Pineapple TH-PH

Done

Tuesday, September 28, 2010

Quote of the day : LIFE CHANGE (เปลี่ยนแปลงชีวิต)

___________________________________________

 "You will never change your life until you change something
 
   you do daily."

"คุณจะไม่มีทางได้เปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตของคุณ จนกระทั่งคุณเปลี่ยนแปลงการกระทำ
 ในแต่ละวันของคุณเอง"

   -  Mike Murdock

___________________________________________________________________

Wednesday, September 22, 2010

สอนลูกให้รู้ค่าของเงิน

สอนลูกให้รู้ค่าของเงิน

สอนลูกให้รู้ค่าของเงิน  
Imageอยากให้ลูกสั่งสมทักษะชีวิตแบบไหน อยู่ที่ผู้ใหญ่จะเป็นตัวอย่างให้ดู

ให้ลูกรับผิดชอบการใช้เงินด้วยตัวเอง การกำหนดค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน หรือรายสัปดาห์

อยากให้ลูกสั่งสมทักษะชีวิตแบบไหน อยู่ที่ผู้ใหญ่จะเป็นตัวอย่างให้ดู

ให้ลูกรับผิดชอบการใช้เงินด้วยตัวเอง
การ กำหนดค่าใช้จ่ายให้ลูกอย่างเหมาะสมในระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ เช่น รายอาทิตย์ รายเดือน เป็นการเริ่มต้นฝึกให้ลูกมีความรับผิดชอบขั้นพื้นฐาน  ควร สอนให้เด็กรู้จักประเมินการใช้เงินรายวัน และจัดสรรการใช้จ่ายด้วยตัวเอง วันใดจ่ายมากก็ต้องยอมรับสภาพว่าอีกวันต้องอดบ้าง เพื่อเรียนรู้ผลการใช้เงินเกินข้อตกลง

รางวัลมิใช่สิ่งของเสมอไป
การ แสดงความชื่นชมลูกเมื่อเขาทำสิ่งที่ดีใช่ว่าจะต้องให้ของขวัญราคาแพงเสมอไป รางวัลสำหรับลูกอาจเป็นคำชมเชย จดหมายน้อยสักหนึ่งฉบับ ดาวทีละดวง  ครบห้าดวงเปลี่ยนเป็นไอศครีม 1 มื้อ เป็นต้น ควรคิดค้นวิธีการให้เด็กตื่นเต้นประทับใจ เช่น การส่งจดหมายถึงเด็กทางไปรษณีย์ แทนที่จะยึดแค่ความสะดวกสบาย โดยการให้รางวัลด้วยวัตถุเป็นหลัก 

ไปห้างสรรพสินค้าเมื่อจำเป็น
การพา ครอบครัวไปพักผ่อนด้วยการตากแอร์เย็นๆ ที่ห้างสรรพสินค้า อาจจะให้ผลได้ไม่เท่าเสีย เพราะสภาพแวดล้อมของห้างสรรพสินค้ามี แต่สิ่งเร้าที่กระตุ้นให้เด็ก และผู้ใหญ่อดใจไม่ไหว การไป แต่ละครั้งอาจทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น โดยไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า เป็นการเพาะนิสัยการบริโภคให้ลูกในความถี่ที่น่าเป็นห่วง 

จ่ายกันคนละครึ่ง... ดีไหม? 
คุณ พ่อคุณแม่หลายรายใช้หลักจ่ายกันคนละครึ่งกับลูก เพื่อฝึกให้ลูกรู้จักเก็บเงิน และหากต้องการสิ่งใดจะได้รับผิดชอบจ่ายด้วยตัวเองบ้าง อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง
  แต่ก็ต้องระวัง โดยการกำหนดกติกาว่าพ่อแม่จะหารด้วยในกรณีที่เป็นของจำเป็นจริงๆ เท่านั้น และระบบหารครึ่งนี้ จะไม่มีเงินผ่อนเด็ดขาด

สิ่งสำคัญที่อยากฝากถึงคุณพ่อคุณแม่ คือ  อย่า รู้สึกผิดที่ไม่มีเวลาให้ลูก สงสารลูกที่ลูกหัวไม่ดี สงสารลูกที่เขาเจ็บป่วยเรื้อรัง แล้วจะไปชดเชยหรือทดแทนให้เขา ด้วยการซื้อของ หรือ ให้เงินแบบไม่มีกฎเกณฑ์ เงินจำนวนมากหรือของเล่นราคาแพงไม่สามารถทดแทนความรู้สึกขาดในใจลูกได้  เพราะเราทำให้เขา อิ่มได้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ค่ะ



ที่มา :
 http://www.magickidschool.com

Tuesday, September 21, 2010

Quote of the day : MISTAKE (ความผิดพลาด)

_________________________________________________________________

   "The man who achieves makes many mistakes, but he never
     makes the biggest mistake of all - doing nothing."

   "ผู้ที่ประสบความสำเร็จทำผิดพลาดมามากก็จริง แต่กระนั้นเขาก็มิได้เคย

    กระทำความผิดพลาดอันใหญ่หลวงกว่าสิ่งใดทั้งมวล นั่นคือการไม่ได้ทำอะไรเลย"

       -  Benjamin Franklin

_________________________________________________________________

Sunday, September 19, 2010

"ความลับ" ทำไมคนญี่ปุ่นถึงอายุยืนที่สุดในโลก!

“ความลับ” ทำไมคนญี่ปุ่นถึงอายุยืนที่สุดในโลก!
 

... หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า “ประเทศญี่ปุ่น”
เป็นชาติที่มีอายุขัยยืนยาวมากที่สุดในโลก
ซึ่งนี่ถือเป็นการครองแชมป์มากกว่า 20 ปีแล้ว
โดยมีอายุเฉลี่ยเกิน 100 ปี มากกว่า 20,000 คนเลยทีเดียว
และเมื่อแยกย่อยลงไปในรายละเอียดต่างๆ จะพบว่า
สุขภาพร่างกายของคนญี่ปุ่น
มีคอเลสเตอรอลต่ำไม่ค่อยเป็นโรคอ้วน
กับโรคหัวใจ







- คนแก่ญี่ปุ่นเล่นสเก็ทบอร์ด
นี่เองที่ทำให้ใครต่อใครต่างอยากรู้คล็ดลับว่าทำไม “คนญี่ปุ่นถึงมีสุขภาพที่ดีได้"
กระทั่งผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหารญี่ปุ่นชาวอังกฤษคนหนึ่ง
ได้มีการทำสำรวจเกี่ยวกับอายุขัยในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก
เพื่อเทียบวิเคราะห์ถึงเหตุผลและปัจจัยอันเกี่ยวกับอายุขัยที่ยืนยาวของคนญี่ปุ่นว่า

...เพราะอะไรคนญี่ปุ่นถึงมีคอเลสเตอรอลต่ำ?

…เพราะอะไรคนญี่ปุ่นถึงมีอัตราการตายจากโรคหัวใจต่ำ?

…และเพราะอะไรสุขภาพของคนญี่ปุ่นถึงเป็นแบบนี้ได้?

 

...



ซุปผักรวมมิตรญี่ปุ่น ใส่สาหร่ายคอมบุ

กระทั่งพบ “ความลับ” ว่า “อาหารญี่ปุ่น”
คือตัวช่วยเสริมสุขภาพคนญี่ปุ่นให้ไม่มีปัญหาจากโรคภัยที่กล่าวมาได้ทั้งหมด
อาหารที่ว่า เช่น ปลาดิบ - ซุปมิโซะ – เต้าหู้ – สาหร่ายคอมบุ (จากน้ำอุ่น)
สาหร่ายโนริ (จากน้ำเย็น) เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเป็นอาหารที่มีคอเลสเตอรอลต่ำ
ปราศจากไขมันอิ่มตัว มีไอโอดีนและแร่ธาตุสูงมาก
อีกทั้งยังมีอนุมูลเล็กๆ ที่ช่วยเสริมสุขภาพให้ดี ช่วยให้อาหารอร่อยยิ่งขึ้นด้วย

และเมื่อเจาะจงข้อมูลลงไปในพื้นที่ประเทศญี่ปุ่น ยังมีสิ่งที่น่าสนใจนั่นคือ พบว่า
คนญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่บนเกาะโอกินาวามาอัตราการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน
โรคมะเร็ง และโรคหัวใจน้อยกว่าส่วนอื่นในพื้นที่ของประเทศญี่ป่นและประเทศอื่นๆ ทั้วโลก

 
สาหร่ายโนริ


นั่นเพราะชาวโอกานาวามีการบริโภคน้ำตาล 25% เกลือ 20%
และรับประทานผักเป็น 3 เท่า รับประทานปลามากกว่าเป็น 2 เท่า
โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก ซึ่งมีโอเมก้า 3 ที่สำคัญต่อโครงสร้างการทำงานของสมอง
เสริมสร้างระบบประสาท ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรเอธิลกลีเซอรอลในพลาสมา
ควบคุมระดับไลโปโปรตีน และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงหน้าองค์ประกอบของเกล็ดเลือด
ที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคทางเดินหายใจ โรคไขมันในเส้นเลือดและโรคหัวใจ
ทั้งยังช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ โรคหัวใจ ยังยับยั้งเซลล์มะเร็ง และโรคไขข้ออักเสบได้ด้วย



"อาหารทะเล" จึงเป็นเสมือนยาอายุวัฒนะหรืออาหารวัคซีน
ที่ช่วยป้องกันโรคร้ายต่างๆ ซึ่งทำให้ชาวโอกานาวามีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง

Friday, September 17, 2010

งานวิจัยชี้พบรักใหม่ ต้องแลกด้วยการเสียเพื่อนสนิท 2 คน เพราะเวลาลดลง

ความสัมพันธ์หวานแหววช่วงน้ำต้มผักก็หวาน อาจทำให้คุณมีเวลาสำหรับสิ่งอื่นๆ น้อยลง ผลศึกษาระบุการตกหลุมรักมีแนวโน้มทำให้เพื่อนสนิทสองคนหลุดออกจากวงจรชีวิต
       
       นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด อังกฤษ ขอให้กลุ่มตัวอย่างเปิดเผยจำนวนเพื่อนสนิท และการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขนี้เมื่อความรักถูกเพิ่มเข้ามาในสมการความ สัมพันธ์
       
       สิ่งที่พบคือ จำนวนเพื่อนสนิทที่เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5 ลดลงเหลือ 3 เนื่องจากคนรักใหม่เข้ามาครอบงำชีวิตประจำวัน
       
       “โปรดจำไว้ว่า เมื่อมีคนใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต คุณจะต้องสละคนเก่าๆ ออกไปสองคน” โรบิน ดันบาร์ ศาสตราจารย์ด้านมนุษยวิทยาวิวัฒนาการจากออกซ์ฟอร์ด ระบุ
       
       งานวิจัยชิ้นนี้ที่กำลังจะเผยแพร่ออกมาเร็วๆ นี้ และนำเสนอในเทศกาลวิทยาศาสตร์อังกฤษที่มหาวิทยาลัยแอสตัน ยังแจกแจงว่าผู้ชายมีแนวโน้มมีเพื่อนสนิท 4-5 คน ส่วนผู้หญิงจะมี 5-6 คน
       
       อย่างไรก็ดี ผู้ชายมีแนวโน้มมากกว่าผู้หญิงที่จะทิ้งเพื่อนเมื่อเริ่มปลูกต้นรัก

Friday, September 10, 2010

สรรพศาสตร์ แห่งการฝึกอภิจิต พิชิตวิกฤตการณ์

สรรพศาสตร์ แห่งการฝึกอภิจิต พิชิตวิกฤตการณ์

http://board.palungjit.com/f2/สรรพศาสตร์-แห่งการฝึกอภิจิต-พิชิตวิกฤตการณ์-65754.html
โดย MOUNTAIN
----------------------

โลกเราในสภาวะยุคปัจจุบันนี้
ภัยอันตรายหลากหลายเริ่มย่างกรายเข้ามาใกล้
ลำพังกาย อย่างเดียว แม้จะสมบูรณ์แข็งแรงขนาดไหน
หากไม่มีจิตที่เป็นสมาธิ ช่วยเป็นกำลังเสริม
ก็ยากนักที่จะฝ่าฟันอุปสรรค มหันตภัยทั้งหลายได้

หลายคนเคยมีบุญเก่าที่สร้างสมมาแต่อดีตชาติ
แต่ด้วยกาลเวลาที่ผ่านพ้นมาเนิ่นนาน
ชาติแล้วชาติเล่า ทำให้ขาดความสืบต่อ
ของการปฏิบัติ ถูกอวิชชาที่มืดมิด ครอบงำ
ไม่สามารถสร้างพลังจิต ให้เกิดขึ้นมาในตน
เหมือนเช่นอดีตที่เคยได้ทำมาแล้ว

ผมเชื่อว่า ทุกท่านที่เข้ามาในเวปพลังจิต
เป็นผู้มีบุญเก่า เคยปฏิบัติจิต เพื่อสร้างพลัง
กันมาแล้วทั้งสิ้น
แต่ด้วยเงื่อนงำของกาลเวลาดังกล่าว
จึงขาดช่วง เว้นวรรค หายไป
การจะเริ่มต้นใหม่ กลายเป็นเรื่องยาก

นี่คือที่มาของกระทู้นี้
สรรพศาสตร์ แห่งการฝึกอภิจิต พิชิตวิกฤตการณ์

กระทู้นี้จะรวบรวมแหล่งที่มาของวิชชาการฝึกจิต
หลากหลายวิธี ที่ไม่ยุ่งยาก ง่ายต่อการฝึก
สามารถสร้างขุมพลังในตัวให้เกิดขึ้น
ให้เป็นได้ทั้งเครื่องรับและเครื่องส่ง ในแต่ละบุคคล
ประกอบกับการเปิดกระแสพลังจากเบื้องบนลงมา
จึงจำเป็นที่จะต้องสร้างเครื่องรับที่มีประสิทธิภาพ
เพื่อรับสนองพลังดังกล่าว

ปรมาจารย์ทางด้านการฝึกจิต
ที่ผมใช้เป็นตำรา นำมาเผยแพร่ คือ
ท่านอาจารย์อัคร ศุภเศรษฐ์ และ
ท่านอาจารย์ศิยะ ณัญฐสวามี
ต้องขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ทั้งสองท่าน
ที่สร้างสรรตำราฝึกจิต หลากหลาย ขึ้นมา
นับว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจ ใคร่รู้ ใคร่ศึกษา
เพื่อนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม
เสริมสร้างพลังกายและพลังจิต
ในยุคที่ผู้คนกำลังตื่นตระหนก และพยายาม
ค้นหาทางอยู่รอดปลอดภัย

ส่วนอาจารย์อีกสองท่านที่ผมเคยได้ติดตามผลงาน
เกี่ยวกับการฝึกจิต ให้เกิดประสิทธิภาพ คือ
ท่านอาจารย์ พ.อ.ชม สุคันธรัต (จากวิทยาศาสตร์ทางใจ)
และท่านอาจารย์สุวินัย ภรณวลัย (ผู้สร้างผลงานซีรีส์มังกรจักรวาล)
ก็ต้องกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ทั้งสองนี้ด้วย

การฝึกจิตให้ว่าง ผ่อนคลาย สงบประณีตจนเป็นสมาธิระดับต่างๆ
จะช่วยให้เพิ่มสิ่งดีๆ รักษาสิ่งที่ควรรักษา และลดสิ่งชั่วร้ายในร่างกาย
จิตใจ พฤติกรรมและศักยภาพด้านต่างๆ ของชีวิต ดังนี้.-

สิ่งที่เพิ่ม

เพิ่มการพักลึก
เพิ่มภูมิต้านทานของผิวหนัง
เพิ่มความสมดุลของคลื่นสมองซ้าย-ขวา
เพิ่มความเป็นระเบียบของการทำงานของสมอง(ดูจากคลื่น ecg)
เพิ่มความสะดวกคล่องตัวในการหายใจ
เพิ่มปริมาณพลาสม่า(ของเหลวในเซล)
เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต
เพิ่มการสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงสมอง
เพิ่มภูมิต้านทานต่อภาวะเครียด
เพิ่มการผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนใน
เพิ่มความตื่นตัว
เพิ่มศักยภาพในการปรับตัวของร่างกาย
เพิ่มความทนทานในการออกกำลังกายและการทำงาน
เพิ่มความฉับไวในการรับรู้
เพิ่มอัตราเร็วในการสนองตอบของระบบประสาทต่อสิ่งเร้า
เพิ่มความเชื่อมั่นภาคภูมิในตนเอง
เพิ่มความเป็นตัวของตัวเอง
เพิ่มเชาวน์ปัญญา
เพิ่มศักยภาพในการจำ
เพิ่มปฏิภาณในการเรียนรู้,การแก้ปัญหา
เพิ่มความคิดสร้างสรรค์
เพิ่มเมตตาไมตรี
เพิ่มความมีอารมณ์ดี
เพิ่มทัศนคติที่ดีต่อตนเอง
เพิ่มวุฒิภาวะในตนเอง
เพิ่มการยอมรับนับถือตนเอง
เพิ่มการเปิดใจกว้างยอมรับซึ่งกันและกัน
เพิ่มความรู้สึกเคารพให้เกียรติกัน
เพิ่มความไว้วางใจได้และความเชื่อใจกัน
เพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงอดีตและปัจจุบัน
เพิ่มศรัทธาในศาสนา
เพิ่มความสงบสุข
เพิ่มการยอมรับได้และให้อภัย
เพิ่มศักยภาพในการปล่อยวางโดยง่าย
เพิ่มความกล้า
เพิ่มความรอบคอบและเซ้นส์ในการป้องกันภัย
เพิ่มศักยภาพในการรวมพลังในตนเอง
เพิ่มศักยภาพในการทำงานและปริมาณผลผลิต
เพิ่มความพึงพอใจในงาน
เพิ่มความสัมพันธ์อันดีในที่ทำงาน
เพิ่มคุณภาพชีวิต
เพิ่มความพึงพอใจในงาน
เพิ่มสัมพันธ์อันดีในที่ทำงาน
เพิ่มคุณภาพชีวิต
เพิ่มความพึงพอใจในชีวิตครอบครัว
เพิ่มศักยภาพในการเผชิญและแก้ปัญหาวิกฤตในชีวิต
เพิ่มศักยภาพในการสื่อสาร
 
สิ่งที่รักษา

รักษาระดับน้ำหนัก
รักาดุลยภาพทางอารมณ์
รักษาสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย
รักษาความสามารถในการรักษาเวลา
รักษาความสม่ำเสมอของคลื่นอัลฟ่าในสมอง
รักษาความประสานกลมกลืนของจิตใจและร่างกาย
รักษาระดับน้ำตาลในเลือด(วัดด้วย OGTT)
รักษาภาวะสุขภาพดีโดยรวม
รักษาความหนุ่มสาว
รักษาความอบอุ่นและความสงบสุขในสัมพันธภาพ
รักษาภาวะผ่อนคลายสบายๆ ในขณะทำงาน


สิ่งที่ลด

ลดอัตราการหายใจ,การสันดาปเผาผลาญในเซล
ลดอัตราการใช้ออกซิเจนของเซล
ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจากร่างกาย
ลดปริมาณแลคเตรท(ตัวทำให้เมื่อย)
ลดอัตราการเต้นของหัวใจ
ลดความเจ็บปวดทางร่างกาย
ลดอาการกลัวการถูกทดสอบ
ลดความเครียด
ลดการทำงานเกินความจำเป็นของสมอง
ลดความดันโลหิตผิดปกติ
ลดความวิตกกังวล,อาการภูมิแพ้,อาการนอนไม่หลับ
ลดความต้องการนอนเป็นเวลานาน
ลดการตื่นบ่อยในยามกลางคืน
ลดอาการประสาท
ลดความก้าวร้าว
ลดอาการแปรปรวนทางร่างกายและอารมณ์
ลดความฝันสับสนสะเปะสะปะ
ลดอาการประสาทหลอน
ลดการติดสิ่งเสพติด
ลดอาการหดหู่ท้อถอย
ลดความขัดแย้งระหว่างกัน
ลดความรู้สึกแบกสารพันปัญหาในชีวิต
ลดการต่อต้านกฎ กติกา มารยาท
ลดอัตราอาชญากรรมในหมู่คณะ

ตัวอย่างเหล่านี้ เป็นแค่ผลพื้นฐานเล็กน้อย ที่ฝรั่งวิจัยพบ
ยังมีผลขั้นกลางและขั้นสูงอีกมากมาย
ที่ศาสดาปรมาจารย์ทั้งหลายระบุไว้
ซึ่งฝรั่งยังพัฒนาไปไม่ถึง

เมื่อฝรั่งเห็นผลการวิจัยดังกล่าว จึงเห่อการฝึกจิตกันโกลาหล
หลายมหาวิทยาลัยเปิดสอนวิธีการฝึกจิตกันมากมายหลายหลักสูตร
ที่ฮาร์วาร์ด เปิดสอนหลักสูตรการฝึกจิตเบื้องต้น
เป็นเวลา 5 วัน เฉพาะค่าเรียน 2,500 เหรียญสหรัฐ

ชีวิตมีอยู่ 2 ส่วน คือ แก่นชีวิต และเปลือกชีวิต

เปลือกชีวิต ก็คือร่างกาย ลมหายใจ ผัสสะ และความรู้สึกทั้งหลายนี้
ซึ่งกำลังตายลงทุกวันๆ

แก่นชีวิตก็คือใจ

ต้องเลือกเอา จะรักษาร่างกายที่กำลังตาย
และพยายามหอบมันหนีความตาย ที่ซึ่งไม่อาจหนีพ้น
หรือจะรักษาจิตใจ ซึ่งมีค่ากว่า ให้มันดำรงอยู่
อย่างสงบสุขและสง่างาม

ใครเลือกรักษาจิตใจ อันเป็นแก่นของชีวิต
ก็ต้องทำความรู้จักจิตใจให้ชัดเจน บริหารให้เหมาะสม
และฝึกฝนให้จริงจังจนแก่กล้า

การฝึกจิตนั้นมีหลายวิธี เพื่อหลายวัตถุประสงค์
จะฝึกตามวิธีไหน ที่ใครสอนก็ได้ เพราะจิตใจเป็นสากล
ถ้าต้องการให้จิตใจเข้มแข็งสมบูรณ์ ก็ควรเปิดกว้าง
เพื่อการเรียนรู้และฝึกฝน
ใครสอนอะร ถ้าสมสัจจะตามระดับสติปัญญาของท่านก็ควรเรียนรู้

ดังนั้น เพื่อประโยชน์สุขของตน จงเรียนรู้ให้กว้างขวาง
แล้วเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับแต่ละภาวะแห่งชีวิตมาใช้ให้สนุกสนาน

ฐานะและเป้าหมายในการฝึกจิต

การฝึกจิตทั้งหลายในโลกนั้น มีหลายวิธี
พระท่านจะเน้นฝึกจิตเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น

คฤหัสถ์ อาจเน้นฝึกจิต เพื่อหลากหลายวัตถุประสงค์ ดังนี้.-

การฝึกจิตเพื่อสุขภาพ ให้ฝึกธรรมชาติสัมพันธ์ ชี่กง
กังฟู พลังจักรวาล โยคะ

การฝึกจิตเพื่อความสุข ให้ฝึกอัปมัญญาสมาธิ รูปฌาน อรูปฌาน

การฝึกจิตเพื่อสัมพันธ์อันดี ให้ฝึกเทวปูชา มหาเมตตาแบบทิเบต

การฝึกจิตเพื่อปัญญา ให้ฝึกมโนมยิทธิ เซน อภิธรรม

การฝึกจิตเพื่ออำนาจ ให้ฝึกกสิณ บริหารใจ จินตภาพ มนตรยาน

การฝึกจิตเพื่อแก้ปัญหาใจ ให้ฝึกจิตวิเคราะห์ วิปัสสนาแบบพุทธดั้งเดิม ธรรมะเปิดโลก

การฝึกจิตเพื่อการพักผ่อน ให้ฝึกโยคะ ธรรมชาติสัมพันธ์ ความว่างแบบเต๋า

การฝึกจิตเพื่อความบริสุทธิ์ ให้ฝึกแบบพุทธดั้งเดิม วิธีใดก็ได้
หรือทุกวิธีก็ดี

หากฝึกแล้วยังไม่ได้ผลดังหวัง รู้สึกยากหรือติดขัดที่อารมณ์ตน
ก็ให้ลองสำรวจดูว่า ตนมีจริตใด โด่งเกินไปหรือไม่ หากมีก็แก้เสีย

การฝึกจิต แบบพลังปิรามิด และ แบบแอตแลนติส

ความเป็นมา

ประมาณ 6,000 ปี มาแล้ว ที่อียิปต์เป็นเจ้าอารยธรรมของโลก
และมีหลายฝ่ายเชื่อกันว่า อียิปต์ เป็นชนชาติสุดท้าย
ที่ได้รับถ่ายทอดวิทยาการต่างๆ จากชาวเกาะแอตแลนตีส
กลุ่มที่ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังในปัจจุบันคือ
Atlantic University ณ เวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา

เมื่อหลายพันปีก่อน อียิปต์เป็นหนึ่งในเจ้าแห่งสถาปัตยกรรม
และจากหลักฐานหลายชิ้นที่ขุดได้และบันทึกต่างๆ ในปิรามิด
เชื่อกันว่า สมัยอียิปต์ตอนปลาย ความเจริญทางด้านการฝึกจิต
แพร่หลายมากและมีการพัฒนาการฝึกจิตไปหลากหลาย
มีทั้งที่ดีและไม่ดี ในบันทึกมีทั้งมนต์ขาวและมนต์ดำมากมาย
จนสันนิษฐานกันว่า การต่อสู้กันระหว่าง พลังความดี กับพลังความไม่ดี
ด้วยอำนาจจิตที่ลึกซึ้ง เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ จิตสำนึกของชนชาวอียิปต์
สับสน และนำไปสู่ความขัดแย้งภายในเอง จนรักษาตัวไม่รอด
ล่มสลาย สิ้นความเกรียงไกรไปในที่สุด

ในที่นี้จะเลือกแนะเฉพาะการฝึกจิตบางประการที่ไม่เป็นโทษ
และไม่ใช่มนต์ดำ แต่พอเป็นกีฬาทางจิต ให้ออกกำลังจิตใจ
ได้บ้างเท่านั้น ทั้งของอียิปต์และของแอตแลนตีส

หลักและวิธีการฝึกแบบพลังปิรามิด

ชนโบราณเข้าใจว่ารูปทรงปิรามิด เป็นรูปทรงที่รับพลัง
จากท้องฟ้าและจักรวาลได้ดีที่สุด

นักวิทยาศาสตร์พยายามศึกษาสิ่งเหล่านี้และพบว่า
ณ ศูนย์กลางของปิรามิด ของจะไม่เน่า โลหะจะไม่ขึ้นสนิม
ฟาโรห์ทั้งหลายแห่งอียิปต์ จึงนิยมเอาพระศพ ไปฝังไว้
ณ ตำแหน่งศูนย์กลางปิรามิด

นักฝึกจิตจำนวนหนึ่ง ได้พยายามประยุกต์หลักการนั้น
มาใช้ในการฝึกจิต เพื่อเพิ่มพลังให้ตนเอง

ผู้ที่ประสงค์จะฝึกแบบพลังปิรามิด
ให้นั่งในที่รโหฐาน(เฉพาะตน) แล้วกำหนดปิรามิดด้วยใจ
ให้ปิรามิดใหญ่ ครอบตัวไว้ กำหนดจิตไปตามมุมปิรามิด
จนเห็นปิรามิดชัดขึ้น

เมื่อเห็นปิรามิดชัดเจนดีแล้ว ให้ผ่อนคลาย
แต่คงความรู้ชัดไว้ แล้วน้อมใจอัญเชิญครูบาอาจารย์
(จะของศาสนาใดก็ได้) ที่ท่านเคารพนับถือ
ให้ส่งพลังมาเกื้อกูลแก่ท่านด้วย
เพื่อให้มีสุขภาพดี มีปัญญาดี มีกำลังดี
และมีดวงตาเห็นสัจธรรม

ทำสักครู่หนึ่ง เมื่อสบายดีแล้วก็ผ่อนคลาย แล้วลืมตาช้าๆ

การทำแบบนี้ก่อนหลับ จะทำให้หลับสบายมาก
เหมือนนอนในมุ้งแก้วแห่งจินตนาการ แล้วหลับสบายไปเลย

หลักและวิธีการฝึกแบบแอตแลนติส

ชาวแอตแลนติส เป็นพวกศึกษาธรรมชาติมหภาคมากกลุ่มหนึ่ง
และพยายามเข้าถึงพลังธรรมชาติที่เป็นอภิระบบ
และใช้พลังเหล่านั้นมาเสริมพลังของตนเอง

มีวิธีการหนึ่งซึ่งน่าสนใจ อย่างน้อยก็เป็นการออกกำลังทางจิตที่ดี
คือการฝึกเข้าถึงแกนโลกและกาแลคซี่

ต่อไปนี้คือการฝึกแบบแอตแลนติสพัฒนา
เมื่อฝึกๆไป จะค้นพบวิธีที่มีประสิทธิภาพกว่า
ที่อาจารย์ผู้สอนสอนมา ก็ต้องใช้วิธีที่ให้ผลดีกว่าเป็นธรรมดา

ควรทำในที่โล่ง ถ้าเป็นกลางคืนที่เห็นทางช้างเผือกได้ยิ่งดี

ถ้านั่งบนพื้นดินได้ก็ดี ให้นั่งในท่าตรง
เข้าสมาธิด้วยวิธีที่ถนัด จนกายสงัด จิตสงบ
กำหนดจิตไว้ที่ใจ กึ่งกลางทรวงอก

ให้ส่งจิตผ่านกระดูกสะโพกด้านซ้าย
ลงไปที่ศูนย์กลางของแกนโลกซึ่งเป็นผลึกอยู่
ผ่านสัมผัสแกนโลกแล้วกลับมาที่ร่างกาย
เข้าที่สะโพกด้านขวา กลับมาที่ใจ
แล้วส่งจิตผ่านสมองขวา ขึ้นไปยังใจกลางกาแลกซี่
ซึ่งเป็นหลุมดำอยู่ เข้าไปที่ศูนย์กลางหลุมดำ ซึ่งว่าง
แล้วกลับมาที่กายทางสมองซ้าย แล้วไปที่ใจดังเดิม

ทำเช่นนี้หลายรอบจนจิตมั่นคง กายมั่นคง ทรงพลัง
เมื่อรู้สึกจิตนิ่งมั่นคงแล้ว ก็กลับมาที่ใจ
ทำใจให้ใสและมีพลังดั่งแกนโลกและแกนกาแลกซี่

เมื่อจะหยุด ให้ผ่อนคลายจนรู้สึกสบาย
แผ่จิตไปยังผู้ที่ท่านปรารถนาดี ทั่วหล้า ทั่วจักรวาล
แผ่ใจที่มีพลังเข้าไปในกาย ให้กายมีพลัง
ลืมตาช้า ๆ

สิ่งที่ควรคำนึงเป็นอย่างยิ่ง

สิ่งหนึ่งซึ่งนักฝึกจิตกลุ่มอียิปต์นิยมชอบทำกันคือ
การถอดจิตไปยัง เมืองลักซอร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งมหาวิหารโบราณ
ที่มีวิญญาณครูบาอาจารย์สถิตอยู่มาก
ซึ่งมีทั้งดีและไม่ดี

ดังนั้นผู้ไม่ชำนาญทางจิตจริงไม่ควรทำ

สิ่งที่ควรคำนึงเป็นอย่างยิ่ง

สิ่งหนึ่งซึ่งนักฝึกจิตกลุ่มอียิปต์นิยมชอบทำกันคือ
การถอดจิตไปยัง เมืองลักซอร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งมหาวิหารโบราณ
ที่มีวิญญาณครูบาอาจารย์สถิตอยู่มาก
ซึ่งมีทั้งดีและไม่ดี

ดังนั้นผู้ไม่ชำนาญทางจิตจริงไม่ควรทำ

วิธีฝึกจิตแบบศูนยวาท

ศูนยวาท เน้นการพินิจ
__________________
พิจารณาต่อไปว่า แม้ความทรงจำทั้งหมดก็ไม่เป็นตน
คลายความยินดียินร้าย แล้วปล่อยวางเสีย
จิตก็จะถอนออกจากความทรงจำ
แล้วดำดิ่งสู่ภายใน.............

ถ้ามีความคิดผุดขึ้นมา กำหนดทันทีว่าความคิดไม่เป็นตน
ปล่อยวางเสีย......................

แม้เจอภาวะที่ทรงอยู่อย่างใดก็ตาม เมื่อทรงอยู่สักระยะหนึ่ง
ก็กำหนดว่า แม้ภาวะนี้ก็ไม่เป็นตน
คลายความยินดียินร้าย แล้วปล่อยวาง......................

ทำไปโดยลำดับ จนเหลือแต่ความว่างโล่ง ใสสบายอยู่

ทีนี้ให้กำหนดจิตในส่วนที่ลึกที่สุด แล้วแผ่ออกไปให้ไพศาล
กำหนดให้เป็นที่สบาย แผ่ให้กระจายออกไปรอบๆตัว
ให้จิตเข้าไปครอบงำธรรมชาติทั้งหลาย
แค่เรากำหนด จิตก็ไป ไม่ต้องไปผลัก

จากนั้น กลับมาที่ตนเอง
กำหนดรู้ตัวทั่วพร้อมในร่างกาย
โดยให้จิตประสานกับกาย แล้วรู้สึกทางร่างกายชัดขึ้น

เวลาเดินปกติ หรือเดินจงกรม ก็เช่นกัน บริกรรม
"อนัตตาๆๆ" กำกับไปด้วยเสมอ

การฝึกแบบศุนยวาท เป็นการฝึกง่ายๆ สำเร็จง่ายๆ
เห็นผลเร็วและชัดมาก แต่ต้องพิจารณาลึกๆ
และแทงตลอดทุกสิ่ง...ตลอดเวลา....

การฝึกจิตแบบเต๋า

หลักการและวิธีการฝึก

เต๋าเน้นการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย ไร้พิธีรีตอง
พิจารณาความว่าง และความไร้เป็นอารมณ์

หากเห็นไม่ชัด นักปฏิบัติบางคนจะใช้การเคาะไม้
แล้วฟังภาวะที่ปรากฏเสียงและไร้เสียงสลับกันไป
แล้วเพ่งภาวะไร้เป็นอารมณ์

ใหม่ๆ อาจเคาะไม้ถี่ตามภาวะอารมณ์ที่หยาบ
ต่อไปอัตราถี่จะลดลง ก็ไม่ต้องสนใจ เพ่งความไร้เป็นอารมณ์
พอถึงจุดหนึ่งมือจะหยุดเคาะเอง
ก็ไม่ต้องพยายามยกมือมาเคาะอีก
เพ่งความสงบไร้ให้มั่นคง ทำกายทำใจให้ไร้
รู้ความไร้อันไร้ขอบเขตอย่างต่อเนื่อง
นับเป็นการประคองจิตให้ว่างได้ดีอีกแบบหนึ่ง

ข้อพึงระวัง เมื่อติดความว่างและความไร้รูปแบบแล้ว
จะเข้ากับโลกไม่ได้ เห็นโลกเป็นของไร้สาระไปหมด
รับพิธีกรรมใดๆ ไม่ได้
ต้องนำเอาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้ามาพิจารณา
คือ เมื่อพบความว่าง ให้พิจารณาว่า ความว่าง
ก็ไม่เป็นตน ปล่อยวางความว่างเสีย จึงหลุดออกมาได้

คนที่จะปฏิบัติแนวทางนี้ได้ ต้องมีชีวิตที่สันโดษ หลีกเร้น

การสื่อสารกับเทพเจ้า

การถอดจิต

เนื่องจากเทพเจ้าและวิญญาณส่วนใหญ่เป็นโอปปาติกะ
มีกายทิพย์หรือมีใจเป็นดวงอยู่ ดังนั้นทางที่ดีที่สุด
ในการติดจ่อสื่อสารกัน คือ เราต้องทำตัวเราให้เป็น
โอปปาติกะด้วย ซึ่งทำได้สองอย่าง คือ

1. ถอดจิตออกมาด้วยหลักมโนมยิทธิที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
2. ตาย

ในที่นี้เป็นวิชาสำหรับคนเป็น จึงมีทางเดียว คือ ถอดจิต
ออกมาด้วยอำนาจใจ (ดูการฝึกมโนมยิทธิที่มีการสอนในเวปพลังจิตประกอบ)

หากท่านเข้ารูปฌาน เมื่อถอดจิตออกมาท่านจะเป็นตนเอง
มีกายทิพย์เช่นเดียวกับวิญญาณทั้งหลาย

แต่หากเข้าอรูปฌาน แล้วถอดจิตออกมา
ท่านจะพบว่าตนเองเป็นดวงแสงจ้าอยู่

ทั้งสองกรณีใช้ได้สำหรับการสื่อสารกับเทพเจ้า
และเหล่าวิญญาณทั้งหลาย

สิ่งสำคัญที่พึงคำนึงคือ

1. ต้องเห็นกันให้ชัดก่อน ค่อยคุยกัน อย่าคุยกันโดยที่ไม่เห็น
วิญญาณมีมากมายก่ายกอง มีทั้งดีและไม่ดี ทั้งสัมมาทิฐิ
และมิจฉาทิฐิ

หากเป็นพระอริยเจ้า จะเห็นรุ้งรอบกายทิพย์ท่าน
หากเป็นเทพพรหม จะมีรัศมีสีเดียวเป็นส่วนใหญ่ เพราะ
พรหมทรงอารมณ์เดียวอยู่ตลอดเวลา (ยกเว้นพระนิยตโพธิสัตว์
มีหลายสีแต่ไม่ใส ไม่บริบูรณ์เหมือนพระพุทธเจ้า)
หากเป็นพวกรัศมีสีเหลือง พอคุยได้
หากเป็นพวกรัศมีสีน้ำตาล ไม่ควรคุย

2.เมื่อเห็นใหม่ๆนั้น หากจิตไม่นิ่งดี จะเห็นแสงจ้า
จนอาจไม่เห็นร่างที่แท้จริงของเทพเจ้านั้นๆ
ให้รีบกำหนดอุเบกขาชำระจิตตนให้สะอาดนิ่งลึก
ยิ่งจิตเข้าอุเบกขานิ่งลึกเท่าไร ยิ่งเห็นได้ชัดมากเท่านั้น

3. ในขณะที่คุยกัน อย่าเพ่งจิตจดจ่อการคุย
หากเพ่ง จิตจะพุ่งหรือไหลไปทางเดียว จะเสียฐาน เสียสมาธิ
และท่านจะไม่ได้ยินเสียงทิพย์
จำไว้ว่ารักษาฐานที่มั่นแห่งใจไว้เสมอ ทำใจให้หมดจด
มีสมาธิอันบริบูรณ์มั่นคงอยู่เท่านั้น

4. อย่าตั้งใจคุยจนเกินไป ทำใจว่างๆ สบายๆ ตามธรรมชาติ
คุยตามความเหมาะสมแก่สถานการณ์ หากตั้งใจเกินไปจิตจะกระเพื่อม
เมื่อจิตกระเพื่อม ความเห็นชัดได้ยินชัดจะหายไป

5. การพูดคุยทั้งหมด พึงเป็นไปเพื่อการเรียนรู้สัจจะที่ยิ่งๆ
ที่หาไม่ได้ในโลกมนุษย์ หากคุยเรื่องโลกๆ แสดงว่าใช้โอกาสไม่คุ้ม
เรียกว่า ขุดเพชรหาพลอย เมื่อเจอเพชรไม่คว้าเพชร
เพราะใจมุ่งแต่พลอย

6. เมื่อรู้อะไร ให้ขอข้อพิสูจน์บางประการที่จะเอามาทำการตรวจสอบว่า
สิ่งที่ตนรู้นั้นถูกต้องด้วย

การถอดจิตออกมาคุยกัน ทำให้จิตอยู่ในสถานภาพเดียวกัน
จึงเห็นชัด รู้ชัด และมีความเที่ยงตรงสูงกว่าวิธีอื่น
(หากถอดได้จริง ไม่ใช่ Mood making)
 
การโทรจิต

สมัยโบราณ มนุษย์ติดต่อกับเทพเจ้าด้วยโทรจิตเป็นส่วนใหญ่
เช่น ภิกษุติดต่อกับพระอริยเจ้าเบื้องบน หรือแม้ในโลกมนุษย์ด้วยกัน
ฤาษีติดต่อกับพรหม ท่านมูฮัมหมัดติดต่อกับท่านทูตกาเบรียล
ก็ล้วยใช้โทรจิตทั้งสิ้น ซึ่งคนโบราณทำได้ง่ายเพราะสมาธิดีกว่าคนสมัยนี้

การใช้โทรจิต เป็นการสื่อสารกันชนิดหนึ่ง
แม้พระพุทธเจ้ายังทรงใช้ในการสอนภิกษุทางไกล
เรียกว่า ญาณผาราฤทธิ์ คือทรงแผ่ญาณไปยังภิกษุผู้อยู่ห่างไกล
ให้ได้รับคำสอนที่เหมาะสมกับที่กำลังปฏิบัติอยู่
เดี๋ยวนี้คนทำกันได้น้อย
จึงต้อง สร้างดาวเทียมมาช่วยเสริมศักยภาพ ที่ขาดหายไปของมนุษย์

การสื่อสารทางโทรจิต ต้องใช้สมาธิจิตขั้นกลาง เป็นต้นไป
ในฌานหนึ่ง จะใช้ไม่ได้ เพราะฌานหนึ่งยังมีความคิดอยู่
เมื่อมีความคิด จะไม่ได้ยินเสียงจิตอื่น
จะได้ยินแต่เสียงความคิดตนเอง

หากนักปฏิบัติสามารถเข้าฌานสอง เป็นอย่างน้อย
ละวิตก วิจารณ์ ได้แล้ว จิตหนึ่งเริ่มปรากฏ ไม่มีความคิดแล้ว
ไม่อยากคิดแล้ว ก็จะเริ่มสามารถสื่อสารทางจิตกับผู้อื่นได้
แต่ถ้าจะให้เห็นภาพด้วย ต้องได้ฌานสามเป็นอย่างน้อย
แต่ในฌานสาม แสงมักจะมากจนมองกันไม่ค่อยชัด
เหมือนมองพระอาทิตย์ยามกลางวัน จะไม่เห็นขอบดวงอาทิตย์
เพราะมันจ้าเกินไป

จะสมบูรณืที่สุดต้องได้ ฌานสี่ เพราะจิตจะสนิทในสติบริสุทธิ์
และเป็นอุเบกขาบริบูรณ์ ไม่กระเพื่อมแล้ว
ยามพบวิญญาณจะไม่กลัวเลย
ยามเห็นก็จะเห็นชัดยิ่งกว่าเห็นด้วยตาเปล่า
เพราะจิตรวมกันเข้มมาก เวลาสนทนาก็จะได้ยินชัด

หากได้ฌานจริง ความเที่ยงตรงของการติดต่อสื่อสารแบบนี้ค่อนข้างสูง

ปัญหาของการใช้วิธีนี้มีอยู่อย่างเดียว คือ
พอเข้าสมาธิลึกๆแล้ว ไม่อยากรู้อะไร ไม่สงสัยอะไร
ไม่รู้จะถามอะไร บางทีทำให้การสื่อสารไม่ครบถ้วน
พอออกจากสมาธิแล้ว จึงรู้ว่า ลืมถามประเด็นนั้นประเด็นนี้
ก็ต้องสื่อสารกันใหม่อีกรอบ

แต่หากใครไม่สามารถเข้าฌานลึกๆได้
ก็ต้องใช้วิธีต่อไป คือ การสัมผัสจิต

Thursday, September 9, 2010

แนะนำให้ฟัง MP3 ดร.บุญชัย โกศลธนากุล FM96.5 อสมท

สรุปจากหนังสือ Best Seller ทั่วโลก
ได้ประโยชน์ดีมาก ใจความสำคัญครบ ไม่ต้องซื้ออ่าน
ใน Bitcosmo มี ลองติดมือถือไว้ฟังเวลารถติดนะ
ฟังภาค จิตวิทยาก่อน เช่นเรื่องของ ดาวินชี่ อัจฉริยะ No.1 ของโลก
ปรัชญาจากนักคิด นักปราชญ์เอก ทั้วโลก

"ไฮ่ฉวินจือหม่า" : "ม้าที่ทำลายฝูงม้า"

《害群之马》
       
       害(hài) อ่านว่า ไฮ่ แปลว่า เป็นอันตราย
       群(qún) อ่านว่า ฉวิน แปลว่า ฝูง / กลุ่ม
       之(zhī) อ่านว่า จือ ในที่นี้ทำหน้าที่เป็นคำช่วย วางระหว่างคำนามและส่วนขยายคำนาม
       马(mǎ) อ่านว่า หม่า แปลว่า ม้า

ภาพจาก www.nipic.com/
       ครั้งหนึ่ง ในยุคของ หวงตี้ บูรพกษัตริย์ของแผ่นดินจีนในช่วงเริ่มต้นประวัติศาสตร์ ซึ่งชาวจีนเรียกกันว่า จักรพรรดิ์เหลือง พระองค์ได้มีดำริที่จะเดินทางไปเยี่ยมสหายเก่าแก่นามว่า ต้าเว่ย ซึ่งอาศัยอยู่ที่ภูเขาจู้ฉือซาน จึงออกเดินทางไปพร้อมคณะผู้ติดตาม 7 คนที่คอยห้อมล้อมดูแลองค์จักรพรรดิ์อย่างใกล้ชิด ทว่าเมื่อเดินทางมาถึงเขตที่ราบเซียงเฉิงกลับหลงทิศทาง ผู้ติดตามทั้ง 7 คนไม่สามารถหาทางไปต่อได้ จึงเสาะหาผู้ที่สามารถชี้ทางให้
       
       ขณะนั้นเองคณะเดินทางก็บังเอิญพบกับเด็กเลี้ยงม้าผู้หนึ่ง กำลังพาฝูงม้ามากินหญ้า จึงเอ่ยถามเด็กชายว่า "เจ้ารู้จักภูเขาจู้ฉือซานหรือไม่?"
       เด็กชายตอบว่า "ย่อมทราบ"
       
       หวงตี้เอ่ยถามต่อไปว่า "แล้วทราบหรือไม่ว่าต้าเว่ยสหายข้าอาศัยอยู่ที่ใด?"
       เด็กเลี้ยงม้าตอบว่า "ทราบดี"
       
       หวงตี้แปลกใจยิ่งนัก จึงเอ่ยถามเด็กชายเพื่อลองภูมิต่อไปว่า "เจ้าเด็กคนนี้ช่างน่าทึ่งนัก ไม่เพียงรู้จักภูเขาจู้ฉือซาน ทั้งยังทราบว่าต้าเว่ยพักอยู่ที่ใด ถ้าเช่นนั้นข้าถามเจ้าอีกคำถาม แม้เจ้ารู้เรื่องมากมาย แต่เจ้ารู้วิธีการที่จะปกครองบ้านเมืองหรือไม่?"
       เด็กเลี้ยงม้าตอบกลับไปว่า "ปกครองบ้านเมือง ก็คล้ายคลึงกับการเลี้ยงฝูงม้าในทุ่งกว้าง เพียงจัดการภารกิจที่อยู่ตรงหน้า อย่าทำเรื่องง่ายๆ ให้กลับซับซ้อน การปกครองประเทศก็เป็นเช่นเดียวกับการเลี้ยงฝูงม้า ขอเพียงขับไล่ม้าที่เป็นอันตรายต่อม้าตัวอื่นๆ ออกไปจากฝูง ย่อมรักษาฝูงม้าให้อยู่ต่อไปได้ตามปกติ"
       
       เมื่อหวงตี้ได้ฟังคำกล่าวอันคมคายของเด็กเลี้ยงม้า ก็รู้สึกยอมรับนับถือในตัวเด็กเลี้ยงม้ายิ่งนัก
       
       สำนวน "ไฮ่ฉวินจือหม่า" หรือ "ม้าที่ทำลายฝูงม้า" ใช้เพื่อเปรียบเทียบถึงบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่เป็นอันตรายต่อคนหมู่มาก หรือเป็นอันตรายต่อสังคมส่วนรวม

เศรษฐีจีนยังเงียบ เลี่ยงรับปากเลี้ยงโต๊ะ เกตส์-บัฟเฟตต์ เชิญชวนผู้มั่งมีให้ร่วมบริจาคทรัพย์สินอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่มี เพื่อการกุศล

เศรษฐีจีนยังเงียบ เลี่ยงรับปากเลี้ยงโต๊ะ เกตส์-บัฟเฟตต์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 กันยายน 2553 16:09 น.
 
บิล เกตส์ (ขวา) และวอร์เรน บัฟเฟตต์ สองมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลก ผู้ริเริ่มโครงการ "The Giving Pledge" เพื่อสร้างประโยชน์แก่มนุษยชาติ โดยมีเศรษฐีมะกันเข้าร่วมทันที 40 ราย (ภาพเอเยนซี)
       เอเอฟพี-จนถึงขณะนี้ มีมหาเศรษฐีจีนเพียง 2 คน เท่านั้น ที่ตอบรับการ์ดเชิญทานเลี้ยงของบิล เกตส์ และวอร์เรน บัฟเฟตต์ สองมหาเศรษฐีใจบุญชาวอเมริกัน ลือหวั่นถูกวัดใจใส่ซองบุญ
       
       บิล เกตส์ และวอร์เรน บัฟเฟตต์ สองมหาเศรษฐีใจบุญชาวอเมริกัน ได้ออกโรงเชิญชวนผู้มั่งมีให้ร่วมบริจาคทรัพย์สินอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่มี เพื่อการกุศล และมีแผนเดินทางมากรุงปักกิ่งในวันที่ 29 ก.ย.ที่จะถึงนี้
       
       สำนักข่าวซินหัวรายงานวันที่ 8 ก.ย.ว่า จีนมีจำนวนมหาเศรษฐีพันล้านมากเป็นอันดับสอง รองจากสหรัฐฯ แต่จนถึงตอนนี้ที่เหลือเวลาจัดงานไม่ถึงเดือน แต่มีผู้ใจบุญเพียง 2 คนเท่านั้นที่ยืนยันมาร่วมโต๊ะกับเกตส์และบัฟเฟตต์
       
       สื่อจีนยังได้อ้างคำกล่าวของ จาง จิ้ง โฆษกมูลนิธิบิลและเมลินดา เกตส์ ในจีน ว่าผู้รับเชิญทั้ง 50 คน ต่างยังไม่สะดวกในการยืนยันตอบรับเข้าร่วมงานตามคำเชิญนั้น ทางมูลนิธิฯ ได้ย้ำอีกครั้งว่า การเชื้อเชิญนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการชักจูงให้ใครร่วมบริจาคเงินแต่อย่างใดทั้งสิ้น และบรรยากาศการเข้าร่วมงานก็จะเป็นไปอย่างส่วนตัว
       
       เกตส์และบัฟเฟตต์ ได้ร่วมริเริ่มโครงการ "The Giving Pledge" ในเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา โดยมุ่งหวังเชิญชวนให้เศรษฐีพันล้านในสหรัฐฯ บริจาคทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตนเอง เพื่อใช้ในกิจการอันเป็นประโยชน์ต่อโลกและเพียง หกสัปดาห์เท่านั้น ก็มีเศรษฐีมั่งมีต่างเต็มใจสละสมบัติครึ่งหนึ่งเข้าร่วม อาทิ เจ้าพ่อสื่ออย่าง เท็ด เทอร์เนอร์ ผู้ก่อตั้งซีเอ็นเอ็น หรือผู้ว่าการ มหานครนิวยอร์ค ไมเคิล บลูกเบิร์ก
       
       เย่อ เล่ย ประธานมูลนิธิฯ กล่าวกับไชน่า เดลี่ ว่า การเข้าร่วมงานนี้ จะไม่มีความกดดันใดๆ ทั้งสิ้นต่อกรณีดังกล่าว และว่าทั้งสองคนเดินทางมา เพียงเพื่อพูดคุยและมองหาโอกาสบางอย่างที่จะสร้างความร่วมมือในการสาธารณะกุศล
       
       เดือนที่แล้ว บัฟเฟตต์ออกมากล่าวว่า เขาและเกตส์ ไปจีนเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แต่หากใครจะเห็นดีเห็นงามกับแนวความคิดของเรา ยินดีจะเข้าร่วม ก็เป็นเรื่องที่ยิ่งดี
       
       อย่างไรก็ตาม จนถึงเวลานี้ นายเฉิน กวงเปียว นับเป็นเศรษฐีจีนรายแรกที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยเขาได้เขียนจดหมายเปิดผนึกในเว็บไซต์ของบริษัท ถึงนายบิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ และ นายวอร์เรน บัพเฟตต์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (5 ก.ย.) เพื่อแสดงเจตจำนงว่าจะบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดมูลค่าประมาณ 50,000 ล้านหยวน แด่การกุศลหลังจากตนเองเสียชีวิต
       
       รายงานข่าวกล่าวว่า มหาเศรษฐีจีนที่ยังไม่ได้ตอบรับนั้น บ้างให้เหตุผลว่า ไม่สามารถจัดกำหนดการและเลี่ยงภารกิจนัดหมายที่กำหนดไว้ก่อนแล้วเพื่อมาร่วมงานได้
       
       จากข้อมูลของนิตยสารฟอร์บส ผลพวงแห่งความเติบโตอย่างมหัศจรรย์ทางเศรษฐกิจของจีนตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ได้สร้างเนื้อสร้างตัวคนจีนให้รวยเป็นมหาเศรษฐีพันล้านขึ้นมาแล้ว 64 ราย มีจำนวนรวมเป็นรองเพียงสหรัฐฯ ที่มี 403 ราย

เฉิน กวงเปียว มหาเศรษฐีใจบุญ กับปึกธนบัตร100 หยวน 330 ก้อน นับรวมจำนวนทั้งสิ้น เป็นเงิน 100,000 หยวน ที่เขาบริจาคในช่วงวันตรุษจีน เมื่อต้นปี 2553 ให้กับครอบครัวยากไร้ใน 5 มณฑล ได้แก่ กุ้ยโจว เสฉวน หยุนหนัน เขตปกครองตนเองทิเบต และซินเจียง (ภาพเอเยนซี)
       เอเยนซี-นายเฉิน กวงเปียว เจ้าของกิจการรีไซเคิลรายใหญ่ บริษัทเจียงซู หวงปู๋ รีนิวเอเบิล รีซอร์สเซส ยูทิไลเซชั่น (Jiangsu Huangpu Renewable Resources Utilization) นับเป็นเศรษฐีจีนรายแรกที่เข้าร่วม"โครงการ Giving Pledge" ที่บิล เกตส์เป็นผู้ริเริ่ม โดยแสดงเจตจำนงว่าจะบริจาคทรัพย์สินทั้งหมด ท่ามกลางกระแสบรรดาเศรษฐีจีนขอหลบหน้า
       
       นายเฉิน กวงเปียว นับเป็นเศรษฐีจีนรายแรกที่เข้าร่วมโครงการที่นายเกตส์เป็นผู้ริเริ่ม โดยเขาได้เขียนจดหมายเปิดผนึกในเว็บไซต์ของบริษัท ถึงนายบิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ และ นายวอร์เรน บัพเฟตต์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (5 ก.ย.) เพื่อแสดงเจตจำนงว่าจะบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดมูลค่าประมาณ 50,000 ล้านหยวน แด่การกุศลหลังจากตนเองเสียชีวิต
       
       บิล เกตส์ และวอร์เรน บัพเฟตต์ มีแผนเดินทางมายังจีนในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้ เพื่อเชิญชวนมหาเศรษฐีจีน 50 ราย รวมทั้งนายเฉินเข้าร่วมโครงการกุศลที่มีเศรษฐีอเมริกัน 40 คนแสดงเจตจำนงบริจาคเงินร่วม 125,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แล้ว
       
       ในจดหมายฉบับนี้นายเฉิน วัย 42 ปี ระบุว่าเป็นเจตจำนงของตนเอง เพื่อตอบสนองความมุ่งมั่นของบิลเกตส์ และว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะได้ตอบแทนสังคมด้วยการบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดที่ได้มาจากสังคมคืนให้กลับไป เฉินยังกล่าวว่า การเสียชีวิตแล้วยังห่วงทรัพย์สินเป็นเรื่องที่น่าอับอายอย่างยิ่ง
       
       ทั้งนี้ เฉินเป็นมหาเศรษฐีจีน รายแรก ที่ตอบรับร่วมโครงการฯ นี้ ท่ามกลางกระแสข่าวว่า บรรดามหาเศรษฐีจีนทั้ง 50 ราย ที่ได้รับเชิญคงหลบหน้าไม่กล้าวัดใจที่จะเข้าร่วมโครงการบริจาคเงินเพื่อการกุศลครั้งนี้
       
       รายงานข่าวระบุว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นายเฉินได้บริจาคเงินให้กับการกุศลมาแล้วประมาณ 1,340 ล้านหยวน เพื่อช่วยเหลือประชาชนกว่า 700,000 คน ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา สมาคมแรงงานสาธารณะแห่งประเทศจีน ยังได้จัดอันดับให้นายเฉิน เป็นเศรษฐีใจบุญอันดับหนึ่งของจีน พิจารณาจากการบริจาคเงินเข้าการกุศลของเขาอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ อีกทั้งมีความตั้งใจในการอุทิศจัดตั้งหน่วยกู้ภัยในเขตเวิ่นชวน มณฑลเสฉวน เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทันทีที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 8.0 ริกเตอร์ในปี 2551 ได้เพียง 2 ชั่วโมง รวมถึงจัดตั้งหน่วยกู้ภัยให้ความช่วยเหลือที่เมืองอวี้ซู่ เขตปกครองตนเองของชาวทิเบตในมณฑลชิงไห่ หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวในเดือนเมษายน
       
       นิตยสารหูรุ่น เดือนเมษายน ระบุว่า ปีหนึ่งๆ บรรดาเศรษฐี 100 อันดับแรกของประเทศจีน ต่างบริจาคเงินเพื่อการกุศลรวมเฉลี่ยแล้ว ปีละประมาณ 229 ล้านหยวน และเงินบริจาคก็มากขึ้นๆ ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

Wednesday, September 8, 2010

จริต ๖ ศาสตร์ในการอ่านใจคน

จริต ๖ ศาสตร์ในการอ่านใจคน
คำว่า "จริต" ในที่นี้หมายถึงสภาวะจิตของคนตามธรรมชาติจากการแบ่งจริตมนุษย์เป็น ๖ ประเภทใหญ่ๆ เรามาดูกันว่าคุณติดในจริตแบบไหนบ้างครับ

แนวคิดเกี่ยว กับประเภทของจริตมนุษย์ในหนังสือเล่มนี้มีรากฐานมาจากคัมภีร์วิสุทธิมรรค ซึ่งผู้ประพันธ์เชื่อกันว่าเป็นพระอรหันต์ชาวลังกา ในคัมภีร์ดังกล่าวได้อธิบายถึงสภาวะจิตหรือนิสัยมนุษย์ว่ามีอยู่ด้วยกัน ๖ ประเภท ได้แก่

1.ราคะจริต คือสภาวะจิตที่หลงติดในรูป รส กลิ่น เสียงและสัมผัสจนเป็นอารมณ์
2.โทสะจริต หรือสภาวะจิตที่โกรธง่าย ฉุนเฉียวง่าย เพียงพูดผิดสักคำ ได้เห็นดีกัน
3.โมหะจริต หรือจิตที่มักอยู่ในสภาพง่วงเหงาหาวนอนหรือซึมเศร้าเป็นอาจิณ
4.วิตกจริต หรือสภาวะจิตที่กังวล สับสนและวุ่นวายฟุ้งซ่านแทบทุกลมหายใจ
5.ศรัทธาจริต คือสภาวะจิตที่มีปรัชญาหรือหลักการของตัวเองและพยายามผลักดันให้ตัวเองและผู้อื่นบรรลุถึงจุดหมายนั้น
6. พุทธิจริต คือสภาวะจิตที่เน้นการใช้ปัญญาในการไตร่ตรอง คิดหาเหตุหาผลมาแก้ปัญหาต่างๆในชีวิต ทั้งชีวิตส่วนตัว ชีวิตการทำงาน รวมทั้ง มีความสนใจ เรื่องการยกระดับและพัฒนาจิตวิญญาณ

ราคะจริต
ลักษณะ บุคลิกดี มีมาด น้ำเสียงนุ่มนวลไพเราะ ติดในความสวย ความงาม ความหอมความไพเราะ ความอร่อย ไม่ชอบคิด แต่ช่างจินตนาการเพ้อฝัน
จุด แข็ง มีความประณีตอ่อนไหว และละเอียดอ่อน ช่างสังเกตุเก็บข้อมูลเก่ง มีบุคลิกหน้าตาเป็นที่ชอบและชื่นชมของทุกคนที่เห็น วาจาไพเราะ เข้าได้กับทุกคน เก่งในการประสานงาน การประชาสัมพันธ์และงานที่ต้องใช้บุคลิกภาพ
จุดอ่อน ไม่มีสมาธิ ทำงานใหญ่ได้ยาก ไม่มีเป้าหมายในชีวิต ไม่มีความเป็นผู้นำ ขี้เกรงใจคน ขาดหลักการ มุ่งแต่บำรุงบำเรอผัสสะทั้ง 5 ของตัวเอง คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ชอบพูดคำหวานแต่อาจไม่จริง อารมณ์รุนแรงช่างอิจฉา ริษยา ชอบปรุงแต่ง
วิธีแก้ไข้ พิจารณาโทษของจิตที่ขาดสมาธิ ฝึกพลังจิตให้มีสมาธิเข้มแข็ง หาเป้าหมายที่แน่ชัดในชีวิต พิจารณาสิ่งปฏิกูลต่างๆของร่างกายมนุษย์เพื่อลดการติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส

โทสะจริต
ลักษณะ จิตขุ่นเคือง โกรธง่าย คาดหวังว่าโลกต้องเป็นอย่างที่ตัวเองคิด พูดตรงไปตรงมา ชอบชี้ถูกชี้ผิด เจ้าระเบียบ เคร่งกฎเกณฑ์ แต่งตัวประณีต สะอาดสะอ้าน เดินเร็ว ตรงแน่ว
จุด แข็ง อุทิศตัวทุ่มเทให้กับการงาน มีระเบียบวินัยสูง ตรงเวลา วิเคราะห์เก่ง มองอะไรตรงไปตรงมา มีความจริงใจต่อผู้อื่นสามารถพึ่งพาได้ พูดคำไหนคำนั้น ไม่ค่อยโลภ
จุดอ่อน จิตขุ่นมัว ร้อนรุ่ม ไม่มีความเมตตา ไม่เป็นที่น่าคบค้าสมาคมของคนอื่น และไม่มีบารมี ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ สร้างวจีกรรมเป็นประจำ มีโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย
วิธีแก้ไข้ สังเกตดูอารมณ์ตัวเองเป็นประจำ เจริญเมตตาให้มากๆ คิดก่อนพูดนานๆ และพูดทีละคำ ฟังทีละเสียง อย่าไปจริงจังกับโลกมากนัก เปิดใจกว้างรับความคิดใหม่ๆ พิจารณาโทษของความโกรธต่อความเสื่อมโทรมของร่างกาย

โมหะจริต
ลักษณะ ง่วงๆ ซึมๆ เบื่อๆ เซ็งๆ ดวงตาดูเศร้าๆ ซึ้งๆ พูดจาเบาๆ นุ่มนวลอ่อนโยน ยิ้มง่าย อารมณ์ ไม่ค่อยเสีย ไม่ค่อยโกรธใคร ไม่ชอบเข้าสังคม ไม่ชอบทำตัวเป็นจุดเด่น เดินแบบขาดจุดมุ้งหมาย ไร้ความมั่นคง
จุดแข็ง ไม่ฟุ้งซ่าน เข้าใจอะไรได้ง่ายและชัดเจน มีความรู้สึก มักตัดสินใจอะไรได้ถูกต้อง ทำงานเก่ง โดยเฉพาะงานประจำ ไม่ค่อยทุกข์หรือเครียดมากนัก เป็นคนดี เป็นเพื่อนที่น่าคบ ไม่ทำร้ายใคร
จุด อ่อน ไม่มีความมั่นใจ มองตัวเองต่ำกว่าความเป็นจริงโทษตัวเองเสมอ หมกมุ่นแต่เรื่องตัวเองไม่สนใจคนอื่น ไม่จัดระบบความคิด ทำให้เสมือนไม่มีความรู้ ไม่มีความเป็นผู้นำ ไม่ชอบเป็นจุดเด่น สมาธิอ่อนและสั้นเบื่อง่าย อารมณ์อ่อนไหวง่ายใจน้อย
วิธีแก้ไข้ ตั้งเป้าหมายชีวิตให้ชัดเจน ฝึกสมาธิสร้างพลังจิตให้เข้มแข็ง ให้จิตออกจากอารมณ์ โดยจับการเคลื่อนไหวของร่างกาย หรือเล่นกีฬา แสวงหาความรู้ และต้องจัดระบบความรู้ความคิด สร้างความแปลกใหม่ให้กับชีวิต อย่าทำอะไรซ้ำซาก

วิตกจริต
ลักษณะ พูดเป็นน้ำไหลไฟดับ ความคิดพวยพุ่ง ฟุ้งซ่านอยู่ในโลกความคิด ไม่ใช่โลกความจริง มองโลกในแง่ร้ายว่าคนอื่นจะเอาเปรียบกลั่นแกล้งเรา หน้าจะบึ้ง ไม่ค่อยยิ้ม เจ้ากี้เจ้าการ อัตตาสูงคิดว่าตัวเองเก่ง อยากรู้อยากเห็นไปทุกเรื่อง ผัดวันประกันพรุ่ง
จุดแข็ง เป็นนักคิดระดับเยี่ยมยอด มองอะไรทะลุปรุโปร่งหลายชั้น เป็นนักพูดที่เก่ง จูงใจคน เป็นผู้นำหลายวงการ ละเอียดรอบคอบ เจาะลึกในรายละเอียด เห็นความผิดเล็กความผิดน้อยที่คนอื่นไม่เห็น
จุดอ่อน มองจุดเล็กลืมภาพใหญ่ เปลี่ยนแปลงความคิดตลอดเวลา จุดยืนกลับไปกลับมา ไม่รักษาสัญญา มีแต่ความคิด ไม่มีความรู้สึก ไม่มี วิจารณญาณ ลังแล มักตัดสินใจผิดพลาด มักทะเลาวิวาท ทำร้ายจิตใจ เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น มีความทุกข์ เพราะเห็นแต่ปัญหา แต่หาทางแก้ไม่ได้
วิธีแก้ไข้ เลือกความคิด อย่าให้ความคิดลากไป ฝึกสมาธิแบบอานาปานัสสติ เพื่อสงบสติ อารมณ์ เลิกอกุศลจิต คลายจากฟุ้งซ่าน สร้างวินัย ต้องสร้างกรอบเวลา ฝึกมองภาพรวม คิดให้ครบวงจร หัดมองโลกในแง่ดี พัฒนาสมองด้านขวา

ศรัทธาจริต
ลักษณะ ยึดมั่นอย่างแรงกล้าในบุคคล หลักการหรือความเชื่อถือและความศรัทธา คิดว่าตัวเองเป็นคนดี น่าศรัทธา ประเสริฐ กว่าคนอื่น เป็นคนจริงจัง พูดมีหลักการ
จุดแข็ง มีพลังจิตสูงและเข้มแข็งพร้อมที่จะเสียสละเพื่อผู้อื่น ต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองและสังคมไปสู่สภาพที่ดีกว่าเดิม มีพลังขับเคลื่อนมหาศาล มีลักษณะความเป็นผู้นำ
จุดอ่อน หู่เบา ความเชื่ออยู่เหนือเหตุผล ถูกหลอกได้ง่าย ยิ่งศรัทธามาก ปัญญายิ่งลดน้อยลง จิตใจคับแคบ ไม่ยอมรับความคิดที่แตกต่าง ไม่ประนีประนอม มองโลกเป็นขาวและดำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตนคิดว่าถูกต้อง สามารถทำได้ทุกอย่างแม้แต่ใช้ความรุ่นแรง
วิธีแก้ไข้ นึกถึงกาลามสูตร ใช้หลักเหตุผลพิจารณาเหนือความเชื่อ ใช้ปัญญานำทาง และใช้ศรัทธาขับเคลื่อน เปิดใจกว้างรับความคิดใหม่ๆ ลดความยึดมั่นในตัวบุคคลหรืออุดมการณ์ ลดความยึดมั่นในตัวกูของกู

พุทธิจริต
ลักษณะ คิดอะไรเป็นเหตุเป็นผล มองเรื่องต่างๆ ตามสภาพความเป็นจริงไม่ปรุงแต่ง พร้อมรับความคิดที่แตกต่างไปจากของตนเอง ใฝ่เรียนรู้ ช่างสังเกตุ มีความเมตตาไม่เอาเปรียบคน หน้าตาผ่องใส ตาเป็นประกาย ไม่ทุกข์
จุด แข็ง สามารถเห็นเหตุเห็นผลได้ชัดเจน และรู้วิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆได้อย่างถูกต้อง อัตตาต่ำ เปิดใจรับข้อเท็จจริง จิตอยู่ในปัจจุบัน ไม่จมปลักในอดีต และไม่กังวลในสิ่งที่จะเกิดในอนาคต พัฒนาปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ เป็นกัลยาณมิตร
จุดอ่อน มีความเฉื่อยไม่ต้องการพัฒนาจิตวิญญาณ ชีวิตราบรื่นมาตลอด หากต้องเผชิญพลังด้านลบ อาจเอาตัวไม่รอด ไม่มีความเป็นผู้นำ จิตไม่มีพลังพอที่จะดึงดูดคนให้คล้อยตาม
วิธีแก้ ไข้ ถามตัวเองว่าพอใจแล้วหรือกับสภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบัน เพิ่มพลังสติสมาธิ พัฒนาจิตใจให้มีพลังขับเคลื่อนที่แรงขึ้น เพิ่มความเมตา พยายามทำให้ประโยชน์ให้กับสังคมมากขึ้น

(อ่านแล้วชอบมากๆ ครับ เลยแบ่งปันเอามาให้อ่านกันครับ)

ภูเขาสามารถถล่มมาเป็นถนน แม่น้ำสามารถเปลี่ยนทางเดิน
แต่นิสัยใจคอคน ยากแท้ที่จะเปลี่ยน!

ที่มาจากหนังสือ.......จริต ๖ ศาสตร์ในการอ่านใจคน
โดย ดร. อนุสร จันทพันธ์
ดร. บุญชัย โกศลธนากุล

Tuesday, September 7, 2010

กุนซือโลกการเงิน ตอน เสือนอนกินในโลกการเงิน (๔) : โปรโมชั่น 'เราเข้าใจคุณ'

กุนซือโลกการเงิน ตอน เสือนอนกินในโลกการเงิน (๔) : โปรโมชั่น ‘เราเข้าใจคุณ’

    
          ผู้น้อย ‘มังกรในสระ’ มีความเห็นว่า ความสมดุลและความยั่งยืนในโลกการเงินจะเกิดมีขึ้นได้ต้องอาศัยความเอื้ออารีจาก ‘เสือนอนกิน’ เป็นสำคัญ กล่าวคือ ในเมื่อบรรดาบทบัญญัติแห่งกฎหมายทั้งหลายเอื้ออำนวยต่อการใช้เขี้ยวแลเล็บของเจ้าหนี้อย่างถึงขนาดแล้ว ก็ควรที่เสือนอนกินจะยอมลดความคมกล้าของเขี้ยวแลเล็บลงบ้างเพื่อให้มีผู้เลี้ยงดูอยู่สืบไป มิฉะนั้นผู้ให้อาหารก็จะพากันนอนพะงาบๆ กันหมด
          ตัวอย่างเช่น ในกรณีกู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อซื้อหรือปลูกสร้างที่อยู่อาศัย ธนาคารย่อมบังคับโดยปริยายให้ทำประกันชีวิตประหนึ่ง กล่าวคือ หากลูกหนี้เสียชีวิต ภาระการผ่อนชำระย่อมสิ้นสุดลง บริษัทประกันจะเป็นผู้ชำระหนี้ที่ค้างอยู่ให้กับธนาคารทั้งหมด และทำประกันอัคคีภัยอีกประการหนึ่ง กล่าวคือ หากหลักประกันหรือบ้านที่จำนองถูกเพลิงผลาญวอดวาย ลูกหนี้ย่อมหลุดพ้นจากหนี้ โดยบริษัทประกันจะทำหน้าที่ชำระค่าสินไหมทดแทนอันเท่ากับจำนวนหนี้ที่คงค้าง
          ก็ในเมื่อบริหารความเสี่ยงแทบจะทุกทางถึงเพียงนี้ ใยจะมีเหตุอันใดต้องหวาดหวั่นอีก ถึงได้กำหนดโทษสำหรับลูกหนี้ที่ผิดนัดชำระด้วยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี ตรงกันข้ามหากลูกหนี้ชำระหนี้อย่างคงเส้นคงวาไม่เคยผิดนัดเลย แม้จะเผชิญความยากลำบากเพียงใด กลับไม่มีของขวัญหรือรางวัลใดๆ ในทางจิตวิทยาเรียกกรณีเช่นนี้ว่า มีแต่การเสริมแรงเชิงลบ หรือ การลงโทษเมื่อมีพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนา แต่ทว่าไม่มีการเสริมแรงเชิงบวก หรือ การให้รางวัลเมื่อมีพฤติกรรมที่พึงปรารถนา มีเพียงคำปลอบใจจากเจ้าหน้าที่สินเชื่อของธนาคารที่มักจะกล่าวว่า ‘หากพี่ไม่ผิดนัด ข้อมูลเครดิตของพี่ก็จะดี ขอกู้ทำอะไรก็ผ่านหมด’ แล้วสำหรับผู้ที่ไม่ต้องเป็นหนี้อีกเล่า จะมีรางวัลใดๆ ตอบแทนหรือไม่

          ในตอนนี้ ผู้น้อยขออุปโลกน์ตนเองเป็นกุนซือการตลาดภาคธนาคารเพื่อจะเสนอมาตรการส่งเสริมการขาย หรือ โปรโมชั่นพิเศษให้บรรดาเสือนอนกินในโลกการเงินทั้งหลายได้พิจารณา
          เริ่มจากโปรโมชั่นที่ ๑ ได้แก่ สินเชื่อที่อยู่อาศัย ‘เราเข้าใจคุณ’ ฟังเพราะดีไหมขอรับ โปรโมชั่นนี้มีสาระสำคัญอยู่ตรงที่การกำหนดอัตราการผ่อนชำระรายเดือนตามความสะดวกของลูกค้า อีกทั้งยินยอมให้ปรับเปลี่ยนอัตราดังกล่าวได้ในยามขับคัน โดยไม่มีการคิดค่าธรรมเนียม และไม่ต้องรอให้ลูกค้าผิดนัดหรือประสบปัญหาทางการเงินเสียก่อนแล้วค่อยขอความเมตตาจากเรา สมมุติว่าในทำสัญญากู้ยืมเงินครั้งแรก กำหนดว่า จะต้องผ่อนชำระขั้นต่ำ ๑๐,๐๐๐ บาทต่อเดือน โดยพิจารณาจากรายได้ต่อเดือนของลูกค้า ซึ่งอาจอยู่ที่ ๒๕,๐๐๐ บาท ต่อมาลูกค้าจำต้องเปลี่ยนงานเพราะถูกเลิกจ้างหรือเพราะต้องการไปทำงานรับใช้ชาติโดยเป็นข้าราชการ ซึ่งมีอัตราเงินเดือนต่ำ เช่นได้รับเงินเดือนใหม่เพียง ๑๕,๐๐๐ บาท ดังนี้ ลูกค้าสามารถขอลดอัตราการผ่อนชำระรายเดือนได้ โดยนำหลักฐานสลิปเงินเดือนใหม่ที่ลดลงมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่สินเชื่อ พร้อมระบุอัตราการผ่อนชำระที่สะดวกที่สุด และระบุงวดที่ให้มีผล เช่นงวดถัดไปเป็นต้น จากนั้น อัตราการผ่อนชำระก็จะลดลงตามที่ลูกค้าปรารถนา

          โปรโมชั่นเราเข้าใจคุณนี้มาจากประสบการณ์พื้นฐานของปุถุชนในโลกการเงินส่วนใหญ่ ซึ่งย่อมเผชิญสัจธรรมที่ว่า ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน เดือนนี้รับเงินเดือนเท่านี้ หากเศรษฐกิจตกต่ำลงเมื่อไร เดือนหน้าอาจได้เงินเดือนไม่เท่าเก่า พนักงานธนาคารเองก็ย่อมทราบดี เพราะในยามเกิดวิกฤตการเงินในบ้านเมืองไทย ปัญหาเช่นนี้ย่อมเกิดขึ้นกับบุคลากรในภาคการเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือ แม้แต่ผู้ก่อตั้ง หรือ ผู้ถือหุ้นใหญ่ในธนาคารเองย่อมเคยประสบสถานการณ์เช่นนี้ ในอัตชีวประวัติก็มักจะเล่าถึงความลำบากของตนที่ต้องเผชิญในยามเศรษฐกิจฝืดเคือง หรือ ในยามที่เผชิญความเปลี่ยนแปลงอย่างคาดไม่ถึง จึงย่อมเข้าใจหัวอกคนเป็นหนี้ดี หากกำหนดอัตราการผ่อนชำระตายตัวโดยไม่คำนึงถึงความไม่แน่นอนใดๆเลย ดังนี้ ย่อมเป็นการฝืนธรรมเกินไป และเท่ากับเป็น ‘ข้ามคนล้ม’ ธรรมดาโบราณว่าไว้ ‘ไม้ล้มข้ามได้ คนล้มอย่าข้าม’ หากฝืนข้ามคนล้ม ไปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ย่อมจะตามมาเป็นทบทวี หากเรียกเก็บหนี้ประเภทนี้ไม่ได้ สุดท้ายก็จะเหลือแต่สินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPA ขายได้แต่ต้องยอมขาดทุน อย่างนี้จักเป็นการดีหรือไม่ประการ ก็พึงพิจารณา
          โปรโมชั่นเราเข้าใจคุณนี้ ผู้น้อยได้พิสูจน์แล้วว่าได้ผลประเสริฐแท้ ทว่าขณะนี้ปรากฏแต่ในระดับบุคคลเท่านั้น เพราะยังไม่มีสถาบันการเงินใดใช้โปรโมชั่นนี้สักราย แต่ผลในระดับบุคคลนั้นย่อมอุปมาณไปถึงผลสำเร็จที่จะเกิดขึ้นในระดับภาคการเงิน หรือ โลกการเงินได้

          ตัวอย่างความสำเร็จของโปรโมชั่นนี้มาจากญาติผู้ใหญ่ของผู้น้อยเอง ท่านผู้นี้เป็นคนใจดี จึงมักมีผู้มาขอความช่วยเหลือทางการเงินเสมอ นโยบายในการปล่อยสินเชื่อของท่านคือ ให้อิสระแก่ลูกหนี้อย่างเต็มที่ จะจ่ายก็ได้ ไม่จ่ายก็ได้ จะให้ดอกเบี้ยหรือไม่ก็ไม่ว่าอะไร เคราะห์ดีที่ลูกหนี้ของท่านเป็นคนมีสัจจะไม่บิดพริ้ว ยามมีมากก็ใช้มาก มีน้อยก็ใช้น้อย เพราะท่านไม่กำหนดอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ เพลาใดลูกหนี้เดือดร้อน หรือ ประสบเคราะห์หามยามร้าย เช่น เปลี่ยนงาน ถูกเลิกจ้าง ค้าขายขาดทุน ถูกโกง เป็นต้น ท่านก็พักชำระหนี้ให้โดยไม่ต้องร้องขอ มีเมื่อไรค่อยมาชำระ
          นโยบายเหล่านี้ช่วยให้ลูกหนี้ของท่านฟื้นฟูสถานะการเงินได้อย่างรวดเร็ว และสามารถชำระหนี้ได้ครบถ้วน พร้อมดอกเบี้ยที่น่าพอใจ โดยมากดอกเบี้ยมิได้เป็นเงิน แต่เป็นสิ่งของมีค่า หรือ โอกาสอันงามที่หยิบยื่นให้เจ้าหนี้ผู้ใจดี โอกาสงามอันหนึ่งที่เจ้าหนี้ผู้ประเสริฐผู้นี้ได้รับคือ สิทธิในการซื้อที่ดินแปลงสวยที่อำเภอหัวหินในราคาที่ไม่ทำให้ต้องตัดสินใจนาน ซึ่งลูกหนี้ได้เสนอต่อท่านเป็นกรณีพิเศษ

          ญาติผู้ใหญ่ท่านนี้สอนผู้น้อยว่า การอยู่ร่วมกันต้องพิจารณาถึงความสัมพันธ์ในระยะยาว วันนี้เราดี แต่เขาแย่ เราช่วยเขา วันหนึ่งเราแย่ แต่เขาดี เขาอาจช่วยเรา ฟังดังนั้นแล้ว ผู้น้อยจึงเปรียบเทียบกับความสัมพันธ์ระหว่างมหาชนในโลกการเงินกับสถาบันเสือนอนกินทั้งหลาย พลันเล็งเห็นถึงความวิปลาสคลาดเคลื่อนอยู่พอสมควร ทว่าความวิปลาสนั้นได้กลายเป็นปกติวิสัยไปแล้ว

Saturday, September 4, 2010

Upsetting the Natural Order': Managing Employees Old Enough to Be Your Parents

'Upsetting the Natural Order': Managing Employees Old Enough to Be Your Parents

Published: September 01, 2010 in Knowledge@Wharton
Article Image

If one looks at the research on older workers -- those who are at or close to retirement age -- one finds what Peter Cappelli, director of Wharton's Center for Human Resources, calls "an incredible amount of discrimination, bigger even than discrimination against race or gender." Older people, he says, often find it difficult to get a job, partly because relatively young supervisors are reluctant to hire and then manage employees who are decades older, even though these employees are the type of worker many employers say they want.

In a new book titled, Managing the Older Worker: How to Prepare for the New Organizational Order, Cappelli and Bill Novelli, former CEO of AARP, analyze this phenomenon from the employer's perspective. The authors lay out the business case for keeping and hiring older employees, offering suggestions as to how a multigenerational workforce can be managed in ways that benefit all three constituents -- the companies, the older employees and their younger supervisors. As Cappelli notes: "The goal of our book is to point out the opportunities that hiring older workers provide, and to examine why these opportunities are not being taken up."

In an interview with Knowledge@Wharton, Cappelli talks about the benefits of a rapidly expanding older workforce, the strategies some companies use to get value out of older workers and the reasons he and Novelli decided to write this book, among other topics. In the accompanying video, he describes in more detail how younger managers can work more effectively with older employees, and offers examples of companies that have managed the process well and those that haven't.

Knowledge@Wharton: Peter, in your book, you note that one of the biggest management challenges employers face these days is how to manage older workers. To begin with, can you define "older worker" and "younger supervisor"?

Peter Cappelli: The term "older worker" is obviously a relative one, but if you look at it from a legal perspective, the law says that if you are over 45 years old, you are protected against age discrimination. In the context of our book, the big challenge we talk about is the supervision problem with regards to people who are at the traditional retirement age -- people we would have expected even a couple of decades ago to leave the workforce around 65.    

Knowledge@Wharton: I thought most people retired at age 65.

Cappelli: More workers retire at ages 62 and 68 than at 65. Working until 65 was never the model until the government instituted Social Security and the corporate world set up company-driven pension programs structured around a retirement age of 65. Before that, however, employees tended to slowly taper off in retirement, with no focus on a specific age.

The term "younger supervisor" is again a relative one, but where we see problems is with people under 40 who may not have a lot of experience under their belts. With flatter hierarchies and especially with start-up firms, it's possible for people who are quite young to have some serious responsibility. As start-ups get a little bigger, for example, they have to reach out for talent -- such as marketing experts and chief operating officers -- who will help them reach the next level of growth. The founders don't want to hire a kid; they want to look for somebody who has done this before, such as an executive looking for a second career. You see that quite often.

But that's when the problems start, and the biggest one is discrimination, which manifests itself mainly in hiring. If you look at the research on older workers, you see an incredible amount of discrimination against them, bigger than race, bigger than gender. Older workers struggle to get hired. And yet these are individuals who are perfectly suited to what employers say they want -- somebody who can hit the ground running, who knows how to handle work-based problems, who is not interested in a long-term commitment from the company, and who is self-motivated and self-managing. All this exactly defines older workers. They are ideally suited for many of these jobs, and yet when push comes to shove, younger supervisors won't hire them.

The reason they won't hire them is the second problem, which is how to manage the older worker if you are a younger supervisor. The issue is that this seems to invert the natural order. How can I give orders to somebody who is older and more experienced than I am? In some cultures, such as China and Japan, there is deference given to age. You don't see that in the U.S., but you do see deference given to experience. So somebody with less experience managing someone with more experience seems to upset the natural order.

Knowledge@Wharton: Are we talking mainly about white-collar workers here, or can this apply to blue-collar workers as well?

Cappelli: I think it applies to any job where experience really matters -- craft work, knowledge work, all kinds.

Knowledge@Wharton: What other advantages, in addition to the ones you mentioned above, do older workers bring to the workplace?

Cappelli: They can serve as mentors to younger employees. If older workers stay with the same company, they carry on the culture. They have tacit knowledge that you can't find in a book. And surprisingly, if you look at job performance data related to age, it turns out that older workers perform better on every dimension of job performance. They turn over less, are absent less, their performance appraisals are better and, contrary to prevailing assumptions, they don't cost employers more than younger workers. Wages are higher for experience, not seniority, and higher wages for experience reflects productivity advantages.

On the health care side, the assumption is that older people are sick a lot and will use the health care system more. That's true. But they don't have dependents. In most companies, the actual costs for employers are highly associated with an employee's dependents, not with the employee. So older workers may not even cost more for health care. 

Knowledge@Wharton: Do you have an example of a company that is hiring older workers wisely?

Cappelli: CVS is one. It discovered, not surprisingly, that in winter its business goes up. The company also knows that a lot of seniors choose to spend their winters in Florida because of the warm weather. So CVS now has a policy under which retirees can work for them during the winter season. It's a way for the company to staff up during the busier months, and for seniors to make some extra money to help pay for their Florida trip.  

Companies that are older-worker friendly are those that think about the particular needs of older workers, such as the need for flexible schedules to engage other interests associated with moving into retirement, such as families and hobbies. Flex time is not a hugely difficult need to accommodate. In addition, smart companies know that older workers are less motivated by money, and more interested in meaningful work, social contacts, etc. So when you go down this list, the interesting thing is that older workers sound like younger workers -- those who say they don't want to make long-term commitments to an organization, who say they are motivated by the mission of the company and are looking for work-life balance, time to pursue interests outside of work, and so forth.... In some ways, the quirky part of this is that people in the middle of their careers are the unusual ones. They are stuck because they need money for mortgages, their kids' education and other commitments. They are the ones who can't move and can't be as flexible.

Knowledge@Wharton: As we all know, the financial crisis has meant that older workers are holding on to their jobs longer; their 401(k)s have taken a hit and in addition, they are looking at longer life expectancies than at any time in history. But by choosing not to retire, or by trying to get back into the workforce once they do retire, are they taking up jobs that in better times would have gone to younger workers, thereby denying the younger generation the "job space" they need to begin and advance their own careers? Does this, in fact, skew the way the labor market is supposed to work?

Cappelli: It's hard to get our hands around how economies actually work. The view you just presented suggests that there is a fixed number of jobs in society and it's all about carving them up. You see that with arguments about immigration -- that immigrants who are willing to work longer for lower pay are taking jobs away from Americans. And there is some truth to that.

But it's not zero sum. If you add more workers to the economy, they create demand. As the economy grows, people spend money and thus create other sorts of jobs. At the same time, it is not completely elastic in the sense that adding more workers does make it tougher for people who are looking for work.

In response to your question -- does this skew, or subvert, the way the labor market works -- you assume that we are talking about a corporate career, where people predictably retire and move on. For the most part, that hasn't been true for a long time, as I noted before. The idea that people stay in corporate jobs until 65 and then retire seems to almost never happen. In corporations now, you never see people retire at 65. They are pushed out, or leave, earlier on. What we see with older workers is that many of them are not hanging on to their current jobs; instead, they want to come back into the labor force and do something different. To the extent they keep working in their company, it's as a consultant or as a part-time employee. That's the typical model.

So we are talking mainly about people who had a job in one area and want to shift and work someplace else. They want to work part-time; they are not talking about staying in a 9 to 5 career for another 20 years. They are talking about leaving Pepsico and working in a school, for example, or moving to a resort town and getting a service job.  In that sense, they are probably more in competition with younger people in their 20s than they are with middle-aged workers.

Knowledge@Wharton: Whom did you interview for this book?

Cappelli: We interviewed employers. And in fact this book is written mainly from an employer's perspective. The goal is to point out the opportunities that hiring older workers provide, and to examine why these opportunities are not being taken up. We are suggesting ways that employers can take advantage of this opportunity. There are many surveys about what older workers want, but not about employers. So the bigger puzzle was on the employers' side.

Knowledge@Wharton: What is the most important piece of advice your book offers to readers?

Cappelli: The part of this book that is unique is that it calls attention to the whole issue of younger supervisors managing older workers. Awareness of the issue is a big point. We also go into ways to address this issue, which revolve around changing the ways that younger supervisors manage. For example, they can't boss older employees around based on their formal authority and expertise, because older workers will have more expertise than the supervisors. And you can't threaten or bribe them. The usual model is to say, "You have to do this or we will fire you." Older workers obviously don't want to be fired, but it is not as big a deal as it is for workers who are 40. Supervisors have to manage in a way that is more empowering. They have to say, "Here is a project; we want your ideas on how to get it done."

Another issue is that younger supervisors sometimes undermanage older workers because they are afraid of them. So they just don't deal with them, don't talk to them. That's a problem as well. We discuss these issues and how to solve them. 

Knowledge@Wharton: Are some industries more hospitable to older workers than others?

Cappelli: Places where there are labor shortages, like health care, pay attention to this. In health care, a lot of employers are trying to keep older nurses and technicians around because they are in short supply. In more creative fields, there are increased efforts to retain research scientists -- in the pharmaceutical industry, for example. These are places where there are individual contributors who work independently. Some efforts are underway in some corporations to bring back expertise for consulting arrangements. Big companies realize they have gotten bad at managing knowledge. An example is a company that suddenly discovers nobody in its ranks has met any of the partners in its Japanese subsidiary because the only people who knew them have just retired. Or consider the power company that discovered there were only a few people who knew where all the underground lines were and they had just retired as well. They were brought back in as consultants. There are a lot of places out there that aren't thinking about these issues ahead of time.

Knowledge@Wharton: What else is unique about this book?

Cappelli: Many books talk about the public policy issues related to older workers. People need to work longer; this is changing society; Social Security is being affected, and so forth. But that is all at a macro level. And then there are books written for individual employees that say, here is how you need to go about finding a job, or here is how to think about what you want to do, here is how to plan your life, write a resume, etc. But there aren't really any business books on this. This is a business book.

Wednesday, September 1, 2010

ความไม่มีหนี้เป็นสุขในโลก

ความไม่มีหนี้เป็นสุขในโลก

สมหวัง  วิทยาปัญญานนท์

16  สิงหาคม 2546
Font : CordiaUPC

สรุปการระดมสมอง หลักสูตร "ความไม่มีหนี้เป็นสุขในโลก"
วันอังคารที่ 29 กรกฏาคม 2546
ณ ห้อง VIP ศูนย์พัฒนา ฯ ท่าหลวง

สาเหตุของการเป็นหนี้
1. หนี้จำเป็น เกิดจากสาเหตุดังนี้
1.1 การดำเนินชีวิต
- บ้านอยู่อาศัย
- ยานพาหนะ
- ค่าเล่าเรียนบุตรหลาน
- ค่าอุปโภคบริโภค
2. หนี้ฟุ่มเฟือย
2.1 ความอยาก อยากมีทีวี ตู้เย็น เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ
2.2 ความทะเยอทะยาน
- อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น
- อยากมีหน้ามีตาในสังคม
2.3 อบายมุข
3. รายได้น้อยกว่ารายจ่าย
4. ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
5. รู้ไม่เท่าทัน หรือ รู้เท่าไม่ถึงการณ์
6. ค้ำประกันเงินกู้แก่ผู้อื่น
7. มรดกหนี้ของพ่อแม่ / ปู่ย่า
8. ไม่มีเงินออมไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
9. ต้องการทำธุรกิจแต่มีเงินทุนไม่เพียงพอ

วิธีการขจัดหนี้สินที่มีอยู่
1. ควบคุมรายรับ - จ่ายให้สมดุลกัน
2. ไม่สร้างหนี้เพิ่ม
3. ชำระหนี้ตรงตามกำหนดและตรงตามเงื่อนไข
4. รู้จักเปลี่ยนสภาพหนี้สูงเป็นสภาพหนี้ต่ำ
5. หารายได้พิเศษเพิ่มเติม
6.ใช้จ่ายประหยัดโดยจำแนกตามความจำเป็นก่อนหลังโดยยึดหลักสถานะทางการเงินของตัวเองเป็นหลัก
7. อย่าสร้างหนี้เพิ่ม เพื่อลดความอยากได้
8. อย่าเปรียบเทียบกับคนอื่นที่มีฐานนะดีกว่า และรู้จักปล่อยวาง
9. สร้างวินัยของการประหยัด
10. จัดสรรการใช้เงิน และรู้ทิศทางกระแสเศรษฐกิจ

พ่อบอกว่า.......ลูกเอ่ย เจ้าควร....

พ่อบอกว่า.......ลูกเอ่ย เจ้าควร....

1.เฝ้าดูดวงอาทิตย์ตกอย่างจริงจัง อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

2.อย่าดูถูกผู้อื่น

3.พูดคำว่า ขอบคุณ ให้มากๆ

4.มีชีวิตอยู่ภายใต้จุดมุ่งหมายของเจ้าเอง

5.ปฎิบัติกับคนอื่นเช่นเดียวกับที่เจ้าอยากให้คนอื่นปฎิบัติกับเจ้า

6.บริจาคเลือดทุกปี

7.คบหาเพื่อนใหม่ และรำลึกถึงเพื่อนเก่าเสมอ

8.รักษาความลับเป็น

9.ยอมรับความผิดพลาดของตนเอง

10.จงแสดงความกล้าหาญ ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่คนกล้าก็ตาม

11.ใช้บัตรเครดิตเพื่อความสะดวก มิใช่เพื่อการเป็นหนี้สิน

12.อย่าขี้โกง

13.อ่านหนังสือธรรมะอย่างจริงจัง ปีละ 1 ครั้ง

14.เรียนรู้ที่จะฟัง

15.อย่าสิ้นหวัง

16.อย่าสวดมนต์เพื่อขอสิ่งใดๆ นอกจากปัญญาและความกล้าหาญ

17.อย่าแสดงอะไรออกมาเมื่อมีอารมณ์โกรธ

18.มีบุคลิกที่ดี เดินเข้าไปในห้องทำงานอย่างมั่นใจ

19.อย่าถกเถียงธุรกิจภายในลิฟท์

20.จงตั้งใจแพ้ศึกเล็กๆ เพื่อจะเอาชนะศึกใหญ่ๆ

21.อย่าคบกับบุคคลที่ไม่เคยสูญเสียสิ่งใดๆ เลย

22.อย่านินทาลับหลัง

23.เมื่อเผชิญหน้ากับงานหนักจงปฎิบัติกับมันราวกับว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะล้มเหลว

24.อย่าคิดว่าชีวิตจะยุติธรรมเสมอไป

25.อย่าประเมินอำนาจของการให้อภัยต่ำเกินไป

26.อย่าผัดวันประกันพรุ่ง

27.อย่ากลัวที่จะกล่าวคำว่า “ผมเสียใจ”

28.อย่ากลัวที่จะกล่าวคำว่า “ผมไม่รู้”

29.จงเขียนเรื่องราว 25 ประการที่อยากรู้ก่อนตายไว้ในกระเป๋าและนำมันติดตัวไปด้วยเสมอ

30.โทรศัพท์ถึงแม่บ้าง

ทันสมัยแต่ไม่พัฒนา : Modernlization without Development

ทันสมัยแต่ไม่พัฒนา

Modernlization without Development

สมหวัง  วิทยาปัญญานนท์

10  กรกฎาคม  2548
Font : CordiaUPC  
  

 

            ทันสมัยแต่ไม่พัฒนา ถือว่าเป็นคำคมหนึ่งที่สะกิดใจนักพัฒนาทั้งหลาย ตลอดจนนักบริโภคที่      หลงทาง หลงเชื่อไปตามกระแสโลกาภิวัฒน์

            ทันสมัย หมายถึง ตามสมัยที่นิยมกัน เป็นคำนิยมของสังคม หรือกลุ่มชนในแต่ละยุคแต่ละสมัย ในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย การใช้สอย การกิน และการปฏิบัติตน คนที่ทำตามก็เรียกว่า คนทันสมัย คนที่ไม่ตามก็ถือว่า คนเชย ๆ คนคร่ำครึก หรือคนล้าสมัย สิ่งของที่ตกยุคก็เรียกว่าของล้าสมัย คำ ๆ นี้จึงทำให้คนที่ด้อยโอกาสกว่าทั้งจากด้านอารยธรรม หรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็จะพยายามเลียนแบบกลุ่มชนอื่น ๆ ที่คิดว่าน่าจะเป็นสิ่งทันสมัย โดยลืมพื้นเพของตนเอง ว่ายังไม่เหมาะสม หรือยังยากจนอยู่ก็มีการตามแบบอย่างจนดูเป็นการใช้อย่างฟุ่มเฟือย เพื่อจะได้ถูกเรียกว่า ทันสมัย

            พัฒนา หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงจากสภาพหนึ่งไปยังอีกสภาพหนึ่งในทางดีขึ้น หากเปลี่ยนแปลงไปสู่ทางเสื่อมกว้างหรือต่ำต้อยเกินไป เราเรียกว่า หายนะ หรือ การเสื่อมถอย

            คนที่พัฒนา หมายถึง คนที่มีพฤติกรรมที่กระทำอย่างสม่ำเสมอ ในทางเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ขยันอย่างชาญฉลาด ประหยัดอย่างมีเหตุผล มีความเชื่อมั่นในการพึ่งพาตนเอง เกรงกลัวความชั่วทุกรูปแบบ เคารพระเบียบวินัยและกฎหมายของบ้านเมือง

            การพัฒนาทั้ง 3 ด้าน มีดังนี้

1.      การพัฒนาทางวัตถุ  ได้แก่ ถนนหนทาง อาคารสถานที่ คอมพิวเตอร์ รถยนต์ โทรศัพท์ เสื้อผ้า

2.      การพัฒนาทางจิตใจ  เน้นการพัฒนาคน เพื่อให้สังคมมีจิตใจดีงาม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มีเมตตา ขยัน

ทำงานเป็นทีม รักชาติ ชอบพึ่งพาตนเอง

            3.  การพัฒนาทางปัญญา  เน้นการพัฒนาตา เพื่อให้เห็นสิ่งให้ถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว มีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาเองได้ ตลอดจนเห็นเท่าทันการยั่วยุทางด้านวัตถุที่ชวนเชื่อทุกวี่วัน

            การเสื่อมถอยหรือหายนะ ทั้ง 3 ด้านดังนี้

1.      การเสื่อมถอยทางวัตถุ มีการสร้างอาวุธร้ายแรงไปก่อสงคราม สร้างบ่อนกาสิโน การทำซีดีลามก

2.   การเสื่อมถอยทางจิตใจ มีนิสัยขี้เกียจ พฤติกรรมเป็นคุณหนู นิสัยฟุ่มเฟือย เลี้ยงไม่รู้จักโตพึ่งพาตนเองไม่ได้และที่ชอบมากที่สุด คือชอบขอ ไม่เคารพวินัย ชอบทิ้งของบนพื้น

3.  การเสื่อมถอยทางปัญญา  มีเชื่อโฆษณา ซื้อของที่ไร้ค่าในราคาแพง ไม่รู้คุณค่าสิ่งของว่าอยู่ที่ไหน ซื้อตามแฟชั่น

 

การตามความทันสมัยวิ่งตามแฟชั่น มีข้อน่าคิด 4 แบบ ดังนี้

1.      ทำตามแต่เปลือก ไม่ได้เอาแก่นมาด้วย

(ทำตามโดยไม่รู้ที่มาและความเหมาะสม เพราะไม่ได้พิจารณาอย่างถ่องแท้มาก่อน)

2.      ทำตามเขา แต่ล้ำหน้าเขาไปหน่อย

(ทำตาม แล้วต่อยอดให้ล้ำหน้าไป)

3.      ทำตามเขา แต่ตามไม่ครบถ้วนกระบวนความ

(ทำตาม แต่ลอกมาไม่หมด จึงเป็นแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ)

4.      ทำตามเขาที่เขาทำผิด ก็เลยผิดไปกับเขาด้วย

(เป็นการทำตามอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ เหมือนพระแก่ลุกขึ้น แล้วเอามือซ้ายเท้าพื้นยันขึ้น พระหนุ่มก็เลยทำตาม)

การครอบงำของกระแสโลกาภิวัฒน์ จากชาติตะวันตกเป็นสังคมอุตสาหกรรม จึงทำให้เกิดวัฒนธรรมเพื่อความสำเร็จ (Success Culture)  ส่งผลให้เกิดวัฒนธรรมการแข่งขันเชิงธุรกิจ (Competition Culture) ซึงจะใช้กลยุทธการตลาดกระตุ้นให้ผู้ซื้อสินค้า/บริการมาก ๆ จนเกิดวัฒนธรรมบริโภคนิยม (Consumer Culture) ที่มุ่งเน้นความทันสมัย ความสะดวกสบาย ความร่ำรวย ความหรูหรา เป็นตัวล่อให้เกิดความต้องการบริโภคสินค้า/บริการ ซึ่งสิ่งที่บริโภคนั้น แม้ว่าจะมีประโยชน์ก็จริงอยู่ เช่น โทรศัพท์มือถือ แต่เกิดการใช้เกินความจำเป็น โทรคุยนานโดยไม่จำเป็น เสียเงินโดยใช่เหตุ

ตัวอย่างความทันสมัยแต่ไม่พัฒนาดังนี้

1.      เลียนแบบวัฒนธรรมชาวตะวันตก เช่น วันวาเลนไทน์ แล้วนำมาตีความใช้แบบผิด ๆ

2.      สร้างเครื่องดนตรีสากล แต่ไม่ได้พัฒนาอย่างมีเอกลักษณ์

3.      การร้องเรียนผ่าน Web แต่เป็นการแกล้งกัน ใส่ร้ายกัน บางทีก็เอา Web Broad หรือ E-mail มาใช้เป็นเครื่องมือด่าทอกัน

4.   เมื่อการแพทย์กลายเป็นธุรกิจ ผลงานวิจัยจึงลำเอียงให้ข้อมูลด้านเดียว เพื่อจะขายยาใหม่ให้ออกตลาดเร็ว ๆ จะได้กำไรมาก ๆ โดยไม่คำนึงถึงผลข้างเคียงยา

5.      การโฆษณาชวนเชื่อให้ใช้ยาแพง ๆ หรือ ไวตามิน หรือยาโดป ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องกิน

6.      การครอบงำความคิดของประชาชน โดยนักธุรกิจ โดยการโฆษณาอย่างเมามัน หรือ ทำให้ตีความที่คลุมเครือหลงผิด

7.      มีเครื่องมือเตือนภัยมากมาย แต่ใช้งานไม่เป็น

8.      ข้อมูลมีมากมายอยู่ในคอมพิวเตอร์ แต่ไม่ได้แปลค่าออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์

9.      ปลูกบ้านสวยงามหรือถนนหลวงไปขวางทางนั้น ๆ จนเป็นเหตุให้เกิดน้ำท่วมใหม่

10.  ลอกเลียนมาแบบทั้งคุ้น แล้วอธิบายไม่ได้

11.  ใช้วีดีทัศน์ราคาแพง ๆ แต่ผลิตนักศึกษาที่ใช้ไม่ได้ในสังคม

12.  ถูกเทคโนโลยีหลอกเอา ติดกับดักเทคโนโลยี

13.  ใช้เครื่องจักรอุปกรณ์ทันสมัย แต่ผลิตสินค้าตกมาตรฐาน

14.  ห้างสรรพสินค้าใหญ่โต แต่สินค้าถูกปนเปื้อนจากยาฆ่าแมลง ที่ขายปนกับอาหาร

15.  ใส่เสื้อสูท แต่จิตใจเหี้ยมโหด

16.  ขณะที่วิทยาศาสตร์นำหน้าในสังคม แต่คนจบปริญญาเอกยังบูชาพระราหู

 

โดยสรุปแล้วทันสมัยแต่ไม่พัฒนา เป็นคำเตือนสติที่ให้พิจารณาไตร่ตรอง จากกระแสบริโภคนิยมตามกระแสโลกาภิวัฒน์ โดยใช้ปัญญาพิจารณา จงพัฒนาอย่างชาญฉลาดและอย่าเป็นเหยื่อจากแฟชั่น

ทำอย่างไรให้อารมณ์ดีตลอดในที่ทำงาน

ทำอย่างไรให้อารมณ์ดีตลอดในที่ทำงาน

-  นายอารมณ์ดี  ลูกน้องก็อารมณ์ดี

-  โมโหหิว  อารมณ์ไม่ดี

-  ลูกน้องพูดกวน

-  บรรยากาศที่ทำงานดี

-  เครื่องจักรดี

-  ได้รับคำชม

-  ใจพอเพียง

-  รู้โลกแต่ไม่แบกโลก

-  แบ่งงานกันทำ

- ไหว้พระก่อนทำงาน

-  สร้างสำเร็จงานยิ้ม

ความสุข ๕ ชั้น Happiness 5 Levels

ความสุข ๕ ชั้น

Happiness  5 Levels

                                                                        พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตฺโต)

23  กรกฎาคม  2549
Font : CordiaUPC  
  

ฝึกตนยิ่งขึ้นไป ดำเนินชีวิตให้ถูก ความสุขยิ่งเพิ่มพูน

              เมื่อทำตัวเป็นพระพรหมได้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้วก็มาทำชีวิตให้เข้าถึงความสุข ในทีนี้ขอพูดคร่าว ๆ ถึงความสุข ๕ ชั้นขอพูดอย่างย่อ ในเวลาที่เหลืออันจำกัดดังนี้

ขั้นที่ ๑ คือ ความสุขจากการเสพวัตถุ หรือสิ่งบำรุงบำเรอภายนอกที่นำมาปรนเปรอ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเรา ข้อนี้เป็นความสุขสามัญที่ทุกคนในโลกปรารถนากันมาก
              ความสุขประเภทนี้ขึ้นต่อสิ่งภายนอก เพราะว่าเป็นวัตถุ หรืออามิสภายนอก เมื่อเป็นสิ่งภายนอก อยู่นอกตัว ก็ต้องหา ต้องเอา เพราะฉะนั้นสภาพจิตของคนที่หาความสุขประเภทนี้จึงเต็มไปด้วยความคิดที่จะได้จะเอา แล้วก็ต้องหา และดิ้นรนทะยานไป เมื่อได้มาก ก็มีความสุขมาก แล้วก็เพลิดเพลินไปกับความสุขเหล่านั้น พอได้มาก ๆ เข้า ต่อมาก็นึกว่าตัวเองเก่งมาก ๆ ไป ๆ มา ๆ โดยไม่รู้ตัวก็มีภาวะอย่างหนึ่งเกิดขึ้น คือ ชีวิตและความสุขของตัวเองต้องไปขึ้นกับวัตถุเหล่านั้น อยู่ลำพังง่าย ๆ อย่างเก่า ไม่สุขเสียแล้ว ตอนที่เกิดมาใหม่ ๆ นี้ ไม่ต้องมีอะไรมากก็พอจะมีความสุขได้ ต่อมามีวัตถุมาก เสพมาก ทีนี้ขาดวัตถุเหล่านั้นไม่ได้เสียแล้ว กลายเป็นว่าสูญเสียอิสรภาพ ชีวิตและความสุขต้องไปขึ้นกับวัตถุภายนอก แต่เข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเก่ง อันนี้เป็นข้อสำคัญที่คนเราหลงลืมไป ทางธรรมจึงเตือนไว้เสมอว่าเรา อย่าสูญเสียอิสรภาพนี้ไป พร้อมทั้งอย่าสูญเสียความสามารถที่จะเป็นสุข
              สิ่งที่คนเราจะพัฒนากันมากก็คือ การพัฒนาความสามารถที่จะหาสิ่งเสพมาบำเรอความสุข แม้แต่การศึกษา ทำไปทำมาก็ไม่รู้ตัวว่ากลายเป็นการพัฒนาความสามารถที่จะหาสิ่งเสพบำเรอความสุข แต่อีกด้านหนึ่งของชีวิตที่ลืมไปคือการพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุข ถ้าเราไม่พัฒนาความสามารถที่จะมีความสุข หรือแม้แต่ไม่รักษามันไว้เราก็สูญเสียความสามารถที่จะมีความสุข
              อาการของคนที่สูญเสียความสามารถที่จะมีความสุข ก็คือยิ่งอยู่ในโลกนานไปก็ยิ่งกลายเป็นคนที่สุขยากขึ้น คนจำนวนมากสมัยนี้มีลักษณะอย่างนี้ คืออยู่ในโลกนานไป เติบโตขึ้น กลายเป็นคนที่สุขได้ยากขึ้น ต่างจากคนที่รักษาดุลยภาพของชีวิตไว้ได้ โดยพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุขควบคู่ไปด้วย จะเป็นคนที่มีมีลักษณะตรงข้าม คือยิ่งอยู่ในโลกนานไป ก็ยิ่งเป็นคนที่สุขได้ง่ายขึ้น
              ถ้าเป็นคนที่สุขได้ง่ายขึ้น ก็ดี ๒ ชั้น คือ เราพัฒนาสองด้านไปพร้อมกัน ทั้งพัฒนาความสามารถที่จะหาสิ่งเสพบำเรอความสุขด้วย และพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุขด้วย ผลก็คือ เราหาสิ่งมาบำเรอความสุขได้เก่ง ได้มากด้วย และพร้อมกันนั้นเราก็เป็นคนทีสุขได้ง่ายด้วย เราก็เลยสุขซ้อนทวีคูณ
              ส่วนคนที่สูญเสียความสามารถที่จะมีความสุข แม้จะหาสิ่งเสพบำเรอความสุขได้มาก แต่ความสุขก็ที่เดิมเรื่อยไป เพราะข้างนอกได้มา ๑ แต่ข้างในก็ลดลงไป ๑ เลยเหลือ 0 ที่เดิม กระบวนการวิ่งหาความสุขจึงดำเนินไปไม่รู้จักจบสิ้น เพราะความสุขวิ่งหนีเราไปเรื่อย ๆ
              เพราะฉะนั้น จะต้องพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุขไว้ด้วยคู่กัน เป็นคนที่สุขได้ง่ายก็เป็นอันว่าสบาย อย่างน้อยก็ฝึกตัวเองไว้ อย่าให้ความสุขต้องขึ้นกับวัตถุมากเกินไป
              ศีล ๕ เป็นตัวอย่างของวิธีฝึกไม่ให้เราสูญเสียอิสรภาพ โดยไม่เอาความสุขไปขึ้นต่อวัตถุมากเกินไป แปดวันก็รักษาศีล ๘ ครั้งหนึ่ง ลองหัดดูซิว่าให้ความสุขของเราไม่ต้องขึ้นกับการบำรุงบำเรอทางกายด้วยวัตถุ เริ่มด้วยข้อวิกาลโภชนาฯ ไม่ต้องบำเรอลิ้นด้วยอาหารอร่อยอยู่เรื่อย ไม่คอยตามใจลิ้น กินแค่เที่ยง เพียงที่ที่ร่างกายต้องการเพื่อให้มีสุขภาพดี แข็งแรง ตลอดจนข้อ อุจจาสยนะฯ ไม่บำเรอตัวด้วยการนอน ไม่ต้องนอนบนฟูก ลองนอนง่าย ๆ บนพื้น บนเสื่อธรรมดา ลองไม่ดูการบันเทิงซิ ทุก ๘ วัน เอาครั้งเดียว จะเป็นการรักษาอิสรภาพของชีวิตไว้ และฝึกให้เรามีชีวิตอยู่ดีได้โดยไม่ต้องขึ้นกับวัตถุมากเกินไป
              พอฝึกได้แล้วต่อมาเราจะพูดถึงวัตถุหรือสิ่งบำรุงความสุขเหล่านั้นว่า "มีก็ดี ไม่มีก็ได้" ต่างจากคนที่ไม่พัฒนาความสามารถที่จะมีความสุข ซึ่งจะเอาความสุขไปขึ้นต่อวัตถุ ถ้าไม่มีวัตถุเหล่านั้นเสพแล้วอยู่ไม่ได้ รุรนทุราย ต้องพูดถึงวัตถุหรือสิ่งเสพเหล่านั้นว่า "ต้องมีจึงจะอยู่ได้ ไม่มีอยู่ไม่ได้" คนที่เป็นอย่างนี้จะแย่ ชีวิตนี้สูญเสียอิสรภาพ คนยิ่งอายุมากขึ้นสถานการณ์ก็ไม่แน่นอน ถึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ร่างกายเสพความสุขจากสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ เช่น ลิ้นไม่รับรู้รส กินอาหารก็ไม่อร่อย ถ้าไม่ฝึกไว้ ความสุขของตัว ไปอยู่ที่วัตถุเหล่านั้นเสียหมดแล้ว และตัวก็เสพมันไม่ได้ จิตใจก็ไม่มีความสามารถที่จะมีความสุขด้วยตนเอง ก็จะลำบากมาก ทุกข์มาก เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้ฝึกไว้ รักษาศีล ๘ นี้แปดวันครั้งหนึ่ง จะได้ไม่สูญเสียอิสรภาพนี้ไป
              เพราะฉะนั้นเอาคำว่า "มีก็ดี ไม่มีก็ได้" นี้ไว้ ถามตัวเอง เป็นการตรวจสอบอยู่เสมอว่า เราถึงขั้นนี้หรือยัง หรือต้องมีจึงจะอยู่ได้ ถ้ายังพูดได้ว่า มีก็ดีไม่มีก็ได้ ก็เบาใจได้ว่า เรายังมีอิสรภาพอยู่ ต่อไปถ้าเราฝึกเก่งขึ้นไปอีก อาจจะมาถึงขั้นที่พูดได้ในบางเรื่องว่า "มีก็ได้ ไม่มีก็ดี" ถ้าได้อย่างนี้ก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก
              คนที่พูดได้อย่างนี้ จะมีความรู้สึกว่าของพวกนี้เกะกะ เราอยู่ของเราง่าย ๆ ดีแล้ว มีก็ได้ไม่มีก็ดี ไม่มีเราก็สบาย ชีวิตเป็นอิสระโปร่งเบาความสุขเริ่มไม่ขึ้นต่อวัตถุอามิสสิ่งเสพภายนอก ความสุขเริ่มไม่ต้องหา
              -ความสุขที่ต้องหา แสดงว่าเราขาด คือยังไม่มีความสุขนั้นเราหาได้ที เสพทีก็มีสุขที แต่ระหว่างนั้นต้องอยู่ด้วยการอ อยู่ด้วยความหวัง บางทีก็ถึงกับทุรนทุราย กระวนกระวาย เพราะฉะนั้น จะต้องทำตัวให้มีความสุขด้วยตนเองสำรองไว้ให้ได้ ด้วยวิธีฝึกรักษาอิสรภาพของชีวิต และรักษาความสามารถที่จะมีความสุขไว้

ขั้นที่ ๒ พอเจริญคุณธรรม เช่น มีเมตตากรุณา มีศรัทธา เราก็มีความสุขเพิ่มขึ้นอีกประเภทหนึ่ง แต่ก่อนนี้ชีวิตเคยต้องได้วัตถุมาเสพต้องได้ ต้องเอา เมื่อได้จึงจะมีความสุข ถ้าคือเสียก็ไม่มีความสุข แต่คราวนี้ คุณธรรมทำให้ใจเราเปลี่ยนไป เหมือนพ่อแม่ที่มีความสุขเมื่อให้แก่ลูก เพราะรักลูก ความรักคือเมตตา ทำให้อยากให้ลูกมีความสุขพอให้แก่ลูกแล้วเห็นลูกมีความสุข ตัวเองก็มีความสุข เมื่อพัฒนาเมตตากรุณาขยายออกไปถึงใคร ให้แก่คนนั้น ก็ทำให้ตัวเองมีความสุขศรัทธาในพระศาสนาในการทำความดี และในการบำเพ็ญประโยชน์เป็นต้น ก็เช่นเดียวกัน เมื่อให้ด้วยศรัทธา ก็มีความสุขจากการให้นั้น ดังนั้นคุณธรรมที่พัฒนาขึ้นมาในใจ เช่น เมตตากรุณา ศรัทธา จึงทำให้เรามีความสุขจากการให้ การให้กลายเป็นความสุข

ขั้นที่ ๓ ความสุขเกิดจากการดำเนินชีวิตถูกต้องสอดคล้องกับความเป็นจริงของธรรมชาติ ไม่หลงอยู่ในโลกของสมมติ ที่ผ่านมานั้นเราอยู่ในโลกของสมมติมาก และบางทีเราก็หลงไปกับความสุขในโลกของสมมตินั้น แล้วก็ถูกสมมติ ล่อหลอกเอา อยู่ด้วยความหวังสุขจากสมมติที่ไม่จริงจังยั่งยืน และพาให้ตัวแปลกแยกจากความจริงของธรรมชาติ และขาดความสุขที่พึงได้จากความเป็นจริงในธรรมชาติเหมือนคนทำสวนที่มีวหวังความสุขจากเงินเดือน เลยมองข้ามผลที่แท้จริงตามธรรมชาติจากการทำงานของตัว คือความเจริญงอกงามของต้นไม้ ทำให้ทำงานด้วยความฝืนใจเป็นทุกข์ ความสุขอยู่ที่การได้เงินเดือนอย่างเดียว ได้แต่รอความสุขที่อยู่ข้างหน้า แต่พอใจมาอยู่กับความเป็นจริงของธรรมชาติ อยากเห็นผลที่แท้จริงตามธรรมชาติของการทำงาน ของตน คือ อยากเห็นต้นไม้เจริญงอกงาม หายหลงสมมติ ก็มีความสุขในทำสวน และได้ความสุข จากการชื่นชมความเจริญงอกงามของต้นไม้อยู่ตลอดเวลา ดังนั้น คนที่ปรับชีวิตได้ เข้าถึงความจริงของธรรมชาติ จึงสามารถหาความสุขจากการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามความเป็นจริงของธรรมชาติ ได้เสมอ พอปัญญามาบรรจบให้วางใจถูก ชีวิตและความสุขก็ถึงความสมบูรณ์

ขั้นที่ ๔ ความสุขจากความสามารถปรุงแต่ง คนเรานี้มีความสามารถในการปรุงแต่ง ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของมนุษย์ ปรุงแต่งทุกข์ก็ได้ ปรุงแต่งสุขก็ได้ โดยเฉพาะที่เห็นเด่นชัดก็คือปรุงแต่งความคิดมาสร้างสิ่งประดิษฐ์ จนมีเทคโนโลยีต่าง ๆ มากมาย
              ที่สำคัญก็คือในใจของเราเอง เรามักจะใช้ความสามารถในทางที่เป็นผลร้ายแก่ตนเอง แทนที่จะปรุงแต่งความสุข เรามักจะปรุงแต่งทุกข์ คือเก็บเอาอารมณ์ที่ไม่ดี ที่ขัดใจ ขัดหู ขัดตา เอามาครุ่นคิดให้ไม่สบายใจ ขุ่นมัว เศร้าหมอง โดยเฉพาะคนที่สูงอายุนี่ ต้องระวังมาก ใจคอยจะเก็บอารมณ์ที่กระทบกระเทือน ไม่สบาย แล้วก็มาปรุงแต่ง ให้เกิดความกลุ้มใจ ว้าเหว่ เหงา เรียกใช้ความสามารถไม่เป็น
              พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เรารู้จักใช้ความสามารถในการปรุงแต่งแทนที่จะปรุงทุกข์ ก็ปรุงสุข เก็บเอาแต่อารมณ์ที่ดีมาปรุงแต่งใจให้สบาย แม้แต่หายใจ ที่ยังให้ปรุงแต่งความสุขไปด้วย ลองฝึกดูก็ได้เวลาหายใจเข้า ก็ทำใจให้เบิกบาน เวลาหายใจออก ก็ทำใจให้โปร่งเบาทานสอนไว้ว่าสภาพจิต 5 อย่างอย่างนี้ ควรปรุงแต่งให้มีในใจอยู่เสมอ คือ

๑. ปราโมทย์ ความร่าเริงเบิกปานใจ
๒. ปีติ ความอิ่มใจ
๓. ปัสสัทธิ ความสงบเย็น ผ่อนคลายกายใจ ไม่เครียด
๔. ความสุข ความโปร่งโล่งใจ คล่องใจ สะดวกใจ ไม่มีอะไรมาบีบคั้น หรือติดขัดคับข้อง และ
๕. สมาธิ ภาวะที่จิตอยู่กับสิ่งที่ต้องการ ได้ตามาต้องการ ไม่มีอะไรมารล[กวน จิตอยู่ตัวของมัน


              ขอย้ำว่า ๕ ตัวนี่สร้างไว้ประจำใจให้ได้ เป็นสภาพจิตที่ดีมาก ผู้เจริญในธรรมจะมีคุณสมบัติของจิตใจ ๕ ประการนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า

ตโต ปาโมชฺชพหุโล ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสติ

แปลว่า ภิกษุปฏิบัติถูกต้องแล้ว มากด้วยปราโมทย์ มีจิตใจร่าเริงเบิกบานอยู่เสมอ จักทำทุกข์ให้หมดสิ้นไป ท่านพูดไว้ถึงอย่างนี้


              ฉะนั้น ท่านผู้เกษียณอายุนั้น ถึงเวลาแล้ว ควรจะใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ถือเป็นโอกาสดี มาปรุงแต่งใจ แต่ก่อนนี้ปรุงแต่งแต่ทุกข์ทำให้ใจเครียด ขุ่นมัว เศร้าหมอง ตอนนี้ปรุงแต่งใจให้มีธรรม 5 อย่างนี้ คือ ปราโมทย์ มีความร่าเริงเบิกบานใจ ปีติ ความอิ่มใจ ปัสสัทธิ ความผ่อนคลาย สงบเย็นกายใจ สุข โล่งโปร่งใจ สมาธิ สงบใจตั้งมั่น ไม่มีอะไรมารบกวน อยู่ตัว สบายเลย ทำใจให้ได้อย่างนี้อยู่เสมอ ท่องไว้เลย 5 ตัวนี้ คือ ปราโมทย์ ปีติ ปัสสัทธิ สุข สมาธิ พระพุทธเจ้าประทานไว้แล้ว ทำไมเราไม่เอามาใช้ นี่แหละความสามารถในการปรุงแต่งจิต เอามาใช้ สบายแน่ และก็เจริญงอกงามในธรรมด้วย
              โดยเฉพาะ ที่นผู้สูงอายุนั้นก็เป็นธรรมดาว่าจะต้องมีเวลาพักและเวลาว่างที่ว่างจากกิจกรรม มากกว่าคนหนุ่มสาวและคนวัยทำงานที่เขายังมีกำลังร่างกายแข็งแรงดี ว่างจากงานเขาก็ไปเล่นไปทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้มาก แต่ท่านที่สูงอายุ นอกจากออกกำลังบริหารร่างกายบ้างแล้ว ก็ต้องการเวลาพักผ่อนมากหน่อย จึงมีเวลาว่าง ซึ่งไม่ควรปล่อยให้กายว่างแต่ใจวุ่น
              เพราะฉะนั้น ในเวลาที่ว่าง ไม่มีอะไรทำ และก็ยังไม่พักผ่อนนอนหลับ หรือนอนแล้วก่อนจะหลับ ก็พักผ่อนจิตใจให้สบาย ขอเสนอวิธีปฏิบัติง่าย ๆ ไว้อย่างหนึ่งว่า ในเวลาที่ว่างอย่างนั้น ให้สูดลมหายใจเข้าและหายใจออกอย่างสบาย ๆ สม่ำเสมอ ให้ใจอยู่กับลมหายใจที่เข้าและออกนั้น พร้อมกันนั้นก็พูดในใจไปด้วย ตามจังหวะลมหายใจเข้าและออกว่า

จิตใจเบิกบานหายใจเข้า
จิตใจโล่งเบาหายใจออก


              ในเวลาที่พูดในใจอย่างไร ก็ทำใจให้เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ด้วย หรืออาจจะเปลี่ยนเป็นสำนวนใหม่ก็ได้ว่า

หายใจเข้า สูดเอาความสดชื่น
หายใจออก ฟอกใจให้สดใส


              ถูกกับตัวแบบไหน ก็เลือกเอาแบบนั้น หายใจพร้อมกับทำใจไปด้วยอย่างนี้ตามแต่จะมีเวลาหรือพอใจ ก็จะได้การพักผ่อนที่เสริมพลังทั้งร่างกายและจิตใจ ชีวิตจะมีความหมาย มีคุณค่า และมีความสุขอยู่เรื่อยไป

ขั้นที่ ๕ สุดท้าย ความสุขเหนือการปรุงแต่ง คราวนี้ไม่ต้องปรุงแต่ง คืออยู่ด้วยปัญญา ที่รู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิต การเข้าถึงความจริงด้วยปัญญาเห็นแจ้ง ทำให้วางจิตวางใจลงตัวสนิทสบาย กับทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่อย่างผู้เจนจบชีวิต
              สภาพจิตนี้จะเปรียบเทียบได้เหมือนสารถีที่เจนจบการขับรถสารถีผู้ชำนาญในการขับรถนั้น จะขับม้าให้นำรถเข้าถนน และวิ่งด้วยความเร็วพอดี ตอนแรกต้องใช้ความพยายาม ใช้แซ่ ดึงบังเหียนอยู่พักหนึ่ง แต่พอรถม้านั้นวิ่งเข้าที่เข้าทางดี ความเร็วพอดี อยู่ตัวแล้ว สารถีผู้เจนจบ ผู้ชำนาญแล้วนั้น จะนั่งสงบสบายเลย แต่ตลอดเวลานั้นเขามีตลอดเวลานั้นเขาไม่มีความประหวั่น ไม่มีความหวาด จิตเรียบสนิท ไม่เหมือนคนที่ยังไม่ชำนาญ จะขับรถนี่ ใจคอไม่ดี หวาดหวั่น ใจคอยกังวลโน่นนี่ ไม่ลงตัว แต่พอรู้เข้าใจความจริงเจนจบดี ด้วยความรู้นี่แหละ จะปรับความรู้สึกให้ลงตัว เป็นสภาพจิตที่เรียบสงบสบายที่สุด
              คนที่อยู่ในโลกด้วยความรู้เข้าใจโลกและชีวิตตามเป็นจริง จิตเจนจบกับโลกและชีวิต วางจิตลงตัวพอดี ทุกอย่างเข้าที่อยู่ตัวสนิทอย่างนี้ ท่านเรียกว่าเป็นจิตอุเบกขา เป็นจิตที่สบาย ไม่มีอะไรกวนเลยเรียบสนิท เป็นตัวของตัวเอง ลงตัว เมื่อทุกสิ่งเข้าที่ของมันแล้ว คนที่จิตลงตัวเช่นนี้ จะมีความสุขอยู่ประจำตัวอยู่ตลอดเวลา เป็นสุขเต็มอิ่มอยู่ข้างใน ไม่ต้องหาจากข้างนอก และเป็นผู้มีชีวิตที่พร้อมที่จะทำเพื่อผู้อื่นได้เต็มที่ เพราะไม่ต้องห่วงกังวลถึงความสุขของตนและไม่มีอะไรที่จะต้องทำเพื่อตัวเองอีกต่อไป จะมองโลกด้วยปัญญาที่รู้ความจริง และด้วยใจที่กว้างขวางและรู้สึกเกื้อกูล
              คนที่พัฒนาความสุขมาถึงขึ้นสุดท้ายแล้วนี้ เป็นผู้พร้อมที่จะเสวยความสุขทุกอย่างใน ๔ ข้อแรก ไม่เหมือนคนที่ไม่พัฒนา ได้แต่หาความสุขประเภทแรกอย่างเดียว เมื่อหาไม่ได้ก็มีแต่ความทุกข์เต็มที่และในเวลาที่เสพความสุขนั้น จิตใจก็ไม่โปร่งไม่โล่ง มีความหวั่นใจหวาดระแวงขุ่นมัว มีอะไรรบกวนอยู่ในใจ สุขไม่เต็มที่ แต่พอพัฒนาความสุขขึ้นมา ยิ่งพัฒนาถึงขั้นสูงขึ้น ก็มีโอกาสได้รับความสุขเพิ่มขึ้นหลายทาง กลายเป็นว่า ความสุขมีให้เลือกได้มากมาย และจิตใจที่พัฒนาดีแล้ว ช่วยให้เสวยความสุขทุกอย่างได้เต็มที่ โดยที่ในขณะนั้น ๆ ไม่มีอะไรรบกวนให้ขุ่นข้องหมองมัว
              เป็นอันว่าธรรมะ ช่วยให้เรารู้จักความสุขในการดำเนินชีวิตมากยิ่ง ๆขึ้นไป สู่ความเป็นผู้เต็มเปี่ยมสมบูรณ์ จนกระทั่งความสุขเป็นคุณสมบัติของชีวิตอยู่ภายในตัวเองตลอดทุกเวลา ไม่ต้องหาไม่ต้องรออีกต่อไป ความสุข ๕ ขั้นนี้ ความจริงแต่ละข้อต้องอธิบายกันมาก แต่วันนี้พูดไว้พอให้ได้หัวข้อก่อน คิดว่าคงจะเป็นประโยชน์พอสมควร
              ขออนุโมทนา ท่านผู้เข้าร่วมประชุมทุกท่าน ขอตั้งจิตส่งเสริมกำลังใจ ขอให้ทุกคนประสบจตุรพิธพรชัย มีปีติอิ่มใจอย่างน้อยว่า ชีวิตส่วนที่ผ่านมาได้ทำประโยชน์ ได้ทำสิ่งที่มีค่าไปแล้ว ถือว่าได้บรรลุจุดหมายของชีวิตไปแล้วส่วนหนึ่ง
              เพราะฉะนั้นจึงควรตั้งใจว่า เราจะเดินหน้าต่อไปอีกสู่จุดหมายชีวิตที่ควรจะได้ต่อไป เพราะยังมีสิ่งที่จะทำชีวิตให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปอีกไม่ใช่แค่นี้ ชีวิตนั้นยังเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เป็นประโยชน์ ที่จะทำให้เต็มเปี่ยมได้ยิ่งกว่านี้ จึงขอให้ทุกท่านเข้าถึงความสมบูรณ์ของชีวิตนั้นสืบต่อไปและขอให้ทุกที่นมี ความร่มเย็นเป็นสุขในพระธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยทั่วกันตลอดกาล ทุกเมื่อ.

/
คู่มือชีวิต/พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต)