Pineapple TH-PH

Done

Tuesday, March 29, 2011

นิ่งเสียตำลึงทอง ?, อังคาร กัลยาณพงศ์ ผู้แปลความหมายจักรวาล

  • นิ่งเสียตำลึงทอง ?

    จุดมุ่งหมายของนิ่งเสียตำลึงทอง คือเขาให้มัธยัสถ์คำพูด  แต่ต้องพูดด้วย ถ้าเรามีความคิด แต่ถ้าเรามีความคิดแล้วไม่พูดเลย มันอาจจะดูว่าเราไม่มีความคิดก็ได้ แต่ถ้าเรามีความคิดดีๆ แล้วเราพูดออกไปมีค่าเท่าตำลึงทอง ก็พูดได้  เราต้องแก้สุภาษิตให้ตก 

    เขาห้ามตรงนี้ เพราะคำพูดของมนุษย์ พอพูดไปแล้ว มันจะเป็นเจ้าเป็นนายของผู้พูด ผู้พูดก็จะได้รับผลอันนั้น ถ้าเราพูดออกไปเป็นอาวุธ มันก็จะกลับมาบาดเรา ถ้าเราพูดไปแล้วบาดหู มันก็บาดหูเรา ถ้าพูดไปแล้ว แสลงใจคน เสียดแทงใจ มันก็จะกลับมาเสียดแทงหัวใจเรา อย่างที่เขาบอกว่า ปากเป็นเอก เพราะพูดแล้วสามารถโน้มน้าวหัวใจคนได้ ถ้าหากปากเราพูดแล้ว มันเกิดแรงผลักแรงดูดเอาอาวุธเข้ามาหา เราอย่าพูดเสียดีกว่า
    อังคาร กัลยาณพงศ์ ผู้แปลความหมายจักรวาล

    โดย : มโนมัย มโนภาพ

    อังคาร กัลยาณพงศ์ (ภาพ : นัทพล ทิพย์วาทีอมร)
    ในวาระครบรอบวัน เกิดปีที่ 85 ลูกศิษย์ได้ร่วมกันจัดงานแสดงมุทิตาจิตแด่ อังคาร กัลยาณพงศ์ กวี จิตรกร และศิลปินแห่งชาติ ขึ้น ณ ห้องประชุมจิระ บุญมาก สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
       
    ภายในงานมีการแสดงภาพ เขียน อ่านบทกวี และการแสดงดนตรี เพื่อให้คนหลากรุ่นหลายวัยได้มีโอกาสเรียนรู้ถึงคุณูปการที่ชายคนนี้มีต่อวง การศิลปะและวรรณคดีไทย

    "ตามสบายนะ ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจ เหมือนคุณคุยกับต้นไม้... "

    ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ ศิลปิน แห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ กล่าวต้อนรับอาคันตุกะด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลไพเราะ แม้อยู่ในวัยที่เจ้าตัวบอกว่าเป็น "คนแก่ ไม้ใกล้ฝั่ง อยู่ในหลักเกิด แก่ เจ็บ ตาย" แต่สมองและความคิดยังแจ่มใส เปี่ยมด้วยพลัง

    ในยุคสมัยที่ผู้คนในสังคมไทยห่างไกลจากบทกวี และไม่เคยใกล้ชิดกับความงดงามของกวีนิพนธ์ อย่างน้อยที่สุด อังคาร กัลยาณพงศ์ เป็นคนหนึ่งที่ประกาศอหังการของความเป็นกวีอย่างซื่อตรง ในมุมมองที่มีต่อการทำงานของเขานั้น ทุกอย่างคลี่คลายไปตามวิถี ดำรงอยู่ด้วยลมหายใจแบบกวี ไม่จำเป็นต้องมีใครมาสนับสนุน หากเมื่อคุณเลือกเส้นทางชีวิตเป็นกวี ต้องยืนหยัดและอยู่ด้วยเกียรติยศศักดิ์ศรีแห่งความเป็นกวี

    นอกจากผลงานล้ำค่าที่ฝากไว้เป็นบรรณาการแก่สังคมไทย อังคาร กัลยาณพงศ์ ยังเป็นครูและเป็นบุคคลตัวอย่างในอุดมคติสำหรับผู้ที่ปรารถนาจะจาริกไปบนเส้นทางนี้ เส้นทางที่เชื่อมไปหารหัสนัยของจักรวาล

    • อาจารย์เพิ่งผ่านวาระครบรอบวันเกิด 85 ปี และมีการแสดงมุทิตาจิต ?
    จริงๆ ผมไม่ค่อยคิดถึงวันเกิดนะ แต่ถ้าคิดถึงวันเกิด คนโบราณท่านให้คิดถึงแม่ เพราะว่าแม่คลอดลูกออกมา เสี่ยงชีวิตเหมือนกันนะ บางคนออกมาในท่าที่ไม่ปรารถนา ต้องผ่าท้อง ที่เขาเรียก "ซีซาร์" คือมาจากในสมัยซีซาร์ มีกฎหมายบทหนึ่งระบุว่า หากจะช่วยลูกในท้อง ก็อนุญาตให้ผ่าท้องแม่ได้
    • ธรรมเนียมวันเกิดของคนไทยปัจจุบัน เปลี่ยนแปลงไปมาก ?
    คือพี่ไทยมักจะไปยึดของคนอื่น เช่น วันวาเลนไทน์ ก็ไปยึดของยุโรป วันวาเลนไทน์เขานิยมให้ดอกกุหลาบสีแดง แต่โดยหลักแล้ว ไทยโบราณเรานิยมให้ดอกจำปา เพราะเขาถือเอาจากเรื่องของแม่ศรีสุดาจันทร์ กับพันบุตรศรีเทพ ที่ให้สาวใช้นำดอกจำปาไปถวาย ที่นายนรินทร์เขียนว่า

    จำปาจำเปรียบเนื้อ.....นางสวรรค์ กูเอย
    ศรีสุมาลัยพรรณ..............พิศแพ้
    ช้องนางคลี่ระส่ายสรร.......สลายเซ่น
    คือนุชสนานกายแก้..........เกศแก้วกันไร

    ผมคิดว่ามีนักปราชญ์หลายคนที่ถือว่าดอกจำปาแทนความรัก แทนกุหลาบสีแดง และถ้าเราเอาดอกจำปาแทนจริงๆ จะมีเปรียบมาก เพราะดอกกุหลาบไม่ค่อยหอม แต่ดอกจำปาจะได้ทางกลิ่นหอมด้วย แล้วความรักนั้น ถ้ามันสวยเฉยๆ ก็ไม่ดี ความรักจะต้องหอมด้วย ยิ่งเป็นดอกจันทร์กระพ้อ ก็จะยิ่งหอมหวลลึกซึ้งไป ตามมิติของความรัก เพราะความรักจริงๆ มันไม่สวยเฉยๆ มันต้องหอมด้วย

    • ด้วยวัยขนาดนี้ของอาจารย์ รู้สึกอย่างไรเมื่อพูดถึงเรื่องความรัก
    วัยของผมจริงๆ  มันคือวัยพ่อ พูดกันตรงๆ ผู้ชายที่ยังโสดอยู่มัน มีเรื่องของราคะจริต คือเป็นเพศสัตว์ตัวผู้ พอมาพบคู่แล้วแต่งงาน ก็กลายเป็นพ่อแม่ ซึ่งในที่นี้ก็เหมือนต้นโพธิ์ที่ให้ร่มเงา

    ทีนี้ความรักที่เราเคยมีแบบโรแมนติค มันขยายขึ้นคือความเมตตา คือมารักลูก ทีแรกก็รักแบบลูกผู้ชาย แบบโบราณที่เขาว่าลูกผู้ชายสืบสกุล แต่มานึกดูอีกที ลูกผู้หญิงก็สืบสกุลได้เหมือนกัน ที่จริงโบราณเขายกย่องผู้หญิงนะ ที่เรามาพูดเถียงกันในเรื่องสิทธิผู้หญิง ผมว่าไม่จริงหรอก คนดีจริงๆ เขายกย่องผู้หญิง เพราะว่าผู้หญิงเราเป็นเพศมารดา พระพุทธเจ้ายังมีแม่เป็นผู้หญิงเลย

    • ความรักของผู้ชายที่มีราคะจริต ถือเป็นเรื่องธรรมชาติ ?
    อันนี้ ถือเป็นสัตว์ตัวผู้ เป็นเจตนาของโลกมนุษย์ทีเดียวว่ามนุษย์เรา เวลาเราอยู่ใต้เจตนาของสิ่งที่ใหญ่กว่า เรามองไม่เห็น แต่ถ้าเราอาศัยผู้รู้ เช่นเขาบอกว่า ถึงฤดูผสมพันธุ์ของตั๊กแตนตำข้าว ตัวเมียจะหันมากัดคอตัวผู้ขาดเลย แล้วตัวผู้มีแรงราคะจริตเท่าไหร่ เทไปให้หมดเลย หมายความว่าให้ตั๊กแตนตัวเมียตั้งไข่ เพื่อสืบพันธุ์ นี่คือเจตนาของโลกมนุษย์

    ในเจตนาของโลกมนุษย์ จะแฝงไว้ด้วยเจตนาของจักรวาลที่ให้มีตั๊กแตนตำข้าวอยู่ทั่วโลก เหมือนที่โลกเจตนาให้หญ้าคลุมโลก เราไปดวงดาวอื่น อย่าง ดาวอังคาร ไม่มีหญ้าเลย แต่เจตนาของโลกมนุษย์ ให้มีหญ้า มีพืชพันธุ์คลุมโลก อันนี้ผมถือเป็นเจตนาที่ใหญ่กว่า แล้วตั๊กแตนตำข้าวก็ไม่รู้เลยว่ามันอยู่ใต้เจตนาที่ใหญ่กว่า เหมือนมนุษย์เรา บางทีเรากินนอนสืบพันธุ์ไป เราไม่สำนึกว่า เราถูกอำนาจอะไรที่มาบังคับเราอยู่ เหนือกว่าเรา เราก็ไม่รู้ ก็มาในรูปของกิเลส หรืออวิชชาต่างๆ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านสอนให้บังคับเราโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้าเรารู้สึกตัว ถอนตัวเองออกมาเป็น เบิร์ด อาย วิว แล้วมองดูตัวเราเองว่าเราอยู่ใต้เจตนาของใคร เราก็สามารถค้นหาเจตนาที่เป็นของมนุษย์ได้

    เราสามารถดูได้จากพระพุทธเจ้า พูดง่ายๆ ดูได้จากครูบาอาจารย์ ถ้าเราปราศจากครูบาอาจารย์เสียแล้ว เราก็ต้องเริ่มต้นใหม่ เหมือนเราเขียน ก.ไก่ ข.ไข่ เราจะเขียนไม่ได้เลย ถ้าเราไม่มีครู

    เรื่องการเสพสังวาสนี่เพราะเรามีสัญชาตญาณ และหากเรายังไม่เป็นพ่อแม่ เราก็จะหลงเหลิงไปในเรื่องนั้น หมายถึงว่าเราเกือบจะโงหัวไม่ขึ้น ที่เขาเรียกอวิชชา แต่พอเราเข้าข่ายพ่อแม่ ความรักนั้นก็จะกลายเป็นความเมตตากรุณา ที่เราต้องอุปถัมภ์

    • ในด้านหนึ่ง ลูกๆจึงเป็นสิ่งประเสริฐสำหรับพ่อแม่ด้วย ?
    ผมคิดว่า ทุกอย่างให้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน เหมือนต้นหญ้า ความเมตตาของแม่ก็เหมือนชูชีพพาดอกหญ้าลอยไปในอุณหภูมิที่เหมาะสม ก็งอกขึ้น พินัยกรรมอันนั้นที่มองไม่เห็นในดอกหญ้า คือพินัยกรรมของแม่หญ้าที่สั่งลูก ขอให้ไปงอกไปเจริญเติบโตขึ้น จะได้ปกคลุมโลก เหมือนต้นโกงกางที่อุตส่าห์ออกแบบให้ลูกทิ่มไปในโคลน เพื่อจะทำป่าโกงกางขึ้น ซึ่งมีประโยชน์ให้สัตว์ใหญ่น้อยได้อาศัย มนุษย์ได้อาศัย  มันพึ่งกันเป็นลูกโซ่
    • ดูอาจารย์มีความสุขดี ?
    ก็สุขทุกข์ไปตามสภาพ ความสุขมันไม่จีรัง แต่เวลาสบายใจจริงๆ  คือเวลาแต่งโคลน เพราะนักเขียน เวลาเขียนหนังสือ เขาต้องอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง สมมติ ยาขอบ  เขาเองก็ไม่รู้เรื่องอะไร แต่เวลายาขอบเขียนผู้ชนะสิบทิศ ยาขอบมีโอกาสเป็นบุเรงนอง เขาเป็นจักรพรรดิเต็มที่เลย แต่พอวางปากกา เขาอาจจะกลายเป็นคนก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กแห้งธรรมดาก็ได้ นักเขียนมันมีโลกอีกโลกที่เขาฝันได้
    • แล้วการเดินทาง ?
    ไม่ค่อยได้เดินทาง แต่ก่อนจะชอบเดินทาง ไปภูกระดึง ไปภูหลวง เดี๋ยวนี้อยู่แบบหอยนางรม หมายถึงอยู่ติดที่ หอยนางรมจะอยู่ติดหิน ถ้าจะไปเที่ยวไหน ก็คงไปเที่ยวในน้ำจิ้ม ส่วนมากอย่างดีหอยนางรมก็ไปเจอกับน้ำมะนาว เหมือนเป็ด อุดมคติของเป็ดจะไปไหนเสีย เป็ดไล่ทุ่งอย่างดีก็เป็นเป็ดพะโล้  เรานำไป ใครจะเป็นเป็ดย่างก่อนกัน ใครจะเป็นข้าวหน้าเป็ดที่อร่อย นี่พูดถึงเป็ดนะ แต่มนุษย์เรามีสิทธิคิดให้ไกลกว่านั้น
    • อาจารย์เคยพูดถึงจินตนาการ ว่าเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างงานศิลปะ ?
    จริงๆ มนุษย์ มีความคิดมาก่อน คนที่จะสร้างนครวัด จะต้องมีมโนคติ คอมโพสิชั่นใหญ่ คนที่จะสร้างบรมพุทโธ ต้องคิดใหญ่ รวมถึงพาเธนอน ต้องอาศัยจินตนาการกว้างใหญ่ พูดง่ายๆ ว่า ไอ้การสร้างสรรค์ ที่เรียกว่า creative นฤมิตกรรม เราต้องใช้จินตนาการแบบพระเจ้าสร้างโลก นี่สมมตินะ  ไม่ใช่เราอาจเอื้อม สมมติว่าเราเป็นพระเจ้า แล้วมีโจทย์ว่าเราจะสร้างโลก จะสร้างอย่างไร มันก็น่าคิด สนุก จริงๆ มนุษย์ก็มีสิทธิได้ ถ้ามนุษย์เรียนรู้ลึกถึงขั้นอารยะจริงๆ เราก็สร้างได้

    เช่น สมมติว่า มีปาริกชาติ ในดาวดึงส์ ทำไมเราเป็นสถาปนิก เราจะดึงปาริกชาติมาสร้างในโลกมนุษย์ไม่ได้ แล้วทำสถาปัตยกรรมอย่างไรที่มนุษย์ระลึกชาติได้ เขาเข้าไปแล้ว สำนึกถึงคุณค่าความเป็นคนของเขา โดยที่แทบจะสะอึก เพราะมนุษย์เรานี่ไม่ค่อยรู้เรื่อง เวลาเราใส่นาฬิกา แล้วนาฬิกาเราเสีย เราไปแก้ไขทันที แต่พอความเป็นมนุษย์เราบกพร่อง  เราไม่เคยคิดแก้ไขเลย

    ดังนั้น หากเรามาเอาใจใส่ความเป็นมนุษย์ของเรา ผมว่าเหมือนเรากลับไปหาต้นปาริกชาติ เราระลึกถึง เพราะว่าโดยหลักแล้ว มนุษย์มีสติปัญญาเป็นองค์ประธาน ถ้าเราเอาใจใส่คุณค่าตอนนี้ เช่นกว่าที่เราจะเอาใจใส่คุณค่าของเงินทอง เรามาเอาใจใส่คุณค่าของสติปัญญา ซึ่งจะกลับเป็นแก้วสารพัดนึก คิดอะไรก็คิดได้ เราควรนำต้นปาริกชาติมาไว้ในโลกมนุษย์ แล้วทำโลกมนุษย์ให้เป็นดาวดึงส์  ถึงขั้นที่ว่าหัวใจมนุษย์เบิกบานเหมือนดอกบัว แล้วเข้าใจความเป็นอารยะ ก็จะอยู่กันด้วยความสุขเกษมเปรมปรีดิ์ ไม่ได้อยู่กันด้วยไฟสงครามอย่างนี้

    • ทำอย่างไรถึงจะรู้ว่าสิ่งที่เราคิดฝันจินตนาการ ไม่เพ้อเจ้อจนเกินไป
    เราก็อาศัย genius ต่างๆ เยอะแยะ พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี เป็น genius ที่เขามีบุญคุณต่อโลกก็ดี ศึกษาจากครู เราต้องอาศัยครู ขั้นแรกก็คือพ่อแม่ แล้วก็ครูบาอาจารย์ เราต้องระลึกถึงบุญคุณของครูอยู่เสมอ ซึ่งจะเป็นมงคล
    • อาจารย์มองอาการ "ติสต์" ของคนปัจจุบันอย่างไร
    โดยหลัก  หากเขาร้องว่าเขาเป็นติสท์ก็ตามใจ เราร้องได้ ถ้าเรามีจุดมุ่งหวัง เรามุ่งจะเป็นอาร์ติสต์ แต่เราก็เหมือนต้นข้าว ในรวงข้าว ถ้ายังไม่มีตัวแป้งที่จะไปเลี้ยงโลก เป็นข้าวลีบ เราก็ไม่ควรร้อง เราเป็นข้าวแล้วไม่มีเยื่อของข้าวเลย เราก็ควรสงบไว้ เรามีข้าวเต็มรวง เราก็ร้องได้ ร้องว่าเราเป็นข้าว  สามารถไปหุงให้คนกินแล้วชื่นใจ ก็แล้วแต่กรณีไป แต่ถ้าเราเป็นข้าวลีบ เป็นแกลบก็ไม่ควรร้อง ดีไม่ดี จะไปถูกกับสุภาษิตอีกว่า ผู้รู้คือผู้ไม่พูด แต่ผู้ไม่พูด คือผู้ไม่รู้ก็ได้นะ
    • นิ่งเสียตำลึงทอง ?
    จุดมุ่งหมายของนิ่งเสียตำลึงทอง คือเขาให้มัธยัสถ์คำพูด  แต่ต้องพูดด้วย ถ้าเรามีความคิด แต่ถ้าเรามีความคิดแล้วไม่พูดเลย มันอาจจะดูว่าเราไม่มีความคิดก็ได้ แต่ถ้าเรามีความคิดดีๆ แล้วเราพูดออกไปมีค่าเท่าตำลึงทอง ก็พูดได้  เราต้องแก้สุภาษิตให้ตก 

    เขาห้ามตรงนี้ เพราะคำพูดของมนุษย์ พอพูดไปแล้ว มันจะเป็นเจ้าเป็นนายของผู้พูด ผู้พูดก็จะได้รับผลอันนั้น ถ้าเราพูดออกไปเป็นอาวุธ มันก็จะกลับมาบาดเรา ถ้าเราพูดไปแล้วบาดหู มันก็บาดหูเรา ถ้าพูดไปแล้ว แสลงใจคน เสียดแทงใจ มันก็จะกลับมาเสียดแทงหัวใจเรา อย่างที่เขาบอกว่า ปากเป็นเอก เพราะพูดแล้วสามารถโน้มน้าวหัวใจคนได้ ถ้าหากปากเราพูดแล้ว มันเกิดแรงผลักแรงดูดเอาอาวุธเข้ามาหา เราอย่าพูดเสียดีกว่า

    • ในด้านหนึ่ง ปฏิเสธไม่ได้ว่าศิลปินต้องมีอัตตา ?
    อันนี้ธรรมดา อัตตานี่เราแปลเสียใหม่ แปลให้มาเป็นกระดูกสันหลังเรา คือแปลอัตตามาเป็นความเคารพตัวเอง เท่าที่เราจะทำได้ หมายความว่าเราไม่เข้าข้างตัวเอง ตัวเราเอง ต้องมีดวงตาที่ 3 มองเห็นตัวเราเองว่า เราคือใคร มีข้อบกพร้องอย่างไร ภาษิตจีนบอกว่า เวลาดูคนอื่น ให้ดูส่วนวิเศษเขา เวลาดูตัวเอง ให้ดูข้อบกพร่อง เราบกพร่องอย่างไร

    ที่เราแก้อัตตามาเป็นกระดูกสันหลัง เพราะหากไม่มีกระดูกสันหลัง เราก็อยู่ไม่ได้ หมายถึงเราต้องอยู่ด้วยความคิดเที่ยงตรง สามารถยืนด้วยความคิดของเราเอง เช่น เราไม่ใช่คางคก เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราต้องยืนยัน ถ้าเรารู้สึกตัวว่าเราเป็นคางคก กิ้งกือ เราก็ยืนยันในความเป็นอันนั้น แต่เมื่อเราเป็นมนุษย์แล้ว เราจะไปโลเลไม่ได้ เราต้องยืนอยู่ในความตรงของเรา เราต้องมีดวงตาเห็นได้

    เช่น ทหารเขาสวนสนาม เขาอาจจะหลงตัวเองได้ว่า เขาเดินพร้อมกัน เดินพร้อมกันจริง แต่ในสายตามนุษย์จริงๆ มันก็เหมือนกิ้งกือ เวลากิ้งกือมันเดิน ตีนก็พร้อมกันหมด แล้วหากทหารไม่รักษาแผ่นดิน สมมติเขมรมันรุกมาเอาดินแดน เรามีธงชัยเฉลิมพลที่นำทัพ แล้วเมื่อธงชัยเฉลิมพลไม่ทำหน้าที่ดูแลดินแดนที่ปู่ย่าตายายเราสั่งสม ไอ้ด้ามธงชัยเฉลิมพลควรเป็นสากกะเบือเสียดีกว่า เอาด้ามมาทำสากกะเบือตำส้มตำให้ทหารเขมรกินบนเขาพระวิหาร เขมรจะได้ชื่นชมว่าส้มตำของเอ็งมันอร่อยจริงๆ เพราะว่าตำด้วยธงชัยเฉลิมพล

    • เมื่ออัตตาเป็นกระดูกสันหลัง หากมีบางพวกอวดอุตริคิดว่าตัวเองไปไกลอีกขั้นหนึ่ง ?
    พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าพวกเขาอวดอุตริมนุสธรรม  คืออธิบายตัวตนจนเกินเหตุ  เหมือนเราบอกว่า เราเป็นเทพเทวดา เราจะเป็นเทพไปได้อย่างไร เพราะเราเหาะก็ไม่ได้ หิริโอตัปปะเราก็ไม่มีเลย เป็นอย่างที่เป็น อยากจะเป็นปุถุชนก็ยืนยันในความเป็นปุถุชนนั้น ยืนยันแต่ว่าอย่าหนาให้มันเกินไป

    คือปุถุชนนี่แปลว่า หนานะ หนาด้วยกิเลส เขาบอกว่า ถึงแม้เราจะเกิดมาเป็นปุถุชน แต่ก็อย่าเป็นปุถุชนจนเกินไป อย่าหนามาก อย่างทักษิณนี่มันหนามาก หนาด้วยความโลภ มันโลภแบบไม่มีเส้นขอบฟ้า โลภแบบอจินไตย

    • เรื่องความดี-ความงาม-ความจริง ที่ฝรั่งมองเป็นเรื่องเดียวกัน อาจารย์เห็นอย่างไร
    ผมก็เห็นด้วยทุกอย่างที่อัจฉริยะมนุษย์เขาพูด เราเป็นลูกศิษย์ภายหลัง บางทีเราก็เหมือนคนโง่ เราเกิดมาในทุ่งในนา เราดีกว่านิดหน่อยตรงที่ไม่กินหญ้า เพราะฉะนั้น เรายอมรับจากความคิดที่ไม่ธรรมดา กรีกเป็นมนุษย์ที่เฉลียวฉลาดมหัศจรรย์มาก เท่าที่เห็นมนุษย์มาแล้วในตะวันตก ไม่มีใครฉลาดเฉลียวเท่ากรีก แล้วเขารู้เท่าทันกายวิภาคของมนุษย์ เขาเรียน เขามองว่าสัตว์โลกทั้งหมดนี่งาม แต่มนุษย์นี่เป็นประธาน เขาถือว่าร่างกายมนุษย์งามที่สุด ดังนั้นเวลาเขาเรียนกายวิภาค เขาเรียนแบบนี้เลย แล้วเขายกย่องมนุษย์คล้ายๆ กับเทพเจ้า คือเทพเจ้านี่มีกายแบบมนุษย์...

    มนุษย์ดีกว่าไอ้เข้ ดีกว่าสัตว์ทั้งหมด ดีกว่าไดโนเสาร์ กิ้งก่า ซึ่งไม่สามารถทำความงามขึ้นมาได้ แต่มนุษย์เราสามารถคิดถึงความงามอันเป็นอุดมคติ สามารถแปลอุดมคติให้เป็นรูปธรรมได้ พูดง่ายๆ ว่า คนที่ไปจับเรื่องนี้ ส่วนมากเขาเป็น genius เป็นอัจฉริยมนุษย์ทั้งนั้น แล้วทำไมเรารุ่นลูกศิษย์ เราถึงไม่เคารพเขา

    • ทำไมทัศนะต่อความงามของคนรุ่นหลังๆ เริ่มมองกันแบบไม่มีถูก ไม่มีผิด หรือลื่นไหล
    ผมว่าคนรุ่นหลังรีบรับสัพเพเหระมา บางทีอเมริกาเขาให้ขยะมา เราก็รับขยะมาเต็มดุ้น แต่คนโบราณ เขามีปริศนานะ เขาทำกระต่าย 3 ตัว (Three Hares) วิ่งกันเป็นวงกลม จารึกๆ ไว้ตามหน้าผา แล้วไม่มีใครแก้ออก ลองคิดดู สนุก แล้วเป็นพันๆ ปี ไม่มีใครแก้ออก

    แล้วกระต่าย 3 ตัวคืออะไร ภาษิตจีนบอกว่า กระต่ายตัวหนึ่งเขาขุด 3 โพรง มีทีหนีทีไล่ แล้วกระต่ายคือสัญลักษณ์ของความว่องไว พอรู้แบบนี้ เราก็พอรู้แล้วว่า กระต่าย 3 ตัว คือปัญญา 3 พระพุทธเจ้าสอนไว้มีปัญญา 3 อย่าง คือ สุตมยปัญญา  จินตามยปัญญา ภาวนามยปัญญา แทนกระต่ายแต่ละตัว

    สุตมยปัญญา หากไม่เดินทางหมื่นลี้ อ่านหนังสือหมื่นเล่ม จะเป็นพหูสตรได้อย่างไร หมายถึงการสดับตรับฟังมาก จินตามยปัญญา เช่น เขาคิดเครื่องบิน รถยนต์ เฮลิคอปเตแอร์ รถไฟ อะไรต่างๆ อาศัยความคิด แต่ ภาวนามยปัญญา เปรียบเหมือนเรื่องจิตโดยตรง ภาวนาจนมีกำลังของสมาธิพิเศษ ที่ไปเห็นธาตุดวงจิตเดิม ภาวนามยปัญญา เปรียบเหมือนพระโมคคัลลาน์ ท่านสำเร็จแล้วท่านเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาด เหาะขึ้นไปในทางช้างเผือก ในโซลาร์ซิสเต็ม หยอดเม็ดหนึ่งๆ หมายถึงระบบสุริยะ ทุกอันหยอดเม็ดหนึ่ง จนหมดเมล็ดพันธุ์ผักกาดในฝาบาตร ก็ไม่สิ้นสุดจักรวาลเลย นี่คือภาวนามยปัญญา

    หากเรารู้เรื่องที่พระพุทธเจ้าสอน เราก็จะเข้าใจกระต่าย 3 ตัววิ่ง กระต่ายเป็นตัวแทนของสติปัญญาที่ว่องไว การวิ่งคือไดนามิค การปฏิบัติ ส่วน ภาวนาคือการหมุนเวียนทั้งหมด ที่เราเข้าใจวงกลม

    • หนึ่งในเรื่องความงามที่ถกเถียงในยุคสมัยของอาจารย์ คือฉันทลักษณ์ หรือไม่ฉันทลักษณ์ ?
    ที่จริง ข้อเขียนของผม ผมไม่ได้ทำผิดฉันทลักษณ์นะ แต่เมื่อผมแต่ง มันโดดเด่น แล้วพวกนักกลอนเขาทนไม่ได้ อย่างน้อยมันจะแต่งกลอน มันต้องมากราบตีนเรา ผมมีข้อเสียอยู่อย่าง  ผมไม่ได้เข้าหา ไปออเซาะ หรือเอาอกเอาใจ พวกนักกลอนมันก็โกรธ หาว่าผิดฉันทลักษณ์ อันที่จริง การไม่แต่งลงแบบสุนทรภู่ ก็ไม่ผิดหรอก ถึงไปถามสุนทรภู่เอง ท่านก็คงไม่ได้ว่าอะไร สุนทรภู่ที่แต่ง  บัดเดี๋ยวดังหง่างเหง่งวังเวงแว่ว  ที่สัมผัสใน ท่านก็เอาแบบมาจากโบราณ มาจากมธุรสวาที อยู่ในศิริวิบุลกิตติ์เป็นตำราแต่งกลอนครั้งกรุงศรีฯ เป็นปู่ทวดของวัดโพธิ์อีกที 

    อตีเตแต่นานนิทานหลัง มีนครังหนึ่งกว้างสำอางศรี
    ชื่อจำบากหลากเลิศประเสริฐดี  เจ้าธานียศกิตติ์มหิศรา
    ดำรงภพลบเลิศประเสริฐโลกย์   เป็นจอมโจกจุลจักรอัครมหา
    อานุภาพปราบเปรื่องกระเดื่องปรา  กฏเดชาเป็นเกษนิเวศเวียง

    พวกที่เก่งหนังตะลุงจะต้องรู้ ซึ่งสุนทรภู่หยิบมาแต่งจนคนเข้าใจว่า เป็นของท่านเอง จริงๆ ท่านก็มีครู คิดดูสิง่ายๆ  สุนทรภู่ ไม่มีพ่อแม่จะเกิดมาได้อย่างไร

    • ท่านอังคาร ก็มีครู ?
    ผมมีครูเยอะแยะ ผมมีคนโบราณเป็นครู สุนทรภู่เป็นครูเรา เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ก็เป็นครู เพียงแต่พวกนักกลอนบางคน เราก็ไม่ได้เข้าหา แต่บางท่านก็เป็นครูเหมือนกัน
    • เวลาพูดถึงความงาม แต่ละคนต่างมีมาตรวัดกันคนละแบบ ?
    แล้วแต่สิ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราควรให้โอกาสกับเพื่อนมนุษย์  เหมือนที่เราให้โอกาสกับต้นไม้บนภูเขา สุดแล้วแต่ใครจะออกดอกยังไง เราจะไปบังคับเขาอย่างไร ว่าไอ้นี่ต้องออกดอกแบบอุตพิด ไอ้นี่ต้องออกดอกแบบจันทร์กระพ้อ  ผมว่าบังคับไม่ได้นะ

    ในโลกนี้ ที่เขาสร้างมา ถ้าเราแปลคุณค่า มันวิเศษไปหมด แล้วใยมนุษย์ที่เขาสร้างมา เขาให้โลกมาทั้งโลก แล้วยังมายากจนอีก มันควรจะร่ำรวย

    • ทราบมาว่าสมัยวัยหนุ่ม อาจารย์ก้าวร้าวรุนแรงเหมือนกัน
     เขาว่ากันอย่างนั้น แต่การที่เราคุยแล้วเราเข้าใจกัน โบราณเขาเรียกเป็นเกลอกัน 
    • แล้วอารมณ์ความรู้สึกตอนแต่งบทกวี "ใครดูถูกดูหมื่นศิลปะฯ " ?
    ผมก็แต่งไปตามเรื่อง เพราะผมรักศิลปะ ตอนนั้นเรียนศิลปากรแล้ว เห็นว่ารัชกาลที่ 6 ท่านแต่งเบาไป  ใครดูถูกผู้ชํานาญในการช่าง  ความคิดขวางเฉไฉไม่เข้าเรื่อง ผมว่าเบาไป เลยซัดเสียตามประสาคนวัยหนุ่ม
    • ทุกวันนี้ สรรหาแรงบันดาลใจจากไหนทำให้แต่งบทกวีได้ตลอดเวลา
    คืออย่างนี้ ถ้าเราเกิดมาเป็นปอด เรามีหน้าที่ต้องหายใจ ถ้าเราเกิดมาเป็นจมูก เราก็ต้องหายใจ เราเกิดมาเป็นทะเล ก็ต้องมีคลื่น เราเกิดมาเป็นท้องฟ้า ก็ต้องมีเมฆลอย ไอ้พวกนี้คือจินตนาการ หมายความว่า ทะเลมีคลื่น ทะเลเมื่อใดไม่ขาดคลื่น มนุษย์เราก็ต้องมีมโนคติ มีจินตนากร มนุษย์เท่านั้นที่จะแปลความมหัศจรรย์ฉงนฉงายของจักรวาลให้มีความหมายในโลก มนุษย์ จักรวาลพยายามสร้างอะไร มันมีแต่หินผา ทุกดวงดาวมีแต่หินผา แร่ธาตุอื่น แต่ไม่มีสติปัญญา แก้วสารพัดนึกที่จะแปลความหมายของจักรวาลอันลี้ลับนี้มาได้ จักรวาลเหมือนคนใบ้ แต่มนุษย์เกิดมา มนุษย์สามารถเป็นภาษาของจักรวาลได้ มนุษย์สามารถเป็นปิยะวาจาที่พูดแทนจักรวาลได้

    ถึงที่สุดมนุษย์สามารถแปลความเป็นมนุษย์ไปถึงพระอรหันต์ได้  เป็นการแปลความหมายของจักรวาลได้ถึงที่สุด แม้แต่เพชรพลอยยังแปลความหมายของจักรวาลไม่ได้.

Monday, March 28, 2011

Fw: แอนดรูว์ บิกส์ ...เขียนเรื่องจริงที่น่าอ่านมากครับ


แอนดรูว์ บิกส์ ...เขียนเรื่องจริงที่น่าอ่านมากครับ
....คัดลอกจากบทความของ แอนดรูว์ บิกส์

อาทิตย์นี้ผมมีนัดกับเพื่อนสนิทชื่อ วิ ...ผมรู้จักวิตั้งแต่เดือนแรกที่ผมมาเมืองไทย
วิเป็นสุภาพสตรีที่ทั้งฉลาด สวย มีอารมณ์ขัน ยิ่งมีอายุก็ยิ่งสวยขึ้น วิเป็นคนที่ทราบหลายเรื่องเกี่ยวกับผมใน 12 ปีที่ผ่านมา ผมอยู่ข้างๆเธอสมัยที่เธอเริ่มต้นชีวิตทำงาน สมัยที่เธอแต่งงาน และถึงแม้ว่าสองสามปีที่ผ่านมาเราจะไม่ค่อยติดต่อกันเท่าที่ควร แต่ก็ยังถือว่าเป็นเพื่อนสนิทกับผม แต่หลังๆ มีการเปลี่ยนแปลงระหว่างเราสองคน ซึ่งผมไม่ทราบว่าจะพูดอย่างไรดีบอกไม่ถูก เอาอย่างนี้ดีกว่า มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้มิตรภาพระหว่างเราสองคนแปรปรวน
สิ่งนั้นคือ............ แอมเวย์

'' สวัสดีค่ะแอนดรูว์ นี่วินะ เอ้อ ตอนนี้แอนดรูว์ใช้ยาสีฟันยี่ห้ออะไรนะ ?''
วิถามผมด้วยวิธีการทักทายที่แปลกประหลาดที่สุด ในสังคมของเรามีบางคนติดยาบ้า บางคนเสพย์ฝิ่น แต่วิเพื่อนของผมเขาติดการขายแอมเวย์ครับ และผมไม่เห็นด้วยว่าไอ้การติดแบบนี้จะมีทางแก้ไข

'' แอนดรูว์บ้านสวยมาก '' วิพูดในวันแรกที่ได้มาเยี่ยมหลังจากที่ผมย้ายบ้านไม่กี่วัน
'' เสียดายอย่างเดียวคืออากาศที่สมุทรปราการแย่มาก มลพิษเยอะ คุณน่าจะมีเครื่องฟอกอากาศติดไว้ในห้องนอนสักเครื่องหนึ่งดีไหมคะ ''

ผมคงไม่ต้องขอใช้สิทธิเปลี่ยนคำถามเพื่อหาคำตอบที่ถูกสำหรับคำถามที่ว่า แล้วคุณวิคิดว่าผมควรซื้อยี่ห้อ อะไรดีครับ โลกของเพื่อนชื่อวิ หมุนด้วยพลังของสินค้าแอมเวย์และคนที่คิดอย่างอื่น กลายเป็นมนุษย์ต่างดาว วิติดโรคขายของมาสองปีแล้วครับ และนับตั้งแต่วันที่เธอเข้าร่วมสัมมนาครั้งแรกการขายก็ค่อยๆ ครอบงำชีวิตเธอ เมื่อก่อน ผม วิ กับเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งสามารถนั่งคุยเรื่องต่างๆ หลายเรื่องอย่าง สนุกสนานเพลิดเพลินเรามักจะนัดกันที่ร้านอาหารและนั่งเป็นเวลาหลายชั่วโมงในเวลานั้น เราหัวเราะกันตลอด คุยเรื่องการเมือง เรื่องตลก เรื่องทะลึ่ง เรื่องเกี่ยวกับสังคมไทย ความแตกต่างระหว่างไทยกับฝรั่ง เราคุยกันนานหลายชั่วโมง จากนั้นเราก็ขอเช็คบิล และแยกย้ายกันกลับบ้าน

นี่คือสิ่งที่มีค่ามากใช่ไหมครับ........... มิตรภาพที่ไม่มีเงื่อนไข
แต่ตอนนี้รู้สึกว่าทุกอย่างมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว เหลือแค่คนสองคนที่นั่งด่านักการเมือง เล่าเรื่อง ตลก คุยเรื่องวัฒนธรรมที่ต่างกัน ส่วนคนที่สามน่ะหรือครับ ตอนนี้เธอทำท่าเหมือนแมวที่จ้องมองหนูตัวหนึ่ง และเมื่อเราคุยถึงอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับสินค้าเธอจะตะปบเหยื่ออย่างรวดเร็ว

'' ใช่แล้ว ฉันก็เหมือนกันค่ะ แอนดรูว์ '' วิแทรกการสนทนา
'' เกลียดรีดผ้ามากที่สุด แต่ฉันว่าแอนดรูว์ลองใช้น้ำยารีดผ้าของแอมเวย์สิคะ ทำให้เวลารีดผ้าลดไปครึ่งหนึ่ง ''

ที่จริงแล้วตอนนั้นหัวข้อการสนทนาไม่ได้เกี่ยวข้องกับวิธีประหยัดเวลาการรีดผ้า เราเพียงคุยเบาๆ เกี่ยวกับเรื่องที่เราไม่ชอบทำ อย่างเช่น การรีดผ้า แต่นี่คือความสามารถเฉพาะตัวของวิ คือ แทนที่จะร่วมคุยอย่างสนุกสนานกับเรา เธอจะนั่งเงียบรอโอกาส รอโอกาสที่จะแนะนำเพื่อนใหม่ของเธอที่มีชื่อ ว่าแอมเวย์ สุดท้ายดูเหมือนว่า วิไม่ได้เป็นมนุษย์เสียแล้ว วิกลายเป็นโฆษณาเคลื่อนที่สำหรับแอมเวย์ จะเลือกคุยหัวข้อไหนก็ช่าง วิสามารถขายของได้ ไม่ว่าจะขับรถไปทางไหน ถนนทุกสายในโลกของ วิมีจุดหมายปลายทางที่สินค้าแอมเวย์ เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่อินเดียผู้รอดชีวิตไม่มีน้ำสะอาดดื่ม วิก็เสนอให้ผมซื้อเครื่องกรองน้ำ

เพื่อนอีกคนหนึ่งมาพบเราไม่ได้เพราะท้องเสีย วิก็เสนอให้ผมซื้อน้ำยาล้างห้องน้ำ เราบ่นว่านักการเมืองใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยซื้อรถเบนซ์หลายคัน วิก็เสนอให้ผมซื้อน้ำหอมสำหรับรถผม ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพูด วิจะรอ... รอโอกาสขายของนั่นเอง เราสามคนชอบให้ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ แก่กัน แต่หลังๆพวกเราไม่กล้ารับอะไรจากวิ ครั้งที่แล้วเป็นชุดยาสีฟัน แปรงสีฟันกับยาดับกลิ่นปาก คงไม่ต้องบอกว่ายี่ห้ออะไร

'' ยาสีฟันเป็นอย่างไรบ้าง ชอบไหม หมดหรือยังคะ อยากสั่งซื้อไหมช่วงนี้ลดราคาด้วย เอากี่หลอดดี ''
ในวินาทีที่วิพูดประโยคนี้จบปุ๊บ คำว่า 'ของขวัญ' ก็เปลี่ยนเป็น 'ตัวอย่างสินค้า' ทันทีครับ

พอถึงจุดนี้ผมขอสารภาพว่า ผมชอบสินค้าแอมเวย์ บางชนิดผมก็ใช้เป็นประจำ แต่ผมชอบแอมเวย์เหมือนกับผมชอบซุปหน่อไม้ ชอบอาภาพร นครสวรรค์ ชอบสีเขียว หรือว่าชอบวินทร์ เลียววารินทร์ หมายความว่าทั้งหมดนี้ผมชอบ แต่ขอร้องนะครับ อย่าให้ผมทานซุปหน่อไม้ทุกมื้อ ฟังอาภาพรตลอดเวลา ใส่แต่เสื้อสีเขียวหรืออ่านสิ่งมีชีวิตฯเล่มเดียวตลอดเวลา

เพื่อนคนที่สามของเรากระซิบกับผมว่า '' ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยอยากจะคุยกับวิเลย คุยแล้วต้องซื้ออะไรสักอย่าง วิไม่เข้าใจว่า ... I like to shop!'' เห็นด้วย เห็นด้วย ผมเป็นคนที่ชอบความหลากหลาย เพราะถือว่าเป็นรสชาติของชีวิตใช่ไหมครับ ที่สำคัญกว่านั้นคือผมเป็นคนที่สนับสนุนระบอบประชาธิปไตย ผมย่อมอยากมีสิทธิเลือกสินค้ายี่ห้ออื่นบ้าง แต่เวลาเสนอความคิดอย่างนี้กับวิ เธอมองกลับมาด้วยสีหน้างงๆ และพูดด้วยสำเนียงของคนที่ถูกล้างสมองว่า

'' แต่คุณจะเลือกยี่ห้ออื่นทำไม ทั้งๆ ที่รู้ว่ายี่ห้อนี้คุณภาพดีที่สุด '' ฟังคำตอบนี้แล้วทำให้ผมอยากขึ้นเครื่องบินไปสหรัฐตรงดิ่งไปสาขาใหญ่ของแอมเวย์ แล้วเคาะประตูใหญ่ด้วยกำปั้นทั้งสองอย่างแรง และ ตะโกนเหมือนคนบ้าว่า........................... '' เอาเพื่อนรักของผมคืนมา!!!! ''

พฤติกรรมแปลกประหลาดของวิทำให้ผมนึกถึงสถานการณ์ที่เดอะเนชั่นเมื่อสี่ห้าปีที่แล้ว ตอนนั้นถ้าไม่ซื้อแอมเวย์ผมจะกลายเป็นคนไม่ดี แต่ถ้าซื้อแอมเวย์ ผมก็จะกลายเป็นคนไม่ดีเหมือนกัน ผมจะอธิบายให้ฟังครับ
คือตอนนั้นมีคนสองคนที่ทำงานชั้นเดียวกันขายแอมเวย์สองคนนี้ไม่เคยพูดอะไรกันตรงๆ แต่ใครๆ ก็เห็นได้ว่าสองคนนี้แย่งลูกค้ากันถ้าผมสั่งซื้ออะไรจากคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งจะไม่ยอมยิ้มกับผมเป็นเวลาหลายวันบรรยากาศที่ทำงานตอนนั้นแย่มาก ในที่สุดผมตัดสินใจที่จะไม่ซื้ออะไรจากทั้งสองคนและหันไปใส่ใจเรื่องอื่นแทนคือ ทำงานครับ

กลับมาที่ปัจจุบันและเพื่อนชื่อวิดีกว่า ถ้าถามผมจริงๆ ว่าผมรู้สึกไม่สบายใจเรื่องนี้ เพราะอะไรผมต้องตอบว่า เป็นเพราะเพื่อนวิไม่สามารถแยกความหมายของคำว่าเพื่อนกับ ลูกค้า ออกได้อย่างชัดเจน ผมไม่อยากจะเจอวิในฐานะที่ผมเป็นลูกค้าครับ
ถ้าผมอยากเป็นลูกค้า ผมก็จะขับรถไปเซ็นทรัลดีกว่า การที่จะเอาเพื่อนมาปั้นเป็นลูกค้านั้นเป็นสูตรที่ดี สำหรับคนที่ไม่อยากมีเพื่อนในอนาคตผมชอบใช้เวลากับเพื่อนเพื่อหนีการพาณิชย์การค้าและการทำงาน ถ้าหากว่ามีเพื่อนซึ่งทำงานในวงการที่เกี่ยวกับงานที่ผมทำอยู่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งใช่ไหมครับ แต่กับการขายอย่างพีระมิด (ถึงแม้บริษัทอย่างแอมเวย์จะปฏิเสธมากแค่ไหนว่าเขาไม่ได้ขายของแบบพีระมิด แต่ผมก็ไม่ทราบว่าจะเรียกระบบการขาย ที่เน้นการหาคนขายคนอื่น เป็นขาของเราว่าอะไรนอกจากคำว่า พีระมิด)

ผมเพิ่งจะคุยเรื่องนี้กับเพื่อนอีกคนหนึ่งชื่อจิ ตอนนี้ในชีวิตของเขาไม่มีเรื่องอะไร นอกจากเรื่องไก่ เขาเข้าไปในระบบขายไก่ซึ่งเป็นพีระมิดเหมือนกับเพื่อนชื่อวิ ช่วงนี้จิไม่ว่าง โอ้-ขอโทษที เขาว่างมากถ้าคุณแสดงแม้แต่นิดเดียวว่าคุณอยากเป็นขาของเขาในการขายไก่ แต่สำหรับพวกเราที่ไม่ได้วัดคุณค่าชีวิตเราโดยจำนวนไก่ ที่เราสามารถขายได้ จิก็ประกาศแล้วว่าจะไม่ค่อยว่างเป็นเวลาสองปี
ผมไม่ผิดหวังครับ ปีที่แล้วชีวิตการขายของจิ คือ ยาลดความอ้วนสำหรับสองปีที่แล้วเป็นวิตามิน แต่เมื่อผมเสนอแนวคิดว่า เพื่อนไม่เหมือน ' ลูกค้า ' ตาของจิดูเหมือนมีไฟลุกโพลงอยู่
แอนดรูว์ไม่เข้าใจ� จิพูดเหมือนคนกำลังท่องบท
เศรษฐกิจอย่างนี้เพื่อนจะต้องช่วยเพื่อน ถ้าเพื่อนไม่ช่วยซึ่งกันและกัน แล้วใครจะช่วยได้�
แหม...พูดอย่างนี้เสียดายจังเลยที่วิแต่งงานแล้ว ผมว่าสองคนนี้ถึงแม้ไม่เคยได้รู้จักกัน แต่น่าจะคบกันได้ดี

ผมพยายามอธิบายให้จิฟังว่า การที่จะให้คนหนึ่งเป็นขาของเราไม่ใช่การช่วยเหลือซึ่งกันและกันมันเป็นการช่วยช่องทางเดียว แต่พูดอะไรก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าหูจิเลย จิเลิกคุยกับผมแล้ว เขาท่องอาขยานแทน ยิ่งช่วงเวลาหลังจากการอบรมเรื่องการขายไก่ โอ้โห-จิรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับไก่รู้วิธีต่อต้านคนอย่างผมที่กล้าเสนอว่าเป็นการขายอย่างพีระมิด ซึ่งแสดงว่ามีมากกว่าหนึ่งคนที่คิดอย่างนั้น ผมบอกจิแล้วว่าถ้าผมเป็นอะไรและต้องจากโลกนี้ไป ขอกลับชาติมาเกิดเป็นไก่ จิจะได้อยากใช้เวลากับเพื่อนเก่าสักหน่อย

คิดถึงเพื่อนชื่อวิกับจิจังเลย เมื่อไรจะกลับมาเสียที ไม่เป็นไรหรอกครับ ที่จริงแล้วผมเห็นด้วยกับ วิและจิ ตรงที่ว่าเพื่อนควรช่วยเพื่อน เพียงแต่ผมไม่อยากจะวัด ความเป็นเพื่อนโดยใช้จำนวนไก่หรือเครื่องฟอกอากาศเป็นเกณฑ์

ถ้าท่านผู้อ่านคิดว่าผมอารมณ์เศร้าวันนี้ก็อาจเป็นความจริงเพราะวันนี้ผมเพิ่งทราบว่า เพื่อนชื่อ เบญจวรรณเริ่มขาย Mistine ตั้งแต่วันนี้ และเธอบอกว่าอยากพบผมด่วน!

Sunday, March 20, 2011

แพทย์แผนจีนเป็นมรดกตกทอด 5 พันปี ให้คนรุ่นหลังใช้รักษาโรค 5 ขั้นตอน


สรุปคำบรรยายจากแพทย์แผนจีน
 
เมื่อชีวิตสุขสบาย ต้องไม่ไป (ตาย) ก่อน 99�
 
            ทุกคนอยากมีชีวิตสุขสบายไร้โรคา ท่านทั้งหลายมาฟังการบรรยายก็มีจุดประสงค์อย่างเดียวกัน ผมขอถามว่า อายุขัยของคนเราสูงสุดคือเท่าไร บางคนบอกว่าสูงสุด 150 ปี  ต่ำสุด 120 ปี ซึ่งไม่ถูก มนุษย์เรามีระยะเจริญเติบโต 20-25 ปี อายุขัยเป็น 5-7 เท่าของระยะเจริญเติบโต คือต่ำสุด 100 ปี สูงสุด 175 ปี การจะอยู่ถึงร้อยปีไม่ใช่ฝันอีกแล้ว แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากอยู่ถึงขนาดนั้นหรือไม่
               

            จะอยู่ร้อยปีก่อนอื่นต้องมีสุขภาพดี แล้วสุขภาพดีมาจากไหน?  มาจากพื้นฐาน 4 ประการในชีวิตประจำวัน  

ประการแรก คือภาวะจิตที่สงบสุข

ประการที่สอง คือรับโภชนาการที่สมดุล

ประการที่สามคือออกกำลังกายพอเหมาะ

ประการที่สี่คือนอนหลับเพียงพอ โดยปรกติแล้ว ประการที่สี่ชักจูงให้งดบุหรี่และเหล้า ผมขอแก้เป็นนอนหลับเพียงพอ ดั่งที่โบราณท่านว่า อดนอนทุกวัน ชีวิตสั้นไป 10 ปี
 
            พื้นฐานสุขภาพ 4 ประการ ต้องเรียงตามลำดับ สมัยนี้มีบทความมากมายเขียนถึงเรื่องนี้  แต่ถ้าไม่พูดถึงภาวะจิตใจเป็นประการแรก  แสดงว่าผู้เขียนไม่ใช่มืออาชีพ ไม่ต้องอ่านต่อแล้ว เพราะแพทย์แผนจีนจัดภาวะจิตใจเป็นอันดับหนึ่งในการบำรุงสุขภาพ  กล่าวคือ ภาวะจิตเป็นตัวกำหนดพฤติกรรม และผลพวงต่างๆ เกิดจากพฤติกรรม
มองในแง่สรีระ คนเราอยู่ได้โดยอาศัยอวัยวะทั้ง 5 คือ ตับ หัวใจ ม้าม ปอด และไต ยกตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลออกใบมรณะบัตร มักจะระบุสาเหตุการตายว่า หัวใจวาย ตับวาย ไตวาย เป็นต้น
ถ้าผู้ป่วยตายด้วยเส้นเลือดหัวใจอุดตัน แสดงว่าเลือดเข้มข้นสกปรก แต่เลือดฟอกมาจากตับ แสดงว่าตับหมดสมรรถภาพในการฟอกพิษหรือกลั่นกรองเลือดให้บริสุทธ ิ์   ไหลเวียนไม่คล่องตัว ทำให้อุดตันในเส้นเลือด ผู้ป่วยโรคหัวใจจำนวนมาก ก่อนหัวใจวายมักจะบันดาลโทสะซึ่งเป็นสาเหตุทำลายการทำงานของตับด้วย เพราะฉะนั้น โปรดจำไว้ว่า อย่าโมโหโทโสซึ่งไม่ช่วยแก้ไขปัญหาใดๆ เลย นอกจากทำลายร่างกายท่านั้น ขอฝากคำขวัญให้ทุกท่าน หัวเราะสามเวลา ห่างไกลโรคและยา หัวเราะสามเวลา หมอต้องผูกคอลา�  
 
            ทีนี้มาพูดเรื่องโภชนาการ อักษรจีนต้องเขียนตามลำดับก่อนหลัง ภาษาก็เช่นเดียวกัน เราพูดวาดุลยภาพแห่งโภชนาการหมายความว่า ดุลยภาพต้องมาก่อน โภชนาการจึงตามหลังมา WHO เตือนเราว่า คนเราเกิดโรคมาจากสาเหตุ (1) รูปแบบการดำรงชีวิตไม่เหมาะสม (2) กินอาหารไม่สมดุล หมายรวมถึงมากเกินและขาดแคลน นั่นคือ ไขมันมากเกิน แต่แร่ธาตุและวิตามินขาดแคลน สรุปคือ ไม่รู้จักกิน ทำให้เกิดโรค
 
            อยากจะถามว่า เรากินอาหารเพื่ออะไร? คำตอบคือ
(1) เพื่อดำรงชีพ
(2) เพื่อป้องกันโรค
(3) เพื่อรักษาโรค บรรดาโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน เกิดจากการกินทั้งนั้น ในเมื่อกินแล้วทำให้เกิดโรคได้ ก็ต้องกินแล้วรักษาโรคได้เช่นกัน  
 
            แพทย์แผนจีนเป็นมรดกตกทอด 5 พันปี ให้คนรุ่นหลังใช้รักษาโรค 5 ขั้นตอน

ขั้นตอน 1         รักษาด้วยอาหาร หมอจะให้สูตรอาหารแก่คนไข้เป็นเวลาหลายเดือน ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 2         กวาดทราย ดูดด้วยสุญญากาศ บีบนวดและดึงดัน ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 3         ฝังเข็ม ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 4  ใช้เหล้าดอง ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 5         ใช้ยา ปัจจุบันหมอจะให้ยาทันทีที่คนไข้มาหา เป็นยาย่อมมีพิษ คุณกินยาทั้งเดือนทั้งปี ไม่มีวันที่โรคจะหายขาด
 
            Socrates บิดาแห่งแพทย์แผนปัจจุบัน เคยกล่าวเตือนว่า จงกินอาหารให้เป็นยา อย่ากินยาเป็นอาหารจีนโบราณก็มีคำกล่าวว่าใช้อาหารรักษาโรคดีกว่ายาแต่ทุกวันนี้มันกลับกันหมด
 
เรากินอาหารวันละ 3 มื้อ กินเพื่ออวัยวะชิ้นไหนกันแน่?

เราอยู่ได้เพราะอาศัยพลังงานจากอวัยวะทั้ง 5 พลังงานของอวัยวะได้มาจากการกิน แต่ทุกวันนี้เรากินตามใจและปาก ชอบอะไรก็กินมันทุกวัน อวัยวะทั้ง 5 ก็เหมือนกับคน มีรสนิยมแตกต่างกัน
        ตับชอบกินสีเขียว
        หัวใจชอบกินสีแดง
        ม้ามชอบกินสีเหลือง
        ปอดชอบกินสีขาว
        ไตชอบกินสีดำ
คำว่าดุลยภาพหมายถึงกินหลากหลายชนิด
 
            แพทย์แผนจีนใช้วิธีมอง ฟัง ดม ถาม แมะ ก็สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำ ในที่นี้ก็รวมทั้งการมองดูสี ทั้ง 5 บนใบหน้านั่นเอง ตัวอย่างเช่น
        ตับมีปัญหา สีหน้าจะออกเขียว
        หัวใจมีปัญหา สีหน้าจะออกแดง
        ม้ามมีปัญหา  สีหน้าจะออกเหลือง
        คนไข้หอบหืด สีหน้าจะออกขาว
        คนไข้ไตเสื่อม สีหน้าจะออกดำ

ดังที่กล่าวแล้ว
        ถั่วเขียวเหมาะสำหรับบำรุงตับ เพื่อให้ตับขับพิษออกจากร่างกาย แต่ก็ต้องกินให้ถูกวิธี คนทั่วไปมักจะต้มถั่วเขียวจนเละซึ่งไม่ถูกต้อง วิธีที่ถูกคือต้มให้น้ำเดือดประมารณ 5-6 นาทีก่อนที่ถั่วจะแตกเม็ด รินเอาน้ำออกซึ่งจะได้น้ำถั่วเขียวที่มีสีเข้มข้นที่สุด ดื่มแล้วมีสรรพคุณขับพิษสูงสุด จากนั้นเอาถั่วเติมน้ำต้มต่อจนเละกินเป็นอาหาร
        หัวใจชอบสีแดงให้กินถั่วแดง
        ม้ามชอบสีเหลืองให้กินถั่วเหลือง
        ปอดชอบสีขาวให้กินถั่วขาว
        ไตชอบสีดำให้กินถั่วดำ

ทำไมถึงให้กินแต่ถั่ว? เพราะตำรายาจีนมีคำว่าคนเรากินถั่วทั้ง 5 จะสมบูรณ์พูนสุขโภชนาการแผนจีนก็เน้นว่ากินไม่พ้นถั่วขอยกตัวอย่างไม่ค่อยสุภาพ ในชนบทเขาใช้ถั่วดำเลี้ยงปศุสัตว์ ทำให้ไตแข็งแรงมีกำลังวังชา สามารถทำงานหนักเตะปี๊บดัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุภาพสตรีควรบริโภคถั่วตลอดชีวิต เพราะนอกจากเป็นประโยชน์ต่ออวัยวะทั้ง 5 แล้ว ในถั่วยังมีสารที่กระตุ้นการทำงานของรังไข่
 
ต่อไปจะพูดถึงรสชาติ

        เปรี้ยวบำรุงตับ
        ขมบำรุงหัวใจ
        หวานบำรุงม้าม
        เผ็ดบำรุงปอด
        เค็มบำรุงไต

หมายความว่า ต้องกินให้ครบทุกรสชาติอย่างละนิด ให้เกิดสมดุล เช่น รสเปรี้ยวบำรุงตับ กินมากตับพัง จีนเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยโรคตับมาก ในจีนเองต้องยกให้มณฑลซันซีครองแชมป์โรคตับ เพราะคนที่นั่นชอบกินน้ำส้มสายชู รสเผ็ดบำรุงปอด กินมากปอดพังเช่นกัน สถิติกระทรวงสาธารณสุขจีนปีที่แล้วระบุว่า ชาวเสฉวนและชาวหูหนันที่อพยพจากจีนใต้ไปอยู่ภาคเหนือ นำเอานิสัยชอบกินพริกติดตัวไปด้วย นานวันเข้าเป็นโรคมะเร็งในปอดตามๆ กัน ทั้งนี้เพราะเหตุว่า ภาคใต้อากาศชื้น กินเผ็ดป้องกันความชื้นได้ แต่ภาคเหนืออากาศแห้ง กินเผ็ดมากจะทำลายปอด พึงจำไว้ว่า ใครอยู่ถิ่นไหนให้กินของถิ่นนั้น ไม่ใช่ว่ากินของได้ทั่วทุกถิ่น
 
กินอาหารอย่างไรจึงจะเหมาะ?

ง่ายนิดเดียว มีหลักการจำดังนี้ สีสัน หยาบ-ละเอียด ดิบ-สุก คาว-เจหมายความว่า กินอาหารต้องคละกันหลากสีและรสชาติ หยาบแข็งควบคู่กับละเอียดนิ่ม สุกควบคู่กับดิบ คาวควบคู่กับเจ ขอแนะนำว่า แต่นี้ไปให้กินผักดิบผลไม้สดแต่ละมื้อ ถ้าเปลือกกินได้ก็กินทั้งเปลือกจะยิ่งดี เพราะแพทย์แผนจีนถือว่า กินของดิบลดอาการร้อนใน แพทย์แผนปัจจุบันก็ถือว่า ผักผลไม้สดดิบให้วิตามินดีกว่า
 
สุดท้ายจะพูดถึงยาบำรุง

เราไม่ต้องเสียเงินมากมายซื้อยามาบำรุงร่างกาย ผักและผลไม้มีวิตามินสูง ถ้ากินให้ถูกวิธี ก็สามารถดูดซึมวิตามินเพียงพอต่อร่างกาย  สิ่งที่ต้องการคือแคลเซียม ผู้หญิงควรกินแคลเซียมวันละ 3000 มก. ขึ้นไป ผู้ชายกินวันละ 4000 มก. ขึ้นไป พร้อมกับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ คนทั่วไปมักเข้าใจผิด คิดว่าแคลเซียมใช้สำหรับรักษาโรคไขข้ออักเสบ ที่จริงแล้วแคลเซียมช่วยกระตุ้นให้โลหิตไหลเวียน นอกจากนั้น ยังป้องกันเส้นโลหิตแข็งตัว ดังนั้น ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ควรกินแคลเซียมให้เพียงพอ เพื่อให้เส้นโลหิตอ่อนตัว ความดันก็จะลดตาม ยาลดความดันก็ไม่ต้องกินมาก
 
            ขอฝากคำขวัญให้ทุกท่าน อยากให้ร่างกายดี กินอาหารถูกวิธี อยากให้สุขภาพเยี่ยม อย่าลืมกินแคลเซียม อย่าลืม อาหารต้องมาก่อนยา เป็นโรคอย่าพึ่งแต่ยา พึงใช้ยาในยามวิกฤติเท่านั้น

ขอส่งท้ายด้วย 4 ประโยคดังนี้ หมอที่ดีที่สุดคือตัวเรา โรงพยาบาลที่ดีที่สุดคือห้องครัว ยาที่ดีที่สุดคืออาหารมีคุณค่า การรักษาที่ดีที่สุดคือเวลา หมายความว่า ตัวคุณเองต้องรู้จักรักษาตัวเอง ห้องครัวในบ้านคุณเป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุด ยากับอาหารมีความหมายเดียวกัน กินอาหารให้ถูกต้องก็คือยาที่ดีที่สุด การรักษาต้องต่อเนื่อง ไม่ใช่ทดลองแล้วก็หยุด หรือเปรียบเสมือนใช้อวนจับปลา 3 วัน แล้วก็ตากอวนหยุดจับปลา 2 วัน ต้องใช้เวลาเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดี
 
            ท้ายที่สุด ผมขอแนะนำดังนี้
            1.    หลังจากฟังคำบรรยายแล้ว นำไปเผยแพร่แก่ญาติมิตร เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพดี และเป็นการทบทวนในตัว
            2.    เขียนข้อความ ก่อนถึงเก้าสิบเก้า ห้ามเข้า(โลง)เด็ดขาดติดไว้หน้าเตียง เพื่อเตือนตัวเองกินให้ถูกวิธี
 
            ก่อนลาจาก ขอให้เราทุกคนตะโกน ยืนหยัดไม่ไป (ตาย) ก่อนอายุ 99�

หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน: ลู่เหยา กับ หม่าลี่ (ยาวหน่อยแต่สอนดีมาก ต้องอ่านครับ)


ลู่เหยา กับ หม่าลี่ เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน
ลู่เหยามีศักดิ์เป็นพี่ เขาแต่งงานมีครอบครัวแล้ว
หม่าลี่ เป็นผู้น้อง ยังไม่ได้แต่งงาน
ลู่เหยามีฐานะยากจน ขณะที่หม่าลี่ฐานะร่ำรวย
ด้วยเหตุนี้ ลู่เหยาจึงได้รับการอุดหนุนจุนเจือจากหม่าลี่เสมอ
วันหนึ่ง ลู่เหยาบอกหม่าลี่ว่า ตนเองต้องการไปแสวงโชคต่างเมือง
อยากจะฝากให้หม่าลี่ช่วยดูแลภรรยาให้
หม่าลี่รับปาก บอกว่าเขาจะดูแลให้ ไม่ต้องเป็นกังวล
....

ตั้งแต่นั้นมา ทุกครึ่งเดือนหม่าลี่จะสั่งให้คนรับใช้
นำของกินของใช้ บรรทุกใส่รถม้าเต็มคันรถ
นำไปให้กับภรรยาของลู่เหยา�
ภรรยาของลู่เหยา จึงคิดว่า
เป็นเช่นนี้ก็นับว่าไม่เลว  ได้รับการโอบอุ้มดูแล
ยิ่งกว่าตอนที่อยู่กับสามีเสียอีก
ไม่ต้องทำงานก็มีข้าวกิน มีเสื้อผ้าสวมใส่
ทำให้นางนึกขอบคุณสามีที่มีน้องร่วมสาบานที่ดีเช่นนี้
....

ครึ่งปีผ่านไป เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไป
คนรับใช้ของหม่าลี่ ไม่ได้นำของไปให้ภรรยาของลู่เหยาอีกแล้ว
ครึ่งเดือนก็แล้ว หนึ่งเดือนก็แล้ว สองเดือนก็แล้ว
ภรรยาของลู่เหยาจึงต้องขายข้าวของที่หม่าลี่เคยส่งไปให้
เพื่อประทังชีวิต ไม่ถึงครึ่งปี ข้าวของทุกอย่างถูกขายจนหมด
นางจึงคิดจะทำงานเพื่อหาเลี้ยงตนเอง
เนื่องจากนางเคยเรียนเย็บปักถักร้อยมาตั้งแต่เด็ก
นางจึงลองเย็บรองเท้าผ้าที่คนสวมใส่กันเป็นประจำขาย
อาจเพราะว่า นางมีฝีมือดี หรือชาวบ้านต่างสงสารนาง
ก็มิอาจทราบได้ ทำให้ชาวบ้านพากันแย่งซื้อรองเท้าของนาง
จนขายหมดเกลี้ยงทุกวัน ไม่ว่านางจะตั้งราคาสูงเพียงใดก็ตาม
....

พริบตาเดียว 10 ปีผ่านไป ลู่เหยาก็กลับมาในคืนหนึ่ง
เมื่อเขารู้ว่า ตั้งแต่เขาจากไป หม่าลี่ไม่เคยมาดูแลภรรยาของตน
และส่งของกินของใช้ให้เพียงครึ่งปี หลังจากนั้น
ก็ไม่ได้ส่งของกินของใช้มาให้ภรรยาของตนอีกเลย
เขาทอดถอนใจ แล้วกล่าวว่า
� คนอยู่น้ำใจอยู่ เมื่อคนจากไปทุกอย่างก็เปลี่ยนไป �
.....

เมื่อหม่าลี่ ทราบข่าวว่าลู่เหยากลับมา จึงส่งคนไปเชิญมาเลี้ยงต้อนรับ
แต่ลู่เหยาปิดประตูไม่รับแขก หม่าลี่จึงไปเชิญลู่เหยาด้วยตนเอง
เขาคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตู จนลู่เหยาจำใจต้องไปที่บ้านของหม่าลี่
ระหว่างกินเลี้ยงกัน ลู่เหยาต่อว่าหม่าลี่ที่ไม่ดูแลภรรยาของตน
ซึ่งเปรียบเสมือนพี่สะใภ้ของหม่าลี่ก็ไม่ปาน
หม่าลี่จึงพาลู่เหยาเข้าไปที่สวนดอกไม้หลังบ้าน
เขาเปิดประตูห้องใหญ่ห้องหนึ่งออก และเชิญลู่เหยาเข้าไป
ลู่เหยาตกตะลึงจนตาค้าง เขาเห็นรองเท้าผ้ากองเต็มห้องไปหมด
ลู่เหยาเข้าใจทันที เขาจึงก้าวถอยออกจากประตูด้วยความละอายใจ
และก้มลงคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูบ้านของหม่าลี่
...

หม่าลี่รีบเข้าไปพยุงให้ลู่เหยาลุกขึ ้น แล้วกล่าวว่า
เรื่องที่พี่ใหญ่ฝากฝังให้ข้าดูแลพี่สะใภ้นั้น ข้าไม่เคยลืมเลย
แต่นึกไม่ถึงว่า ครั้งนี้พี่ใหญ่จะไปเนิ่นนานถึงสิบปี
เดิมทีข้าคิดจะอุดหนุนจุนเจือพี่สะใภ้ด้วยของกินของใช้บริบูรณ์
แต่อีกใจก็คิดว่าเมื่อนางได้มีกินมีใช้อย่างสุขสบาย วันๆไม่ต้องทำอะไร
อาจเป็นเหตุให้นางก่อเรื่องที่มิดีมิงามขึ้นได้
ครั้นข้าจะไปดูแลนาง ก็เกรงว่าจะเป็นที่ครหา ให้นางเสียชื่อเสียง
แล้วหากท่านกลับมา ข้าจะมาสู้หน้าท่านได้อย่างไร
แต่ก้อน่านับถือที่พี่สะใภ้ รู้จักทำมาหากินด้วยความสามารถของนางเอง
สมกับที่ข้าได้ตังใจไว้ ข้าจึงให้คนไปซื้อรองเท้าที่นางทำขายทุกครั้งไป
...
ลู่เหยาได้ฟังแล้วก็ซาบซึ้งยิ่งนัก เขายืนจ้องหน้าหม่าลี่อยู่นาน
สักพักจึงกล่าวประโยคหนึ่งขึ้นมาว่า
ลู่เหยา (หนทางไกล) รู้ใจหม่าลี่(กำลังของม้า) กาลเวลาพิสูจน์ใจคน
คำกล่าวจีนที่ว่า หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน
จึงได้เผยแพร่สืบต่อกันเรื่อยมา โดยเราใช้คำพรรณานี้มองเห็นว่า
ก ารที่เราจะรู้อุปนิสัยใจคอของใครอย่างแท้จริงได้
ก็ต่อเมื่อได้อยู่ร่วมกับเขามาเป็นเวลานานพอสมควรแล้วนั่นเอง
.....

ผมอ่านแล้วรู้สึกชอบเรื่องราวของลู่เหยาและหม่าลี่ครับ
ทำให้มาคิดว่า �
บางครั้งในชีวิตของคนเรานั้น
การจะทำความดี ต้องทำอย่างอดทน ต้องทำอย่างลึกซึ้ง

ต้องทำอย่างไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน
ไม่ต้องหวังว่าทำดีก! ับคนอื่นแล้ว เขาจะต้องดีตอบกับเรา
มิเช่นนั้น เราจะทุกข์ใจหากไม่ได้การตอบแทนตามที่หวังไว้

แม้คนอื่นอาจเข้าใจผิดว่าเราไม่ได้ทำอะไร เปรียบเสมือนผู้ที่ปิดทองหลังพระ
แม้ไม่มีใครมองเห็น แต่ตัวเรามองเห็นตัวเราเอง มองเห็นความดีที่เราทำ..

แค่นี้เราก็อิ่มเอิบใจและมีความสุขแล้ว  

    

       



Tuesday, March 15, 2011

ที่ไหนมีกักขัง ที่นั่นย่อมมีหลีกหนี

กัดดาฟี กับ เหลาจื้อ

ดูเหมือนว่าผู้คนจะทนไม่ได้ อึดอัดและอืดอาด ภายใต้กฎระเบียบที่มากขึ้น จนไม่รักองค์กร ไม่รักผู้ปกครอง ที่ไหนมีกักขัง ที่นั่นย่อมมีหลีกหนี

อยากให้นายพลกัดดาฟี ได้อ่านบทความนี้จริงๆ หลายสัปดาห์แล้ว ที่ผู้คนทั้งโลกกำลังเป็นห่วงเหตุการณ์ประท้วง เดินขบวน และการปราบปรามผู้คนในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในลิเบีย จนส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ภาวะเงินเฟ้อทั่วโลกก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก นั่นหมายความว่า ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคจะยิ่งมีราคาแพงมากขึ้น ซึ่งการประท้วง เดินขบวน ความไม่พอใจของผู้คนจะยิ่งลุกลามไปกันใหญ่ กลายเป็นปัญหาของการปกครองและสถานะของผู้ปกครองประเทศต่างๆ ทั่วโลก  

 เมื่อสองพันปีก่อน ปราชญ์ชาวจีนผู้ยิ่งใหญ่สองท่านมีโอกาสมาพบปะสนทนากัน ระหว่าง “ขงจื๊อ” ผู้ซึ่งยึดมั่นถือมั่นในการปกครองด้วยกฎระเบียบ กติกาที่ดี เพื่อให้สังคมอยู่ได้อย่างปกติสุข ซึ่งไม่ปฏิเสธการใช้อำนาจในการปกครองบ้านเมืองโดยมีข้อแม้ว่าต้องถูกทำนองคลองธรรมและยุติธรรม  ส่วน
“เหลาจื๊อ” ผู้อาวุโสกว่า มุ่งเน้นการปกครองแบบจารีตปฏิบัติตามวิถีแห่งธรรมชาติ อย่างยุติธรรม อย่างมีคุณธรรม ทำให้บ้านเมืองมีนักปกครองที่ดี มีความสงบสุข ทั้งคู่มีแนวทางต่างกัน แต่มีความมุ่งหวังเหมือนกัน

 บทสนทนาของทั้งคู่จบลง เมื่อ “ขงจื๊อ” วัย 35 ปีในขณะนั้นเกิดความเข้าใจและยอมรับที่จะปรับเปลี่ยนปรัชญาการปกครองมาเป็นแบบผสมผสานทั้งกฎระเบียบข้อบังคับและวัฒนธรรม  http://www.neutron.rmutphysics.com/news/index.php?option=com_content&task=view&id=684&Itemid=13

 เมื่อวันก่อนเพื่อนใน facebook ชาวสิงคโปร์ของผม โอดครวญทำนองว่า โรงเรียนอนุบาลที่ลูกเรียนอยู่ ตั้งกฎปรับเงินผู้ปกครองที่มาส่งลูกสาย 5 ดอลลาร์ในทุกๆ 5 นาที  สร้างความไม่พอใจเนื่องด้วยไม่เคยมีการบอกกล่าวกันก่อนหรือหาแนวทางอื่นในการแก้ปัญหานี้ เพื่อนผม comment ด้วยว่าทางโรงเรียนไม่เข้าใจชีวิตในสังคมเมือง ปัญหาจราจรและเส้นทางของการเดินทางที่ค่อนข้างมีข้อจำกัด เพื่อนบางคนเลยแนะนำให้ย้ายโรงเรียน  ขณะที่เพื่อนอีกคน comment ว่า โรงเรียนอื่นๆ ใช้กฎนี้แล้วเช่นกัน ส่วนผม comment ไปว่ายูมาอยู่เมืองไทยสิ…ฮา 

 นี่เป็นตัวอย่างที่เน้นการใช้ Regulation มากกว่า Culture หรือเป็น Culture ที่ยึดติดกับ Regulation ไปซะแล้ว
 ทางกลับกัน โรงเรียนที่ลูกชายผมเรียนอยู่ในเมืองไทย ทุกๆ เช้าผมจะสังเกตเห็นเจ้าของโรงเรียนพร้อมด้วยครูใหญ่ ครูน้อยอีก 4-5 ท่าน มายืนรับเด็กนักเรียน และยกมือไหว้ทักทาย ผู้ปกครอง ครู และพนักงานของโรงเรียนที่ทยอยกันมา ผู้มาถึงก็จะยกมือไหว้ตอบ เจ้าของโรงเรียนยังมารอสวัสดีแต่เช้า ใครจะกล้ามาสายครับ แบบนี้เป็นการสร้าง Culture ที่ดี  ใช้ Regulation น้อยลงซึ่งได้ผลมาก เพราะผู้นำลงมือปฏิบัติเอง ผู้คนเกิดจิตสำนึกที่ดีและให้ความร่วมมือ

 ลูกผมเองเคยเล่าให้ฟังเรื่องของการทำโทษเด็กนักเรียนที่คุยกันในเวลาเรียนว่า ที่โรงเรียนเก่า ครูจะให้ Detention Card ทันทีเมื่อคุยกันและจะถูกกักบริเวณ ขณะที่โรงเรียนใหม่ ครูจะยอมเสียเวลาสอน เรียกนักเรียนที่คุยกันออกมาที่หน้าห้อง (แน่นอนว่า ลูกของผมเป็นหนึ่งในนั้น ไม่เช่นนั้นคงมาเล่าไม่ได้ละเอียด)  อธิบายพร้อมกับจับมือและสบตาเด็กแล้วพูดว่า "ครูจะให้พวกเราคุยกันในช่วงท้ายของเวลา แต่ตอนนี้ขอให้ตั้งใจเพื่อตัวพวกเราเองและไม่รบกวนเพื่อนๆ ที่ตั้งใจเรียน ไม่รบกวนสมาธิของครูในเวลาที่ครูสอน" ลูกเล่าต่อว่า ครูร่ายยาวพูดออกจากใจ ทำให้พวกเด็กๆ รู้สึกผิดที่ไปรบกวนผู้อื่น ซึ่งเมื่อเทียบกับแบบเก่าที่ให้ Detention Card โดยไม่อธิบายความ เด็กจะไม่ค่อยพอใจและไม่ยอมรับ คราวหน้าก็ยังทำผิดอีก 

 อีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือ ที่โรงเรียนเก่าของลูกผม มีครูชาวอังกฤษห้ามเด็กไม่ให้ใช้ศัพท์แบบ American English เช่น ให้ใช้ “to let” ห้ามใช้ “for rent”

ให้ใช้ “take a bath” ห้ามใช้ “take shower” ใครใช้ผิดจะตัดคะแนน แต่ที่โรงเรียนใหม่สอนให้รู้ที่มาของความแตกต่างและให้ใช้ได้ทั้งคู่ ไม่มีการหักคะแนน

 ไล่กันมาตั้งแต่ตะวันออกกลาง ขงจื๊อ เหลาจื๊อ และที่โรงเรียนของลูก ทำให้ย้อนนึกถึงองค์กรที่ทำงาน การปกครองแบบง่ายๆ เป็นกันเอง ไม่มีกฎระเบียบมากมายมักปรากฏให้เห็นในบริษัทห้างร้านใหม่ยามเริ่มต้นกิจการ ต่อเมื่อกิจการขยายใหญ่ขึ้น มีผู้คนเข้ามาร่วมทำงานมากขึ้น จำเป็นต้องกำหนดกฎกติกาและระเบียบต่างๆ ขึ้นเพื่อความเรียบร้อยในการทำงานร่วมกัน แต่ดูเหมือนว่าผู้คนจะทนไม่ได้ อึดอัดและอืดอาด ภายใต้กฎระเบียบที่มากขึ้น  จนไม่รักองค์กร ไม่รักผู้ปกครอง   “ที่ไหนมีกักขัง ที่นั่นย่อมมีหลีกหนี”  ที่สุดคงต้องใช้วิธีการปลูกจิตสำนึกตามแบบฉบับเหลาจื๊อ ดังนั้นแล้ว ยิ่งองค์กรใหญ่ขึ้นยิ่งจำเป็นต้องรณรงค์ให้มีวัฒนธรรมองค์กรที่ดีควบคู่ไปกับกฎระเบียบข้อบังคับอย่างสมดุลอย่างที่ขงจื๊อดัดแปลงมาใช้ในภายหลัง

 องค์กรที่มีวัฒนธรรมที่ดี กฎระเบียบน้อยลง ผู้คนจะมีความสุข องค์กรที่วัฒนธรรมไม่ดี กฎระเบียบเยอะ ผู้คนมักไม่มีความสุข ซึ่งทุกวันนี้หลายองค์กรยังคงยึดหลักกฎข้อบังคับมากกว่าการสร้างวัฒนธรรมที่ดี เพราะคิดว่าง่ายกว่ากันเยอะ ตรงไปตรงมา แต่หารู้ไม่ว่า เป็นการบั่นทอนกำลังใจและพลังแห่งความสำเร็จ อีกทั้งยังก่อให้เกิดต้นทุนสูงที่แอบซ่อนอยู่อย่างไม่รู้ตัว  การผลักดันให้พนักงานช่วยกันคิดสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดีต่างหาก จะเป็นการลดต้นทุน ค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นได้อย่างมากมายมหาศาล เพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ ราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น ค่าพลังงาน ค่าขนส่ง ที่สูงขึ้นทุกๆ วัน ที่สำคัญการสร้างวัฒนธรรมที่ดี ไม่ต้องใช้เงินลงทุนเหมือนอย่างการลดต้นทุนในรูปแบบอื่นและยังเป็นการสร้างความยั่งยืนให้กับองค์กรสืบต่อไป

 หลายคนมองหน้าที่การสร้างวัฒนธรรมองค์กรเป็นของ Human Resource แต่ความเป็นจริงนั้นมาจากตัวเราทุกคน คลิกลิงค์ข้างล่างชมตัวอย่างที่คนทุกสาขาอาชีพแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการสร้างสังคมดีๆ  http://www.facebook.com/video/video.php?v=1580321060954&saved

 เสียดายที่นายพลกัดดาฟีไม่ได้มีโอกาสสนทนากับเหลาจื๊อ  ข้าวของจึงแพงขึ้นทุกวันทุกวัน แม้แต่น้ำเต้าหู้ที่เคยกินประจำถุงละ 5  บาท เช้านี้ขายถุงละ 13 บาท สงสัยแม่ค้าจะบวกค่าตกใจกับปัญหาที่ลิเบียหรือไม่ก็ข่าวราคาน้ำมันปาล์มเข้าไปด้วย หรือไม่ก็คงมีสายบอกให้รู้ว่า ถั่วเหลืองกับน้ำตาลกำลังจะขึ้นราคาตามมา