะทางหลายสาขาระบุตรงกันว่า
ขณะนี้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านนี้
สามารถแยกเซลล์ตั้งต้นให้บริสุทธิ์ได้ โดยแยกจากเลือดสายรก
ทำให้เซลล์จากเลือดสายรก ปลอดจากเชื้อโรค เชื้อไวรัส เซลล์มะเร็ง
เซลล์เม็ดเลือดขาว หรือโปรตีนอื่นๆ ที่ร่างกายต่อต้าน
ทำให้การใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากเลือดสายรก ปลอดภัยในการปลูกถ่ายเซลล์ใหม่
หรือซ่อมอวัยวะที่ตายหรือเสียหาย เช่น ไขสันหลังบาดเจ็บ
หรือเซลล์สมองขาดเลือด ซึ่งการแพทย์
แผนปัจจุบันไม่สามารถผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายเซลล์ ใหม่
หรืออวัยวะนั้นไม่อาจรักษาด้วยยาได้แล้ว
และล่าสุดถึงขั้นมีสถานพยาบาลแห่งหนึ่งโฆษณาถึงขั้นที่ว่า
สามารถฉีดเฟรชเซลล์ จากสัตว์โดยเฉพาะแกะเข้าไปยังร่างกายมนุษย์
เซลล์ที่สกัดจากตัวอ่อนของแกะพุ่งตรงไปทำหน้าที่ให้เซลล์เก่าของร่างกาย
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
เช่น ถ้าเป็นโรคพาร์กินสัน เซลล์ก็ไปยังสมอง ถ้าโรคชรา วัยทอง
เซลล์จะไปที่ต่อมหมวกไต ถ้ากล้ามเนื้ออ่อนแรงก็จะไปที่ขา
หรือรักษาโรคหัวใจมันก็จะวิ่งไปยังอวัยวะที่ต้องการเอง
แล้วทุกอย่างก็จะกลับมาสดชื่น ราวกับเกิดใหม่

จริงหรือไม่จริง เป็นไปได้หรือไม่ได้ เป็นสิ่งที่ต้องติดตามดูต่อไป
นับจากปี 2010 เป็นต้นไป
แต่แม้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยจะเป็นความหวัง ที่จะช่วย "ยื้อ"
ชีวิตมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 ให้ยืนยาวมากขึ้นได้ หรืออาจจะวิเศษถึงขั้นที่
"ไม่ตาย" ได้
สิ่งที่ ทีมข่าวสาธารณสุข อดที่จะฉุกคิดไม่ได้ก็คือ สัจธรรมของโลกที่ว่า
ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ หรือสิ่งที่มีคุณอนันต์อาจจะมีโทษมหันต์ตามมาด้วย
โดยเฉพาะหากเป็นเรื่องของความพยายามที่จะฝืนกฎหรือความเป็นไปตามธรรมชาติ
ลองคิดดูกันเล่นๆ หากวิทยาการทาง
การแพทย์สามารถยื้อชีวิตมนุษย์ไว้ได้จริง ถึงวันนั้นคนอาจจะล้นโลก
จนต้องแย่งกันกิน แย่งกันอยู่ และถึงที่สุดแล้ว
เราก็อาจจะค้นพบความจริงที่ว่า
ไม่มีอะไรที่จะฝืนกฎเกณฑ์ของ ธรรมชาติไปได้
ทำให้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำปรารภของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ
ที่ชัดเจนถึงความดำรงอยู่ และสูญสลายไปตามกฎ ของธรรมชาติ
รักฉันก็จงปล่อยให้ฉันตายเถิด...!
ทีมข่าวสาธารณสุข

รักฉันก็จงปล่อยให้ฉันตายเถิด...!เทคโนโลยี 'ซ่อมมนุษย์ 'โลกตะลึง!

รักฉันก็จงปล่อยให้ฉันตายเถิด...!

http://www.thairath.co.th/content/edu/56329

เทคโนโลยี 'ซ่อมมนุษย์ 'โลกตะลึง! วงการแพทย์ ปี 2010
สร้างเซลล์อะไหล่ปฏิบัติการยื้อชีวิต

"อะไหล่มนุษย์"
"ซ่อมมนุษย์"
นับย้อนหลังไปประมาณ 15 ปีก่อนหน้านี้ หากมีใครพูดถึงเรื่องแบบนี้
คงถูกผู้คนในสังคมมองด้วยสายตาแปลกๆ หรืออาจถึงขั้นโดนกล่าวหาว่าเพ้อเจ้อ
แต่มาถึงวันนี้สิ่งที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน ก็กลับเกิดขึ้นได้จริง
เพราะวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ โดย
เฉพาะความพยายามของมนุษย์ที่จะคิดค้น แสวงหา
ทุกวิถีทางเพื่อยืดช่วงเวลาของความเป็นหนุ่มเป็นสาว
และในที่สุดคือสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ที่เรียกกันว่า
"ชะลอแก่-ชะลอตาย"
เพราะนับจากปี 2010 เป็นต้นไป เซลล์ ยีน ซึ่งหมายถึง
พันธุกรรมของมนุษยชาติ
และสเต็มเซลล์จะเป็นสิ่งที่ทำให้โลกต้องตกตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ก่อนที่จะก้าวไปถึงวันที่วงการแพทย์ สามารถสร้างเซลล์อะไหล่ของมนุษย์
เพื่อปฏิบัติ การซ่อม ยืด และถึงที่สุดคือยื้อชีวิตมนุษย์นั้น
ทีมข่าวสาธารณสุข
ขอย้อนอดีตเพื่อไล่เลียงถึงที่มาที่ไปของวิวัฒนาการทางการแพทย์
ที่นำมาสู่การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี สเต็มเซลล์ หรือ เซลล์อะไหล่
ที่กำลังจะกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการแพทย์โลก
เริ่มจากปี ค.ศ. 1995 เทคโนโลยีการผ่าตัด, การปลูกถ่าย หรือเปลี่ยนอวัยวะ
เป็นที่ฮือฮาอย่างมาก เทคโนโลยีการผ่าตัดที่ทันสมัย
ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดผ่านกล้อง หรือแม้แต่
การใช้ระบบนำวิถีเพื่อลงมีดผ่าตัดที่อวัยวะต่างๆ
ลดความเสี่ยงจากการผ่าตัดพลาดเป้า
โดยเฉพาะการผ่าตัดสมองซึ่งเป็นอวัยวะที่มีความซับซ้อนและละเอียดอ่อนกว่าอวัยวะอื่นๆ
เป็นที่สนใจอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์โลก และประเทศไทย
ต่อมาในปี ค.ศ. 2000 หรือเมื่อ 10 ปีก่อน ทั่วโลกต้องตกตะลึง
เมื่อนักวิทยาศาสตร์ทั้งภาครัฐและเอกชน ของสหรัฐฯ อังกฤษ และอีก
หลายประเทศ ร่วมกันแถลงถึงผลงานชิ้นโบแดงแห่งศตวรรษ
ถึงความสำเร็จของโครงการทดลองที่เรียกว่า Human Genom Project หรือ
"การถอดรหัส พันธุกรรมมนุษย์" ซึ่ง ดร. ฟรานซิส คอลลินส์
เป็นผู้อำนวยการโครงการ
ถือเป็นการปฏิวัติวงการวิทยาศาสตร์ การแพทย์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบทศวรรษ!
ปฏิบัติการ "ถอดรหัส พันธุกรรมมนุษย์"
ทำให้เกิดศัพท์แสงใหม่ๆเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์ เช่น
การโคลนนิ่ง การตัดต่อยีน รวมไปถึง เทคโนโลยีจีเอ็มโอ
ที่ทำในพืชและสัตว์ด้วย
ว่ากันว่าประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการ
เสียค่าใช้จ่ายในการลงทุนศึกษาค้นคว้าวิจัย และ
พัฒนาเป็นเงินหลายล้านดอลลาร์
สหรัฐฯความสำเร็จของโครงการนี้ คือ การได้ มาซึ่ง "พิมพ์
เขียวพันธุกรรมมนุษย์" ที่เรียกว่า "บุ๊ก ออฟ ไลฟ์" หรือ "คัมภีร์ชีวิต"
ที่ถ่ายทอดความรู้ เกี่ยวกับการถอดรหัสยีน ซึ่งเป็นหน่วยทางพันธุกรรม
เพื่อจัดลำดับอนุกรมทางเคมีของดีเอ็นเอ 3,120 ล้านคู่ ที่มีอยู่
ในยีนของมนุษย์ ซึ่งการถอดรหัสยีนดังกล่าว ทำให้รู้ว่า
ดีเอ็นเอแต่ละหน่วยทำงานอย่างไร หน่วยใดที่ทำให้เราเจ็บป่วย
หรือหน่วยใดที่ช่วยต้านทานโรค ตลอดจนหน่วยใดที่ทำให้ เราแก่ชรา

พิมพ์เขียวพันธุกรรมมนุษย์ ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถแยกชนิด
และหน้าที่ของโปรตีนที่ยีนผลิตขึ้นมา
ระบบการทำงานของโปรตีนในร่างกายมนุษย์
ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการค้นคว้าวิจัย
เพื่อผลิตยารักษาโรคร้ายแรงต่างๆ เช่น มะเร็ง, อัลไซเมอร์ หรือเบาหวาน
ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
รวมไปถึงการพยากรณ์อนาคตของมนุษย์แต่ละคนว่า
มีโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคร้ายแรงอย่างโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง มะเร็ง
อัลไซเมอร์ หรือจิตเภท ได้หรือไม่
นักวิทยาศาสตร์ที่คิดค้นเรื่องเหล่านี้ถึงขั้นวางแผนไปไกลขนาดที่จะใช้พิมพ์เขียวพันธุกรรมมนุษย์
เป็นตำราในห้องทดลองเพื่อชะลอการชราภาพลงของมนุษย์ หรือพูดง่ายๆก็คือ
ทำให้มนุษย์ไม่ต้องแก่ หรืออาจจะไม่ตายตามกฎแห่งวัฏสงสาร
แต่พอถึงปี ค.ศ.2005 การถอดรหัสพันธุกรรม และพิมพ์เขียวพันธุกรรมมนุษย์
กลายเป็นเรื่องเก่า เพราะนักวิทยาศาสตร์เริ่มคิดค้นสิ่งใหม่ๆ
ในการรักษาโรคและซ่อมสร้างสังขารของมนุษย์ ขึ้นมาใหม่ สิ่งนั้นเรียกว่า
"สเต็มเซลล์"
ที่นับวันยิ่งมีความก้าวหน้าและทันสมัยขึ้นเรื่อยๆ
และในวันนี้ ก็มีการพูดถึงคำว่า "อะไหล่ ร่างกาย"
ที่สามารถเก็บสำรองไว้สำหรับรักษาโรคร้ายหรือความเสื่อมของอวัยวะในอนาคตได้
การฝากเก็บสเต็มเซลล์ ไว้ในธนาคารสเต็ม
เซลล์ เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
โดยเฉพาะเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ.2009
ความเคลื่อนไหวในเรื่องของการวิจัยและพัฒนาสเต็มเซลล์
กลายเป็นประเด็นที่เขย่าความสนใจของวงการวิจัยทางการแพทย์ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย
เมื่อ ประธานาธิบดี บารัค โอ- บามา ประกาศอนุญาตให้มีการวิจัยสเต็มเซลล์
เต็มรูปแบบ ด้วยการลงนามยกเลิกข้อห้ามสมัยอดีตประธานาธิบดี จอร์จ
ดับเบิลยู. บุช ที่ไม่ให้ใช้เงินของรัฐบาลกลางเพื่อสนับสนุนการวิจัยสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนมนุษย์
คำสั่งของประธานาธิบดีโอบามา คือ ให้ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (เอ็นไอเอช)
วางแนวทาง ในการวิจัยด้วยการนำสเต็มเซลล์จากห้องทดลองเอกชนมารวมกันภายใน
120 วัน นับจากวันที่ 9 มี.ค. 2009
ถือเป็นการประกาศบุกเบิกงานวิจัยทาง ด้านนี้อย่างเต็มรูปแบบ
และรัฐบาลอเมริกันยังได้ทุ่มงบประมาณ เพื่อสนับสนุนการวิจัยถึงกว่า 3,000
ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ดังนั้น เริ่มตั้งแต่ปี 2010 เรื่อยไปภายในไม่กี่ปีหลังจากนี้
ผลิตภัณฑ์สเต็มเซลล์
วิศวกรรมเนื้อเยื่อและอวัยวะสังเคราะห์จะเริ่มเกิดขึ้น และแน่นอนที่สุด
ผลิตภัณฑ์มหัศจรรย์จากการคิดค้นของมนุษย์เหล่านี้จะถูกผลักดันเข้าสู่ตลาดการแพทย์ทั่วโลกอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
ที่เห็นชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่งตอนนี้ก็คือ เทคโนโลยีที่เรียกว่า
"Regenerative medicine" หรือนวัตกรรมยาที่สามารถ สร้างอวัยวะขึ้นมาใหม่
เมื่อได้รับความเสียหายหรือถูกทำลาย ที่นำแนวคิดเริ่มต้นมาจาก "การ
งอกใหม่" ของอวัยวะบางอย่างของสิ่งมีชีวิต เช่น พวกซาลาแมนเดอร์ ไฮดรา
และดาวทะเล ฯลฯ

ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานในการ ทดลองนี้ว่า
เมื่ออวัยวะบางอย่างของสิ่งมีชีวิต มีการงอกใหม่ได้
มนุษย์ก็น่าที่จะสร้างอวัยวะที่ขาดหายไปขึ้นมาใหม่ได้ โดยเฉพาะจาก "ยีน"
หรือ "เซลล์" ที่ควบคุมการงอกใหม่ของอวัยวะที่เสียหายเหมือนในสิ่งมีชีวิตบางอย่างดังที่กล่าวมาแล้ว
ซึ่งถ้าการวิจัยนี้สำเร็จ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า
ในอนาคตมนุษย์อาจจะสามารถงอกแขนขาได้ใหม่เหมือนจิ้งจกงอกหางเลยทีเดียว
กลับมาที่เรื่องใกล้ตัวที่เกิดขึ้นแล้วอย่างสเต็มเซลล์บ้าง
ในเอเชียรวมทั้งประเทศไทยจำนวน "สเต็มเซลล์" ที่ถูกฝากจนล้นในธนาคาร
เท่ากับเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความพยายามที่จะฝืน ยืด ยื้อ
หรือต่อรองกับมัจจุราชในการใช้เวลาบนโลกมนุษย์ให้มากขึ้น
ด้วยการเอาชนะโรคร้ายทุกโรคที่เคยทำให้มนุษย์ต้อง "ตาย" ตามกฎของธรรมชาติ
"สเต็มเซลล์" หรือ เซลล์ต้นกำเนิด ที่นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า
ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า คือ เซลล์ชนิดไหน แต่กลไกการทำงานของเซลล์ ชนิดนี้
มีความมหัศจรรย์มาก เพราะ ไม่ว่าจะไปอยู่ตรงไหนในร่างกาย
เจ้าสเต็มเซลล์ก็จะทำตัวเป็นเซลล์ของอวัยวะนั้น เช่น
ถ้าไปเกาะที่กล้ามเนื้อหัวใจก็กลายเป็นเซลล์ กล้ามเนื้อหัวใจ
เกาะที่เส้นประสาทก็กลาย เป็นเซลล์เส้นประสาทที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ
เมื่อไปเจอเซลล์ตรงจุดไหนเสื่อม
เจ้าสเต็มเซลล์ที่ฉลาดปราดเปรื่องและขยันขันแข็งตัวนี้
ก็จะทำหน้าที่ซ่อมแซมเซลล์ อวัยวะส่วนนั้น เหมือนเป็นทั้งนายช่าง
และอะไหล่ประจำร่างกายเลยทีเดียว
นักวิทยาศาสตร์ และแพทย์จำนวนไม่น้อยเปรียบเทียบว่า สเต็มเซลล์
อาจจะเป็นเสมือน "อวัยวะ สำรอง"
ของร่างกายที่เมื่ออันหนึ่งเสื่อมไปก็สามารถเปลี่ยนอะไหล่
หรืออวัยวะใหม่เข้าไปแทนที่ได้ เหมือนเปลี่ยนอะไหล่รถ...
ปีที่ผ่านมาวงการแพทย์ทั่วโลกนำสเต็มเซลล์ไปใช้
รักษาโรคร้ายแรงได้มากกว่า 70 ชนิด เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ
โรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน โรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อน โรคเส้น
เลือดในสมองอุดตัน โรคเกี่ยวกับความผิดปกติของเลือดและ ไขกระดูก
โรคเกี่ยวกับความบกพร่องของกล้ามเนื้อ รวมถึงอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต
ไขสันหลังบาดเจ็บ และบาดแผลทางผิวหนัง ฯลฯ
แต่ในปีนี้ จำนวนโรคที่เจ้าเซลล์มหัศจรรย์
ตัวนี้สามารถเป็นอะไหล่เข้าไปซ่อมสร้างได้ ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 100
โรคแล้ว
Dr.Kostas I. Papadopulos
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการแห่งไทยสเต็มไลฟ์
บริษัทจัดเก็บสเต็มเซลล์แห่งแรกและใหญ่ที่สุดของไทย ถึงกับระบุว่า...
"สเต็มเซลล์คือสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดในชีวิตคนเรา"
สำหรับวิธีจัดเก็บสเต็มเซลล์ที่นิยมส่วนใหญ่ มี 2 วิธี คือ
เก็บจากเลือดในรกและสาย สะดือเด็กแรกเกิด และ เก็บจากกระแสโลหิต
ในกรณีของสเต็มเซลล์ที่อยู่ในเลือดจากรกและสายสะดือนั้น
นอกจากจะเป็นอะไหล่ สำหรับเจ้าของรกและสายสะดือแล้ว
หลายครั้งที่มันถูกนำไปเพาะเลี้ยงเพื่อเป็นอะไหล่ให้กับสมาชิกคนอื่นในครอบครัวด้วย
มีกรณีตัวอย่างหลายกรณีที่ลูกคนโตได้ใช้
สเต็มเซลล์จากรกของลูกคนเล็กหรือน้องเพื่อรักษาโรคร้ายแรงของตัวเอง
เพราะโอกาสที่พี่น้องท้องเดียวกันจะมีสเต็มเซลล์ที่ตรงกันมีสูงถึง 1 ใน 4

ปี ค.ศ.2009 หรือ พ.ศ.2552 เมื่อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิด เอ
เอช 1 เอ็น 1 ระบาดทั่วโลก
รวมถึงโรคร้ายอย่างมะเร็งเริ่มที่จะปรับตัวให้มีความร้ายกาจในการกัดกินอวัยวะที่ซับซ้อนและรักษาได้ยากมากขึ้น
หลายประเทศถึงขนาดกำหนดเป็นนโยบายให้มีการเก็บสเต็มเซลล์จากรกไว้ให้มากที่สุด
เพื่อการพัฒนาทางการแพทย์ในอนาคต
ยกตัวอย่าง เช่น สิงคโปร์
ซึ่งกำหนดเป็นพันธกิจของรัฐบาลที่ต้องรับผิดชอบจัดเก็บสเต็มเซลล์ของทารกแรกเกิดชาวสิงคโปร์
เอาไว้ทุกคน เพื่อเป็นการประกันสุขภาพของประชากร
อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ในวงการแพทย์ของสิงคโปร์ด้วย
หันกลับมามองในส่วนของประเทศไทย ความก้าวหน้าเรื่องของสเต็มเซลล์
เริ่มได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้น
แม้ว่ารัฐบาลไม่ว่าจะเป็นกระทรวงสาธารณสุข โดย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์,
แพทยสภา ซึ่งเป็นองค์กรวิชาชีพที่กำกับดูแลการประกอบวิชาชีพของแพทย์จะออกมาให้ข้อมูลตรงกันทั้งในเรื่องของกฎหมายและการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้กระทำต่อร่างกายมนุษย์ว่า
ยังอยู่ในขั้นตอนของการศึกษาวิจัย แต่ก็มีโรงพยาบาล
ทั้งภาครัฐและเอกชนหลายแห่งที่นำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ซ่อมแซมอวัยวะที่สึกหรอของร่างกายมนุษย์แล้วอย่างแพร่หลาย
โดยในทางการแพทย์เฉพาะทางหลายสาขาระบุตรงกันว่า
ขณะนี้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านนี้
สามารถแยกเซลล์ตั้งต้นให้บริสุทธิ์ได้ โดยแยกจากเลือดสายรก
ทำให้เซลล์จากเลือดสายรก ปลอดจากเชื้อโรค เชื้อไวรัส เซลล์มะเร็ง
เซลล์เม็ดเลือดขาว หรือโปรตีนอื่นๆ ที่ร่างกายต่อต้าน
ทำให้การใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากเลือดสายรก ปลอดภัยในการปลูกถ่ายเซลล์ใหม่
หรือซ่อมอวัยวะที่ตายหรือเสียหาย เช่น ไขสันหลังบาดเจ็บ
หรือเซลล์สมองขาดเลือด ซึ่งการแพทย์
แผนปัจจุบันไม่สามารถผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายเซลล์ ใหม่
หรืออวัยวะนั้นไม่อาจรักษาด้วยยาได้แล้ว
และล่าสุดถึงขั้นมีสถานพยาบาลแห่งหนึ่งโฆษณาถึงขั้นที่ว่า
สามารถฉีดเฟรชเซลล์ จากสัตว์โดยเฉพาะแกะเข้าไปยังร่างกายมนุษย์
เซลล์ที่สกัดจากตัวอ่อนของแกะพุ่งตรงไปทำหน้าที่ให้เซลล์เก่าของร่างกาย
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
เช่น ถ้าเป็นโรคพาร์กินสัน เซลล์ก็ไปยังสมอง ถ้าโรคชรา วัยทอง
เซลล์จะไปที่ต่อมหมวกไต ถ้ากล้ามเนื้ออ่อนแรงก็จะไปที่ขา
หรือรักษาโรคหัวใจมันก็จะวิ่งไปยังอวัยวะที่ต้องการเอง
แล้วทุกอย่างก็จะกลับมาสดชื่น ราวกับเกิดใหม่

จริงหรือไม่จริง เป็นไปได้หรือไม่ได้ เป็นสิ่งที่ต้องติดตามดูต่อไป
นับจากปี 2010 เป็นต้นไป
แต่แม้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยจะเป็นความหวัง ที่จะช่วย "ยื้อ"
ชีวิตมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 ให้ยืนยาวมากขึ้นได้ หรืออาจจะวิเศษถึงขั้นที่
"ไม่ตาย" ได้
สิ่งที่ ทีมข่าวสาธารณสุข อดที่จะฉุกคิดไม่ได้ก็คือ สัจธรรมของโลกที่ว่า
ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ หรือสิ่งที่มีคุณอนันต์อาจจะมีโทษมหันต์ตามมาด้วย
โดยเฉพาะหากเป็นเรื่องของความพยายามที่จะฝืนกฎหรือความเป็นไปตามธรรมชาติ
ลองคิดดูกันเล่นๆ หากวิทยาการทาง
การแพทย์สามารถยื้อชีวิตมนุษย์ไว้ได้จริง ถึงวันนั้นคนอาจจะล้นโลก
จนต้องแย่งกันกิน แย่งกันอยู่ และถึงที่สุดแล้ว
เราก็อาจจะค้นพบความจริงที่ว่า
ไม่มีอะไรที่จะฝืนกฎเกณฑ์ของ ธรรมชาติไปได้
ทำให้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำปรารภของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ
ที่ชัดเจนถึงความดำรงอยู่ และสูญสลายไปตามกฎ ของธรรมชาติ
รักฉันก็จงปล่อยให้ฉันตายเถิด...!
ทีมข่าวสาธารณสุข

รักฉันก็จงปล่อยให้ฉันตายเถิด...!เทคโนโลยี 'ซ่อมมนุษย์ 'โลกตะลึง!

รักฉันก็จงปล่อยให้ฉันตายเถิด...!

http://www.thairath.co.th/content/edu/56329

เทคโนโลยี 'ซ่อมมนุษย์ 'โลกตะลึง! วงการแพทย์ ปี 2010
สร้างเซลล์อะไหล่ปฏิบัติการยื้อชีวิต

"อะไหล่มนุษย์"
"ซ่อมมนุษย์"
นับย้อนหลังไปประมาณ 15 ปีก่อนหน้านี้ หากมีใครพูดถึงเรื่องแบบนี้
คงถูกผู้คนในสังคมมองด้วยสายตาแปลกๆ หรืออาจถึงขั้นโดนกล่าวหาว่าเพ้อเจ้อ
แต่มาถึงวันนี้สิ่งที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน ก็กลับเกิดขึ้นได้จริง
เพราะวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ โดย
เฉพาะความพยายามของมนุษย์ที่จะคิดค้น แสวงหา
ทุกวิถีทางเพื่อยืดช่วงเวลาของความเป็นหนุ่มเป็นสาว
และในที่สุดคือสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ที่เรียกกันว่า
"ชะลอแก่-ชะลอตาย"
เพราะนับจากปี 2010 เป็นต้นไป เซลล์ ยีน ซึ่งหมายถึง
พันธุกรรมของมนุษยชาติ
และสเต็มเซลล์จะเป็นสิ่งที่ทำให้โลกต้องตกตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ก่อนที่จะก้าวไปถึงวันที่วงการแพทย์ สามารถสร้างเซลล์อะไหล่ของมนุษย์
เพื่อปฏิบัติ การซ่อม ยืด และถึงที่สุดคือยื้อชีวิตมนุษย์นั้น
ทีมข่าวสาธารณสุข
ขอย้อนอดีตเพื่อไล่เลียงถึงที่มาที่ไปของวิวัฒนาการทางการแพทย์
ที่นำมาสู่การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี สเต็มเซลล์ หรือ เซลล์อะไหล่
ที่กำลังจะกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการแพทย์โลก
เริ่มจากปี ค.ศ. 1995 เทคโนโลยีการผ่าตัด, การปลูกถ่าย หรือเปลี่ยนอวัยวะ
เป็นที่ฮือฮาอย่างมาก เทคโนโลยีการผ่าตัดที่ทันสมัย
ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดผ่านกล้อง หรือแม้แต่
การใช้ระบบนำวิถีเพื่อลงมีดผ่าตัดที่อวัยวะต่างๆ
ลดความเสี่ยงจากการผ่าตัดพลาดเป้า
โดยเฉพาะการผ่าตัดสมองซึ่งเป็นอวัยวะที่มีความซับซ้อนและละเอียดอ่อนกว่าอวัยวะอื่นๆ
เป็นที่สนใจอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์โลก และประเทศไทย
ต่อมาในปี ค.ศ. 2000 หรือเมื่อ 10 ปีก่อน ทั่วโลกต้องตกตะลึง
เมื่อนักวิทยาศาสตร์ทั้งภาครัฐและเอกชน ของสหรัฐฯ อังกฤษ และอีก
หลายประเทศ ร่วมกันแถลงถึงผลงานชิ้นโบแดงแห่งศตวรรษ
ถึงความสำเร็จของโครงการทดลองที่เรียกว่า Human Genom Project หรือ
"การถอดรหัส พันธุกรรมมนุษย์" ซึ่ง ดร. ฟรานซิส คอลลินส์
เป็นผู้อำนวยการโครงการ
ถือเป็นการปฏิวัติวงการวิทยาศาสตร์ การแพทย์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบทศวรรษ!
ปฏิบัติการ "ถอดรหัส พันธุกรรมมนุษย์"
ทำให้เกิดศัพท์แสงใหม่ๆเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์ เช่น
การโคลนนิ่ง การตัดต่อยีน รวมไปถึง เทคโนโลยีจีเอ็มโอ
ที่ทำในพืชและสัตว์ด้วย
ว่ากันว่าประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการ
เสียค่าใช้จ่ายในการลงทุนศึกษาค้นคว้าวิจัย และ
พัฒนาเป็นเงินหลายล้านดอลลาร์
สหรัฐฯความสำเร็จของโครงการนี้ คือ การได้ มาซึ่ง "พิมพ์
เขียวพันธุกรรมมนุษย์" ที่เรียกว่า "บุ๊ก ออฟ ไลฟ์" หรือ "คัมภีร์ชีวิต"
ที่ถ่ายทอดความรู้ เกี่ยวกับการถอดรหัสยีน ซึ่งเป็นหน่วยทางพันธุกรรม
เพื่อจัดลำดับอนุกรมทางเคมีของดีเอ็นเอ 3,120 ล้านคู่ ที่มีอยู่
ในยีนของมนุษย์ ซึ่งการถอดรหัสยีนดังกล่าว ทำให้รู้ว่า
ดีเอ็นเอแต่ละหน่วยทำงานอย่างไร หน่วยใดที่ทำให้เราเจ็บป่วย
หรือหน่วยใดที่ช่วยต้านทานโรค ตลอดจนหน่วยใดที่ทำให้ เราแก่ชรา

พิมพ์เขียวพันธุกรรมมนุษย์ ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถแยกชนิด
และหน้าที่ของโปรตีนที่ยีนผลิตขึ้นมา
ระบบการทำงานของโปรตีนในร่างกายมนุษย์
ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการค้นคว้าวิจัย
เพื่อผลิตยารักษาโรคร้ายแรงต่างๆ เช่น มะเร็ง, อัลไซเมอร์ หรือเบาหวาน
ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
รวมไปถึงการพยากรณ์อนาคตของมนุษย์แต่ละคนว่า
มีโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคร้ายแรงอย่างโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง มะเร็ง
อัลไซเมอร์ หรือจิตเภท ได้หรือไม่
นักวิทยาศาสตร์ที่คิดค้นเรื่องเหล่านี้ถึงขั้นวางแผนไปไกลขนาดที่จะใช้พิมพ์เขียวพันธุกรรมมนุษย์
เป็นตำราในห้องทดลองเพื่อชะลอการชราภาพลงของมนุษย์ หรือพูดง่ายๆก็คือ
ทำให้มนุษย์ไม่ต้องแก่ หรืออาจจะไม่ตายตามกฎแห่งวัฏสงสาร
แต่พอถึงปี ค.ศ.2005 การถอดรหัสพันธุกรรม และพิมพ์เขียวพันธุกรรมมนุษย์
กลายเป็นเรื่องเก่า เพราะนักวิทยาศาสตร์เริ่มคิดค้นสิ่งใหม่ๆ
ในการรักษาโรคและซ่อมสร้างสังขารของมนุษย์ ขึ้นมาใหม่ สิ่งนั้นเรียกว่า
"สเต็มเซลล์"
ที่นับวันยิ่งมีความก้าวหน้าและทันสมัยขึ้นเรื่อยๆ
และในวันนี้ ก็มีการพูดถึงคำว่า "อะไหล่ ร่างกาย"
ที่สามารถเก็บสำรองไว้สำหรับรักษาโรคร้ายหรือความเสื่อมของอวัยวะในอนาคตได้
การฝากเก็บสเต็มเซลล์ ไว้ในธนาคารสเต็ม
เซลล์ เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
โดยเฉพาะเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ.2009
ความเคลื่อนไหวในเรื่องของการวิจัยและพัฒนาสเต็มเซลล์
กลายเป็นประเด็นที่เขย่าความสนใจของวงการวิจัยทางการแพทย์ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย
เมื่อ ประธานาธิบดี บารัค โอ- บามา ประกาศอนุญาตให้มีการวิจัยสเต็มเซลล์
เต็มรูปแบบ ด้วยการลงนามยกเลิกข้อห้ามสมัยอดีตประธานาธิบดี จอร์จ
ดับเบิลยู. บุช ที่ไม่ให้ใช้เงินของรัฐบาลกลางเพื่อสนับสนุนการวิจัยสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนมนุษย์
คำสั่งของประธานาธิบดีโอบามา คือ ให้ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (เอ็นไอเอช)
วางแนวทาง ในการวิจัยด้วยการนำสเต็มเซลล์จากห้องทดลองเอกชนมารวมกันภายใน
120 วัน นับจากวันที่ 9 มี.ค. 2009
ถือเป็นการประกาศบุกเบิกงานวิจัยทาง ด้านนี้อย่างเต็มรูปแบบ
และรัฐบาลอเมริกันยังได้ทุ่มงบประมาณ เพื่อสนับสนุนการวิจัยถึงกว่า 3,000
ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ดังนั้น เริ่มตั้งแต่ปี 2010 เรื่อยไปภายในไม่กี่ปีหลังจากนี้
ผลิตภัณฑ์สเต็มเซลล์
วิศวกรรมเนื้อเยื่อและอวัยวะสังเคราะห์จะเริ่มเกิดขึ้น และแน่นอนที่สุด
ผลิตภัณฑ์มหัศจรรย์จากการคิดค้นของมนุษย์เหล่านี้จะถูกผลักดันเข้าสู่ตลาดการแพทย์ทั่วโลกอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
ที่เห็นชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่งตอนนี้ก็คือ เทคโนโลยีที่เรียกว่า
"Regenerative medicine" หรือนวัตกรรมยาที่สามารถ สร้างอวัยวะขึ้นมาใหม่
เมื่อได้รับความเสียหายหรือถูกทำลาย ที่นำแนวคิดเริ่มต้นมาจาก "การ
งอกใหม่" ของอวัยวะบางอย่างของสิ่งมีชีวิต เช่น พวกซาลาแมนเดอร์ ไฮดรา
และดาวทะเล ฯลฯ

ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานในการ ทดลองนี้ว่า
เมื่ออวัยวะบางอย่างของสิ่งมีชีวิต มีการงอกใหม่ได้
มนุษย์ก็น่าที่จะสร้างอวัยวะที่ขาดหายไปขึ้นมาใหม่ได้ โดยเฉพาะจาก "ยีน"
หรือ "เซลล์" ที่ควบคุมการงอกใหม่ของอวัยวะที่เสียหายเหมือนในสิ่งมีชีวิตบางอย่างดังที่กล่าวมาแล้ว
ซึ่งถ้าการวิจัยนี้สำเร็จ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า
ในอนาคตมนุษย์อาจจะสามารถงอกแขนขาได้ใหม่เหมือนจิ้งจกงอกหางเลยทีเดียว
กลับมาที่เรื่องใกล้ตัวที่เกิดขึ้นแล้วอย่างสเต็มเซลล์บ้าง
ในเอเชียรวมทั้งประเทศไทยจำนวน "สเต็มเซลล์" ที่ถูกฝากจนล้นในธนาคาร
เท่ากับเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความพยายามที่จะฝืน ยืด ยื้อ
หรือต่อรองกับมัจจุราชในการใช้เวลาบนโลกมนุษย์ให้มากขึ้น
ด้วยการเอาชนะโรคร้ายทุกโรคที่เคยทำให้มนุษย์ต้อง "ตาย" ตามกฎของธรรมชาติ
"สเต็มเซลล์" หรือ เซลล์ต้นกำเนิด ที่นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า
ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า คือ เซลล์ชนิดไหน แต่กลไกการทำงานของเซลล์ ชนิดนี้
มีความมหัศจรรย์มาก เพราะ ไม่ว่าจะไปอยู่ตรงไหนในร่างกาย
เจ้าสเต็มเซลล์ก็จะทำตัวเป็นเซลล์ของอวัยวะนั้น เช่น
ถ้าไปเกาะที่กล้ามเนื้อหัวใจก็กลายเป็นเซลล์ กล้ามเนื้อหัวใจ
เกาะที่เส้นประสาทก็กลาย เป็นเซลล์เส้นประสาทที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ
เมื่อไปเจอเซลล์ตรงจุดไหนเสื่อม
เจ้าสเต็มเซลล์ที่ฉลาดปราดเปรื่องและขยันขันแข็งตัวนี้
ก็จะทำหน้าที่ซ่อมแซมเซลล์ อวัยวะส่วนนั้น เหมือนเป็นทั้งนายช่าง
และอะไหล่ประจำร่างกายเลยทีเดียว
นักวิทยาศาสตร์ และแพทย์จำนวนไม่น้อยเปรียบเทียบว่า สเต็มเซลล์
อาจจะเป็นเสมือน "อวัยวะ สำรอง"
ของร่างกายที่เมื่ออันหนึ่งเสื่อมไปก็สามารถเปลี่ยนอะไหล่
หรืออวัยวะใหม่เข้าไปแทนที่ได้ เหมือนเปลี่ยนอะไหล่รถ...
ปีที่ผ่านมาวงการแพทย์ทั่วโลกนำสเต็มเซลล์ไปใช้
รักษาโรคร้ายแรงได้มากกว่า 70 ชนิด เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ
โรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน โรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อน โรคเส้น
เลือดในสมองอุดตัน โรคเกี่ยวกับความผิดปกติของเลือดและ ไขกระดูก
โรคเกี่ยวกับความบกพร่องของกล้ามเนื้อ รวมถึงอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต
ไขสันหลังบาดเจ็บ และบาดแผลทางผิวหนัง ฯลฯ
แต่ในปีนี้ จำนวนโรคที่เจ้าเซลล์มหัศจรรย์
ตัวนี้สามารถเป็นอะไหล่เข้าไปซ่อมสร้างได้ ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 100
โรคแล้ว
Dr.Kostas I. Papadopulos
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการแห่งไทยสเต็มไลฟ์
บริษัทจัดเก็บสเต็มเซลล์แห่งแรกและใหญ่ที่สุดของไทย ถึงกับระบุว่า...
"สเต็มเซลล์คือสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดในชีวิตคนเรา"
สำหรับวิธีจัดเก็บสเต็มเซลล์ที่นิยมส่วนใหญ่ มี 2 วิธี คือ
เก็บจากเลือดในรกและสาย สะดือเด็กแรกเกิด และ เก็บจากกระแสโลหิต
ในกรณีของสเต็มเซลล์ที่อยู่ในเลือดจากรกและสายสะดือนั้น
นอกจากจะเป็นอะไหล่ สำหรับเจ้าของรกและสายสะดือแล้ว
หลายครั้งที่มันถูกนำไปเพาะเลี้ยงเพื่อเป็นอะไหล่ให้กับสมาชิกคนอื่นในครอบครัวด้วย
มีกรณีตัวอย่างหลายกรณีที่ลูกคนโตได้ใช้
สเต็มเซลล์จากรกของลูกคนเล็กหรือน้องเพื่อรักษาโรคร้ายแรงของตัวเอง
เพราะโอกาสที่พี่น้องท้องเดียวกันจะมีสเต็มเซลล์ที่ตรงกันมีสูงถึง 1 ใน 4

ปี ค.ศ.2009 หรือ พ.ศ.2552 เมื่อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิด เอ
เอช 1 เอ็น 1 ระบาดทั่วโลก
รวมถึงโรคร้ายอย่างมะเร็งเริ่มที่จะปรับตัวให้มีความร้ายกาจในการกัดกินอวัยวะที่ซับซ้อนและรักษาได้ยากมากขึ้น
หลายประเทศถึงขนาดกำหนดเป็นนโยบายให้มีการเก็บสเต็มเซลล์จากรกไว้ให้มากที่สุด
เพื่อการพัฒนาทางการแพทย์ในอนาคต
ยกตัวอย่าง เช่น สิงคโปร์
ซึ่งกำหนดเป็นพันธกิจของรัฐบาลที่ต้องรับผิดชอบจัดเก็บสเต็มเซลล์ของทารกแรกเกิดชาวสิงคโปร์
เอาไว้ทุกคน เพื่อเป็นการประกันสุขภาพของประชากร
อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ในวงการแพทย์ของสิงคโปร์ด้วย
หันกลับมามองในส่วนของประเทศไทย ความก้าวหน้าเรื่องของสเต็มเซลล์
เริ่มได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้น
แม้ว่ารัฐบาลไม่ว่าจะเป็นกระทรวงสาธารณสุข โดย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์,
แพทยสภา ซึ่งเป็นองค์กรวิชาชีพที่กำกับดูแลการประกอบวิชาชีพของแพทย์จะออกมาให้ข้อมูลตรงกันทั้งในเรื่องของกฎหมายและการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้กระทำต่อร่างกายมนุษย์ว่า
ยังอยู่ในขั้นตอนของการศึกษาวิจัย แต่ก็มีโรงพยาบาล
ทั้งภาครัฐและเอกชนหลายแห่งที่นำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ซ่อมแซมอวัยวะที่สึกหรอของร่างกายมนุษย์แล้วอย่างแพร่หลาย
โดยในทางการแพทย์เฉพาะทางหลายสาขาระบุตรงกันว่า
ขณะนี้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านนี้
สามารถแยกเซลล์ตั้งต้นให้บริสุทธิ์ได้ โดยแยกจากเลือดสายรก
ทำให้เซลล์จากเลือดสายรก ปลอดจากเชื้อโรค เชื้อไวรัส เซลล์มะเร็ง
เซลล์เม็ดเลือดขาว หรือโปรตีนอื่นๆ ที่ร่างกายต่อต้าน
ทำให้การใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากเลือดสายรก ปลอดภัยในการปลูกถ่ายเซลล์ใหม่
หรือซ่อมอวัยวะที่ตายหรือเสียหาย เช่น ไขสันหลังบาดเจ็บ
หรือเซลล์สมองขาดเลือด ซึ่งการแพทย์
แผนปัจจุบันไม่สามารถผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายเซลล์ ใหม่
หรืออวัยวะนั้นไม่อาจรักษาด้วยยาได้แล้ว
และล่าสุดถึงขั้นมีสถานพยาบาลแห่งหนึ่งโฆษณาถึงขั้นที่ว่า
สามารถฉีดเฟรชเซลล์ จากสัตว์โดยเฉพาะแกะเข้าไปยังร่างกายมนุษย์
เซลล์ที่สกัดจากตัวอ่อนของแกะพุ่งตรงไปทำหน้าที่ให้เซลล์เก่าของร่างกาย
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
เช่น ถ้าเป็นโรคพาร์กินสัน เซลล์ก็ไปยังสมอง ถ้าโรคชรา วัยทอง
เซลล์จะไปที่ต่อมหมวกไต ถ้ากล้ามเนื้ออ่อนแรงก็จะไปที่ขา
หรือรักษาโรคหัวใจมันก็จะวิ่งไปยังอวัยวะที่ต้องการเอง
แล้วทุกอย่างก็จะกลับมาสดชื่น ราวกับเกิดใหม่

จริงหรือไม่จริง เป็นไปได้หรือไม่ได้ เป็นสิ่งที่ต้องติดตามดูต่อไป
นับจากปี 2010 เป็นต้นไป
แต่แม้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยจะเป็นความหวัง ที่จะช่วย "ยื้อ"
ชีวิตมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 ให้ยืนยาวมากขึ้นได้ หรืออาจจะวิเศษถึงขั้นที่
"ไม่ตาย" ได้
สิ่งที่ ทีมข่าวสาธารณสุข อดที่จะฉุกคิดไม่ได้ก็คือ สัจธรรมของโลกที่ว่า
ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ หรือสิ่งที่มีคุณอนันต์อาจจะมีโทษมหันต์ตามมาด้วย
โดยเฉพาะหากเป็นเรื่องของความพยายามที่จะฝืนกฎหรือความเป็นไปตามธรรมชาติ
ลองคิดดูกันเล่นๆ หากวิทยาการทาง
การแพทย์สามารถยื้อชีวิตมนุษย์ไว้ได้จริง ถึงวันนั้นคนอาจจะล้นโลก
จนต้องแย่งกันกิน แย่งกันอยู่ และถึงที่สุดแล้ว
เราก็อาจจะค้นพบความจริงที่ว่า
ไม่มีอะไรที่จะฝืนกฎเกณฑ์ของ ธรรมชาติไปได้
ทำให้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำปรารภของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ
ที่ชัดเจนถึงความดำรงอยู่ และสูญสลายไปตามกฎ ของธรรมชาติ
รักฉันก็จงปล่อยให้ฉันตายเถิด...!
ทีมข่าวสาธารณสุข