กตัญญูเป็นโอสถประเสริฐ เป็นคุณแก่ตนเองทั้งร่าง กายจิตใจ [25 ธ.ค. 51 - 01:00] |
|
http://www.thairath.co.th/news.php?section=technology&content=116490
กตัญญูเป็นโอสถประเสริฐ เป็นคุณแก่ตนเองทั้งร่าง กายจิตใจ [25 ธ.ค. 51 - 01:00] |
|
http://www.thairath.co.th/news.php?section=technology&content=116490
คิดอย่างอัจฉริยะ
คอลัมน์ book is capital
[Image]
เรามักจะพูดถึงคนที่เป็นอัจฉริยะ กันบ่อยๆ
คนที่เป็นอัจฉริยะเป็นยังไง ?
การ เป็นอัจฉริยะนั้น ไม่ใช่แค่พรสวรรค์หรือสวรรค์บันดาล แต่เป็นการฝึกปรือวิทยายุทธ์ให้กล้าแกร่ง อยากเป็นเลิศทางด้านใด ก็ฝึกปรือด้านนั้น ถ้าอยากเป็นทั้งคนเก่ง คนดี สุขภาพแข็งแรง และมีความสุขที่สุดในโลกก็ต้องเริ่มฝึกฝนกันตั้งแต่วันนี้
นั่นย่อมแสดงว่าอัจฉริยะสร้างได้!
ใน หนังสือ "ชนะชีวิต คิดอย่างอัจฉริยะ" ซึ่งเขียนโดย ผศ.ธีระศักดิ์ กำบรรณารักษ์ นักจิตวิทยา ซึ่งเชี่ยวชาญด้าน AQ และ EQ มีหลายแง่มุมที่สามารถนำปรับเพื่อเสริม ภูมิปัญญาให้กับตัวเอง เพื่อความสุขและความสำเร็จของชีวิต
"ผศ.ธีระศักดิ์" มองว่า ท่ามกลางความวุ่นวายของสังคม เนื่องจากปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจ ของประเทศไทย ทำให้คนไทยมีความสุขน้อย ฉะนั้นควรจะเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ด้วย 6Qs
IQ-Intelligence Quotient เชาวน์ปัญญา
EQ-Emotional Quotient เชาวน์อารมณ์
AQ-Adversity Quotient เชาวน์ความอึด
MQ-Moral Quotient เชาวน์จริยธรรม
HQ-Health Quotient เชาวน์สุขภาพ
SQ-Spiritual Quotient เชาวน์ อัจฉริยภาพ
และ เขาเชื่อว่า SQ หรือ เชาวน์ อัจฉริยภาพ นั้นเป็นเป้าหมายสูงสุดที่จะทำให้คนมีสติ ส่งผลให้ทำบาปต่อตนเองและผู้อื่นน้อยลง ช่วยให้คนตระหนักถึงสายใยที่มวลมนุษยชาติมีต่อกัน
เขาแนะนำแนวทาง เสริมสร้าง อัจฉริยภาพสูงสุด โดยเรียนรู้ความ อัศจรรย์ของจิต เช่น ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ผ่อนคลายจิต ต่อด้วยเสริมสร้างพลังจิตวิญญาณ เช่น สั่งจิตในทางบวกและปรารถนาในสิ่งดีๆ ตามด้วยเสริมสร้าง พลังสมองด้วยการฝึกคิด และเสริมสร้างความจำด้วยการพกพาสมุดเล็กๆ ติดตัว
ใครที่สนใจเรื่องแบบนี้ก็ลองหามาศึกษาดู ซึ่งอาจจะเป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถสร้างความสุขและสร้างความสำเร็จให้แก่ชีวิตคุณได้
|
"ดวง"
By nives
คน ที่มีเหตุผลมากๆ อย่าง Value Investor หลายๆ คนมักจะไม่เชื่อเรื่องของ "ดวง" เขาไม่เชื่อว่า ดวงดาว และเวลาตกฟากของคน จะเกี่ยวข้องอะไรกับความสำเร็จ หรือล้มเหลวของคนคนนั้น มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์ และไม่สามารถหาความสัมพันธ์ที่เป็นเหตุเป็นผลกันได้ เหนือสิ่งอื่นใด ในเวลานาทีใดนาทีหนึ่ง ก็มีคนเกิดกันเป็นร้อยเป็นพัน เป็นไปไม่ได้ที่คนทั้งหมดจะมีชะตาหรือความสำเร็จคล้ายๆ กัน แต่เรื่องนี้หมอดู ก็มักจะบอกว่าการดูหมอ จะต้องคำนึงถึงฐานะ และพื้นเพของคนคนนั้นด้วย ถ้าเขามีฐานะสูงหรือดีอยู่แล้ว การมีดวงชะตาที่ดีด้วย ก็จะทำให้เขาประสบความสำเร็จสูง ส่วนคนที่เกิดจากครอบครัวที่มีฐานะต่ำต้อย ดวงชะตาก็อาจช่วยอะไรไม่ได้มาก
ผมเองคิดว่า "ดวง" หรือวันเวลาที่เราเกิดนั้น น่าจะมีผลต่อความสำเร็จของคนอยู่ไม่น้อย เช่นเดียวกัน ฐานะของตัวเขาก็มีส่วนสำคัญมาก แต่ฐานะที่ว่านี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของเงินทอง หรือฐานะทางสังคม ว่าที่จริงบางครั้งฐานะที่ยากจนอาจจะเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คนคนหนึ่งประสบ ความสำเร็จก็ได้ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า ก็คือ IQ หรือความฉลาดของเขานั้น ผมคิดว่าคนที่จะประสบความสำเร็จส่วนมากจำเป็นต้องมี IQ สูงในระดับหนึ่ง
นอกจากเรื่องของดวงที่เป็นวันเกิด ฐานะหรือสถานะของเขาแล้ว บรรยากาศ หรือสถานที่ที่เขาอยู่รวมถึงเหตุการณ์แวดล้อมต่างๆ จะต้องเหมาะสมเป็นใจด้วย นั่นก็คือ คนที่เกิดในประเทศไทย ในเวลาเดียวกับคนที่เกิดในอเมริกา หรือคนที่เกิดในแองโกลา ทั้งๆ ที่มี IQ เท่าๆ กัน โชคชะตาและความสำเร็จก็มักจะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ดูแล้วความคิดของผมนั้นดูเหมือนว่า จะเป็นคนที่เชื่อเรื่องโหราศาสตร์แต่ที่จริงผมคิดว่าไม่ใช่ จริงอยู่ ผมเชื่อว่าเวลาหรือปีเกิดนั้น มีผลต่อความสำเร็จของคนแต่สิ่งนี้ไม่ได้ขึ้น หรือเกี่ยวกับดวงดาว ดังนั้นการทำนายความสำเร็จ หรือโชคชะตาของคนจากดวงดาว จึงไม่สามารถอธิบายได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ แต่สิ่งที่ทำให้ผมเชื่อเรื่องดวงนั้น มาจากการศึกษาของนักจิตวิทยาและนักสังคมวิทยาที่เรียกว่า "Matthew Effect" ที่อธิบายว่า ทำไมคนที่เกิดในบางช่วงเวลาจึง "ดวง" และประสบความสำเร็จสูงกว่าคนที่เกิดในช่วงเวลาอื่น ทั้งที่ IQ ความสามารถ สถานะทางครอบครัว และสถานที่เกิดเหมือนกัน
ปรากฏการณ์ Matthew Effect นั้น มาจากการที่นักจิตวิทยาคนหนึ่ง พบว่า นักเล่นฮอกกี้ของแคนาดาที่เป็นดาราทั้งหลายนั้น ต่างก็มีวันเกิดตกอยู่ในช่วงเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคมเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่คนเกิดเดือนธันวาคมมีน้อยที่สุด เหตุผลที่เขาพบก็คือ ในแคนาดาซึ่งฮอกกี้เป็นกีฬายอดนิยมนั้น เขามีการเล่นแข่งขันเป็นลีกตั้งแต่เด็กทุกขวบปี เช่น อายุ 10 ขวบแข่งกันเอง อายุ 11 ขวบเป็นอีกลีกหนึ่ง ไปเรื่อยๆ เวลาคิดอายุเขาจะตัดกันที่วันที่ 1 มกราคม นั่นก็คือถ้าเด็กอายุครบ 10 ขวบในวันที่ 2 มกราคม เขาก็สามารถเล่นร่วมกับเด็กที่อายุครบ 10 ขวบในวันสิ้นปี
ผลก็คือ เด็กที่เกิดในวันที่ 2 มกราคม ก็จะเป็นเด็กที่มีอายุมากที่สุดในลีกคือมากกว่าคนที่มีวันเกิดในวันที่ 31 ธันวาคมเกือบ 1 ปี
การมีอายุมากกว่าหลายเดือน หรือหนึ่งปีสำหรับเด็กอายุ 10 ขวบนั้นเป็นความได้เปรียบพอสมควรทีเดียว เพราะเขาจะตัวโตกว่า มีความเป็น "ผู้ใหญ่" มากกว่า ดังนั้นเวลาแข่งขันเขาก็จะเด่นกว่า จากจุดนั้น เขาก็มีโอกาสได้รับการคัดเลือกให้ไปเล่นในลีกต่อไปมากกว่า ได้รับการฝึกฝนที่ดีกว่า การเป็นผู้เล่นที่เด่นทำให้เขามีกำลังใจฝึกฝนมากกว่า กระบวนการนี้ทำให้เขาเก่งและเด่นขึ้นไป และได้เปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ ที่นักสังคมวิทยาเรียกว่า "Accumulative Advantage" จนในที่สุดเขาก็กลายเป็นซูเปอร์สตาร์
เรื่องของ Matthew Effect ยังถูกนำไปอธิบายว่าทำไม บิล เกตส์ และ สตีบ จอบส์ กลายเป็นราชันของวงการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เหตุผลคร่าวๆ ก็คือ พวกเขาเกิดในช่วงปี 1955 ซึ่งทำให้พวกเขาโตเป็นวัยรุ่นในช่วงที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลกำลังเกิดขึ้น ทั้ง บิล เกตส์ และจอบส์ ต่างก็ "โชคดี" ที่มีโอกาสที่จะเข้าถึงหรือ "เล่น" เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่าง "แทบไม่จำกัด"
ในขณะที่คนอื่นที่อายุมากกว่า ก็อาจจะทำงาน และอาจยุ่งอยู่กับคอมพิวเตอร์ตัวใหญ่ทั้งหลาย หรือคนที่อายุยังน้อยเกินไปที่จะเรียนรู้หรือสามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ส่วน บุคคลได้ นั่นทำให้เขาทั้งคู่เป็น "เซียน" และเมื่อคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแพร่หลายไป เขาทั้งสองก็สามารถเข้าไปยึดหัวหาด และสร้างความสำเร็จเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนคนอื่นตามไม่ทัน
ผมไม่แน่ใจว่ามีใครพูดถึง วอร์เรน บัฟเฟตต์ หรือไม่ แต่ผมคิดว่าเขาก็น่าจะเป็นผลผลิตจาก Matthew Effect อยู่เหมือนกัน เหนือสิ่งอื่นใด จอร์จ โซรอส เองก็อายุใกล้เคียงกับ บัฟเฟตต์ ดวงของนักลงทุนระดับโลกเอง อาจจะอยู่ในอายุประมาณ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เหตุผลอาจจะประมาณว่า นี่คือคนที่โตขึ้นมาจนสามารถเริ่มลงทุนได้ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และโลกมีประชากรเติบโตมากมหาศาลหลังสงคราม มีการพัฒนาทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และอาจจะรวมถึงการตีพิมพ์ของหนังสือการลงทุนที่สำคัญ เช่น Intelligent Investor ที่ทำให้บัฟเฟตต์สามารถศึกษาและปฏิบัติได้มากและนานกว่าคนอื่น
นอกจากตัวบุคคลแล้ว ผมคิดว่า บริษัทอาจจะมี "ดวง" ที่ดีจนทำให้บริษัทประสบความสำเร็จมหาศาลได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในประเทศไทย น่าจะรวมถึงเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ซึ่งทำให้บริษัทค้าปลีกสมัยใหม่หลายๆ บริษัทที่ในภาวะนั้น เริ่มตั้งกิจการ หรือเป็นกิจการที่มีอยู่ แต่ไม่ได้มีปัญหาทางการเงินสามารถขยายสาขาเพิ่มขึ้น ในขณะที่คู่แข่งค่อยๆ ตายไป ความได้เปรียบของบริษัทที่ "ดวงดี" ในตอนแรกๆ ก็ไม่มาก แต่เวลาผ่านไปพร้อมๆ กับสาขาที่เพิ่มขึ้นทำให้การได้เปรียบมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็สามารถกลายเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งที่คนอื่นตามไม่ทัน
ทั้งหมดก็คือ เรื่องของดวงที่เราสามารถอธิบายได้ว่าทำไมคนคนหนึ่งหรือบริษัทหนึ่ง จึงได้ประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดนั้น แต่นั่นคือคำอธิบายในเรื่องอดีตที่ผ่านมาแล้ว มันไม่สามารถอธิบายอนาคตได้โดยเฉพาะในช่วงที่เกิด ใครจะไปรู้ว่าวันที่บัฟเฟตต์เกิด และต่อมาอีก 25 ปี เขาจะเริ่มลงทุนเป็นอาชีพในช่วงที่ดีที่สุดของอเมริกา และเขาจะได้เจอ เบน เกรแฮม ที่สอนเขาเกี่ยวกับ Value Investment และนี่ก็คือ ความแตกต่างที่แยกผมจากความเชื่อทางโหราศาสตร์ นั่นคือ ผมเชื่อว่าดวงมีจริง แต่ทำนายจากดวงดาวไม่ได้
ธรรมชาติของ "ความรัก"!
"ที่เราต้องเจ็บปวดกับความรักน่ะ ไม่ใช่เพราะมันจากไปหรอก
...แต่เพราะมันยังคงอยู่ต่างหาก"
ถ้าวันนี้คนสองคน ต่างหมดรักกันไป คงไม่มีใครต้องเสียใจมากนัก
แต่กลับเป็นเพราะรักที่ยังอยู่ในใจคุณนั่นเอง ที่ทำให้คุณปล่อยวางลงไม่ได้
ธรรมชาติของรัก มักไม่ให้โทษแก่ใคร
เพียงแต่อาจปรุงแต่งให้หัวใจพองฟูจนลืมนึกถึงความจริงที่ว่า
"มีวันที่รักมา.. ก็อาจมีวันที่รักไปได้"
....ความรักเป็นสิ่งสวยงาม ...
หลายคนจึงอดหลงใหลได้ปลื้มกับมันไม่ได้ในยามที่มันอยู่
คนเรามักหลอกตัวเองว่าเพราะเรารักเขามาก
เขาคงเห็นความดีความตั้งใจของเรา
และรักเราตอบบ้าง ไม่มากก็น้อย
และเมื่อเขาตอบรับรักของเรา เราก็สมหวังในรัก
และทำให้เรารู้สึกยึดมั่นได้ว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของเรา
เป็นเหมือนทรัพย์สินส่วนตัวทางใจอย่างหนึ่ง
ที่จะต้องอยู่กับเราทุกครั้งที่เราต้องการ
นานเท่าที่เราปรารถนา....
ความรู้สึกอันนี้แหละคือจุดเริ่มของความเจ็บปวดทั้งมวล
...เพราะมันฝืนกฎธรรมชาติ
ไม่ได้บอกว่า...รักต้องลงเอยด้วยความเศร้าเสมอไป
เพียงแต่ถ้าเขาจะอยู่ เขาจะไป จะรักคุณมากขึ้น คงเดิม หรือลดน้อยถอยลง
ก็จะเป็นเพราะคนสองคน ...
ไม่ใช่ความต้องการของเราฝ่ายเดียว หรือเขาฝ่ายเดียว
ชีวิตเป็นเรื่องซับซ้อนเข้าใจยาก...
แต่ในความซับซ้อนนั้น มันก็เรียบง่ายอย่างที่เรานึกไม่ถึง
เพราะไม่ว่าสิ่งไหน เรื่องอะไรสารพัดสารพัน ทุกอย่างล้วนแต่อยู่ในกฎเดียวกัน
มันจะเกิดขึ้น....ตั้งอยู่ ... แปรสภาพแล้วก็จบลง
รักที่สมหวังอยู่กันจนแก่เฒ่า ก็หนีไม่พ้นกฎข้อนี้
เพราะวันหนึ่ง ไม่เราก็เขาก็ต้องตายจากกัน
สิ่งสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า...วันนี้เขาอยู่หรือจากไป
สำคัญที่ว่า...ช่วงที่เรามีเวลาอยู่ด้วยกัน
ขอให้มีความทรงจำที่ดี...ก็เพียงพอแล้ว
อย่างน้อย เราก็ยังมีอะไรดีดีให้นึกถึง
และยิ้มให้ความทรงจำนั้นได้
ถึงวันนี้จะยังร้องไห้ ก็คงไม่เป็นไร
เพราะชีวิตก็แบบนี้ …มีวันที่เลวร้าย มีวันที่สวยงาม มีวันที่ว่างเปล่า
สุขก็อยู่กับเราไม่นาน ทุกข์ก็อยู่กับเราไม่นาน
สุขเคยแวะผ่านมาแล้วก็ไป ทุกข์ก็เป็นเฉกเช่นกัน
ถ้าหากคุณร้องไห้ให้กับความรักแล้ว...ก็ขออย่าร้องเปล่าๆ
ขอให้คุณมองให้เข้าใจสัจธรรมของชีวิตไปด้วยนะค่ะ…
เยี่ยมชมเว็บไซด์ ศูนย์ให้คำปรึกษา ได้ที่ http://counsel.spu.ac.th
สิ่งมีค่า..ที่แท้จริง
ไม่ได้อยู่ที่.. การมองเห็น..
หากแต่อยู่ที่..
~สิ่งที่เรา..มองไม่เห็น~
~ความรัก..ที่แท้จริง~
ไม่ได้อยู่ที่.. เราได้ทำอะไร.. แล้วมีคน..รับรู้..
หากแต่อยู่ที่.. สิ่งที่เรา..กระทำ.. แล้วไม่มีใคร..รับรู้ ..~
~ความรัก~
บางครั้ง.. ไม่จำเป็น.. ต้องพูดพร่ำเพรื่อ..
หากแต่อยู่ที่.. ..การกระทำ..
ซึ่งเรา..อาจรับรู้.. เพียงแค่..ฝ่ายเดียว
กฏการปฏิบัติ เพื่อน้อมใจเข้าสู่ธรรมชาติอย่างสมบูรณ์ (Secret of Nature)
กฏธรรมชาติ 5 ข้อ เพื่อความหลุดพ้น/ความเป็นอิสรด้านจิตใจ
1.ถอนตัวจากโครงสร้างที่ซับซ้อน (หลีกเลี่ยงกรรมใหม่-กรรมที่อาจจะเกิดขึ้น) ตัดสายของปฏิจสมุปบาท (เหตุและผลของการปรุงแต่ง) ที่ซับซ้อนกับวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์แต่ละบุคคล
2. เป็นธรรมชาติเดิม (ความสงบ) ล้างอนุสัย (ล้างและล้วงอารมณ์ความยึดมั่นถือมั่นเก่าๆ ด้วยการปล่อยวางหรือวางธรรมชาติทั้งปวง) โดยพิจารณาธาตุตามธรรมชาติ และสมมติบัญญัติต่างๆ-เงื่อนไขหรือบทบัญญัติที่สมมติเพื่อใช้ร่วมกันที่ผ่าน วัน เดือน ปี จากอดีต ถึงปัจจุบัน
3. อยู่ไปเรื่อยเรื่อย ตามเหตุปัจจัยที่เหมาะสมของแต่ละบุคคล (พิจารณาการปล่อยวางสมมติด้านกาลเวลา)
4. แต่ก่อนวัตถุต่างๆ มันไม่มี ซึ่งมีแต่ป่า (พิจารณาความจริงจากสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติเดิมที่อยู่รายรอบตัวเรา)
5. มนุษย์เป็นเพียงแค่สิ่งมีชีวิตหนึ่งเท่านั้น ที่อยู่อาศัยบนโลก (พิจารณาความจริงจากตนเอง)