'เกลือ' และ 'น้ำ'
สุนทรพจน์ของ"เจอรี่ ซักเกอร์" ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง เจ้าของผลงาน "Ghost"
"ซักเกอร์" กล่าวสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน ที่เขาเรียนจบมา
เขาบอกว่าคงไม่มีอาจารย์คนไหนจะเชื่อว่าวันหนึ่งเขาได้รับเชิญมากล่าวสุนทรพจน์ในวันรับปริญญาของมหาวิทยาลัย
เพราะไมมีใครคิดว่าเขาจะประสบผลสำเร็จในชีวิต
"ผมรู้สึกขอบคุณโชคชะตาที่ผมไม่เคยเสียเวลาไปกับความพยายามที่จะเป็นสิ่งที่คนอื่นมองว่าผมควรจะเป็น"
"ซักเกอร์" มีกฎแห่งความสำเร็จ 5 ข้อมาแนะนำ
"กฎที่คุณจะลืมอย่างรวดเร็ว แต่ในอีกหลายปีให้หลัง คุณจะเตะตัวเองที่ไม่ทำตาม"
กฎข้อที่หนึ่ง อย่าคิดถึงอนาคตของคุณ
"ซักเกอร์" นั้นทำงานในวงการบันเทิงที่ทุกคนรอ "The next big thing" ที่ยังมาไม่ถึง
"ไม่ว่าความฝันคุณจะเป็นจริงหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่อย่าเสียเวลาไปกับการนอนหลับ จงออกไปตามหาความฝัน"
กฎข้อสอง อย่าทำอะไรก็ตามที่อีก 30 ปีต่อไปคุณจะมองกลับมาแล้วพูดว่า
"โอ้ พระเจ้า ฉันทำแบบนี้ลงไปได้อย่างไร"
"ซักเกอร์" บอกว่าเขาจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้โดยปราศจากทักษะใด ๆ ที่จะหางานได้
แต่เขาเลือกทำงานที่เขารัก
"ถ้าคุณมีความฝัน นี่คือ เวลาที่จะไล่ตามมัน"
กฎข้อสาม "ซักเกอร์" เรียกมันว่า "กฎของคุณยายซูบัตสกี"
คุณยายซูบัตสกี เป็นเพื่อนบ้านของ "ซักเกอร์"
วันหนึ่ง ไฟไหม้บ้านของเขา ขณะที่นักดับเพลิงกำลังลากสายยาง
และเริ่มต่อบันไดเหล็กเพื่อที่จะพาดมันที่ผนังตามขั้นตอนที่ฝึกมา
คุณยายซูบัตสกี ที่กำลังซักผ้าอยู่ที่ระเบียงบ้าน
มองเห็นนักดับเพลิงกำลังพะวงกับการต่อบันไดเหล็ก
เธอรีบตะโกนบอกนักดับเพลิงว่า "ลืมบันไดซะแล้วเอาสายยางฉีดน้ำใส่ไฟเลย"
นักดับเพลิงลังเลนิดนึงก่อนที่จะทำตาม
เพียงแค่ 40 วินาที เขาก็สามารถดับไฟที่ไหม้หลังคาบ้านลงได้
จากเหตุการณ์นี้ "ซักเกอร์" บอกว่ามันได้สอนเขา 2 เรื่อง
เรื่องแรก อย่าคิดว่าทุกคนรู้วิธีทำงานเพียงเพราะเป็นงานของเขา
เรื่องที่สอง อย่ายอมถูกข่มขวัญด้วยมืออาชีพในเครื่องแบบของเขา
ดังนั้นเมื่อ "ซักเกอร์" เข้าสู่วงการภาพยนตร์ที่เขาไม่รู้จักใครเลย
เขาจึงทำแบบเดียวกับ "คุณยายซูบัตสกี"
"ผมนั่งบนระเบียบดูคนอื่นทำงาน แล้วพูดว่า ผมมีไอเดียวดีกว่าแล้วลงมือทำ"
เขาแนะนำนักศึกษาว่าถ้าใครมีไอเดียที่ดี มีแผนที่มีเหตุผล และมีวิสัยทัศน์
"อย่ายอมให้มืออาชีพหรือเครื่องแบบของเขาหยุดยั้งพวกคุณจากการบอกใครก็ตาม
ว่าเขาควรจะหันสายยางไปทางไหน"
....จงเชื่อมั่นในตัวของเราเอง
กฎข้อสี่ ถ้าจะล้มเหลวก็ล้มเหลวอย่างยิ่งใหญ่ ไม่เช่นนั้นคุณจะไม่มีวันสร้างความแตกต่างได้เลย
"ซักเกอร์" บอกว่าอุปสรรคที่สำคัญที่สุดก็คือความกลัวที่จะถูกคนฉีกหน้า กลัวว่าจะอับอายหรือถูกหัวเราะเยาะ
เขาเล่าถึงวันที่เขาล้มเหลวจากหนังเรื่องหนึ่งและนั่งกินพายปรับทุกข์กับเพื่อนร่วมงานในร้านกาแฟ
ถึงความอับอายที่ถูกนักวิจารณ์สับหนังเรื่องนี้เสียเละ
"จอห์น ทราโวลต้า" เดินเข้ามาในร้าน
"ซักเกอร์" ระบายความอัดอั้นตันใจให้ "ทราโวลต้า" ฟัง
"ทราโวลต้า" ยิ้มแล้วบอกว่าสิ่งที่ทุกคนต้องจำไว้ก็คือไม่มีใครหมกมุ่นหรือสนใจในความล้มเหลวครั้งนี้เท่ากับพวกเขา
"สำหรับคนอื่น คุณเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ บนจอเรดาร์ ดังนั้น จงลืมเรื่องนี้ไปเสีย" ก่อนจะตบท้ายเรียกรอยยิ้ม
"ว่าแต่คุณจะกินพายชิ้นนั้นให้หมดหรือเปล่า"
ไม่มีใครสนใจเรื่องของเราเท่ากับตัวเรา
ดังนั้น ทุกครั้งที่ "ซักเกอร์" ประสบความล้มเหลว
สิ่งที่เขาทำก็คือเดินออกไปซื้อพายแอปเปิ้ลมากินแล้วก็ดำเนินชีวิตต่อไป
กฎข้อสุดท้าย จงรักคนอื่นให้เป็น เพราะถ้าเรารักใครเป็นมันจะทำให้เรามีความสุขมากกว่าสิ่งอื่น ๆ ที่ทำในชีวิต
"ซักเกอร์" ให้จินตนาการว่าถ้าโลกทั้งใบเหมือนกับแก้วใส่น้ำใบใหญ่
มีเกลืออยู่ในแก้วเล็กน้อย
น้ำในแก้วจึงมีรสเค็ม
วิธีการแก้รสเค็มในน้ำมันมีอยู่ 2 ทาง
ทางแรก คือ พยายามหยิบเม็ดเกลือออก หรือ ทางที่สอง เติมน้ำลงไปเพื่อให้ความเค็มเจือจางลง
"ซักเกอร์" บอกว่าเมื่อวันที่ทุกคนเริ่มออกเดินทาง จะเจอสิ่งที่ไม่ชอบมากมาย
ความพยายามที่จะกำจัดสิ่งที่เราไม่ชอบนั้นเป็นเรื่องยาก
หนทางที่ดีกว่าคือพยายามเติมความรักให้มากขึ้นเรื่อย ๆ
"ความรักเป็นสิ่งเดียวที่คุณให้ไปมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งมีมันมากขึ้นเท่านั้น"
ผมนึกเปรียบเทียบกับ "ปัญหา" ในการทำงาน
"ปัญหา" ก็เหมือน "เม็ดเกลือ"
ไม่มีทางที่เราจะกำจัดปัญหาออกจากชีวิตเราได้หมด
การแก้รสเค็มในชีวิต ก็คือ ต้องพยายามเพิ่มความสุขและความสนุกในการทำงาน
เราไม่สามารถทำให้ "ปัญหา" หมดไปไม่ได้
แต่เราทำให้มันเจือจางลงได้
และสุดท้าย "ซักเกอร์" บอกว่า "ความสำเร็จ" ในชีวิตนั้น
"อย่าวัดตัวเองด้วยความสำเร็จของคุณ แต่จงวัดมันด้วยความสุขของผู้คนรอบตัวคุณ"
เพราะถ้าคุณทำให้คนรอบตัวคุณมีความสุข เมื่อนั้น คุณจะทำอะไรก็ได้
ไปไหนก็ได้
และล้มเหลวเรื่องอะไรก็ได้
แฮ่ม....แต่อย่าบ่อย
สุนทรพจน์ของ"เจอรี่ ซักเกอร์" ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง เจ้าของผลงาน "Ghost"
"ซักเกอร์" กล่าวสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน ที่เขาเรียนจบมา
เขาบอกว่าคงไม่มีอาจารย์คนไหนจะเชื่อว่าวันหนึ่งเขาได้รับเชิญมากล่าวสุนทรพจน์ในวันรับปริญญาของมหาวิทยาลัย
เพราะไมมีใครคิดว่าเขาจะประสบผลสำเร็จในชีวิต
"ผมรู้สึกขอบคุณโชคชะตาที่ผมไม่เคยเสียเวลาไปกับความพยายามที่จะเป็นสิ่งที่คนอื่นมองว่าผมควรจะเป็น"
"ซักเกอร์" มีกฎแห่งความสำเร็จ 5 ข้อมาแนะนำ
"กฎที่คุณจะลืมอย่างรวดเร็ว แต่ในอีกหลายปีให้หลัง คุณจะเตะตัวเองที่ไม่ทำตาม"
กฎข้อที่หนึ่ง อย่าคิดถึงอนาคตของคุณ
"ซักเกอร์" นั้นทำงานในวงการบันเทิงที่ทุกคนรอ "The next big thing" ที่ยังมาไม่ถึง
"ไม่ว่าความฝันคุณจะเป็นจริงหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่อย่าเสียเวลาไปกับการนอนหลับ จงออกไปตามหาความฝัน"
กฎข้อสอง อย่าทำอะไรก็ตามที่อีก 30 ปีต่อไปคุณจะมองกลับมาแล้วพูดว่า
"โอ้ พระเจ้า ฉันทำแบบนี้ลงไปได้อย่างไร"
"ซักเกอร์" บอกว่าเขาจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้โดยปราศจากทักษะใด ๆ ที่จะหางานได้
แต่เขาเลือกทำงานที่เขารัก
"ถ้าคุณมีความฝัน นี่คือ เวลาที่จะไล่ตามมัน"
กฎข้อสาม "ซักเกอร์" เรียกมันว่า "กฎของคุณยายซูบัตสกี"
คุณยายซูบัตสกี เป็นเพื่อนบ้านของ "ซักเกอร์"
วันหนึ่ง ไฟไหม้บ้านของเขา ขณะที่นักดับเพลิงกำลังลากสายยาง
และเริ่มต่อบันไดเหล็กเพื่อที่จะพาดมันที่ผนังตามขั้นตอนที่ฝึกมา
คุณยายซูบัตสกี ที่กำลังซักผ้าอยู่ที่ระเบียงบ้าน
มองเห็นนักดับเพลิงกำลังพะวงกับการต่อบันไดเหล็ก
เธอรีบตะโกนบอกนักดับเพลิงว่า "ลืมบันไดซะแล้วเอาสายยางฉีดน้ำใส่ไฟเลย"
นักดับเพลิงลังเลนิดนึงก่อนที่จะทำตาม
เพียงแค่ 40 วินาที เขาก็สามารถดับไฟที่ไหม้หลังคาบ้านลงได้
จากเหตุการณ์นี้ "ซักเกอร์" บอกว่ามันได้สอนเขา 2 เรื่อง
เรื่องแรก อย่าคิดว่าทุกคนรู้วิธีทำงานเพียงเพราะเป็นงานของเขา
เรื่องที่สอง อย่ายอมถูกข่มขวัญด้วยมืออาชีพในเครื่องแบบของเขา
ดังนั้นเมื่อ "ซักเกอร์" เข้าสู่วงการภาพยนตร์ที่เขาไม่รู้จักใครเลย
เขาจึงทำแบบเดียวกับ "คุณยายซูบัตสกี"
"ผมนั่งบนระเบียบดูคนอื่นทำงาน แล้วพูดว่า ผมมีไอเดียวดีกว่าแล้วลงมือทำ"
เขาแนะนำนักศึกษาว่าถ้าใครมีไอเดียที่ดี มีแผนที่มีเหตุผล และมีวิสัยทัศน์
"อย่ายอมให้มืออาชีพหรือเครื่องแบบของเขาหยุดยั้งพวกคุณจากการบอกใครก็ตาม
ว่าเขาควรจะหันสายยางไปทางไหน"
....จงเชื่อมั่นในตัวของเราเอง
กฎข้อสี่ ถ้าจะล้มเหลวก็ล้มเหลวอย่างยิ่งใหญ่ ไม่เช่นนั้นคุณจะไม่มีวันสร้างความแตกต่างได้เลย
"ซักเกอร์" บอกว่าอุปสรรคที่สำคัญที่สุดก็คือความกลัวที่จะถูกคนฉีกหน้า กลัวว่าจะอับอายหรือถูกหัวเราะเยาะ
เขาเล่าถึงวันที่เขาล้มเหลวจากหนังเรื่องหนึ่งและนั่งกินพายปรับทุกข์กับเพื่อนร่วมงานในร้านกาแฟ
ถึงความอับอายที่ถูกนักวิจารณ์สับหนังเรื่องนี้เสียเละ
"จอห์น ทราโวลต้า" เดินเข้ามาในร้าน
"ซักเกอร์" ระบายความอัดอั้นตันใจให้ "ทราโวลต้า" ฟัง
"ทราโวลต้า" ยิ้มแล้วบอกว่าสิ่งที่ทุกคนต้องจำไว้ก็คือไม่มีใครหมกมุ่นหรือสนใจในความล้มเหลวครั้งนี้เท่ากับพวกเขา
"สำหรับคนอื่น คุณเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ บนจอเรดาร์ ดังนั้น จงลืมเรื่องนี้ไปเสีย" ก่อนจะตบท้ายเรียกรอยยิ้ม
"ว่าแต่คุณจะกินพายชิ้นนั้นให้หมดหรือเปล่า"
ไม่มีใครสนใจเรื่องของเราเท่ากับตัวเรา
ดังนั้น ทุกครั้งที่ "ซักเกอร์" ประสบความล้มเหลว
สิ่งที่เขาทำก็คือเดินออกไปซื้อพายแอปเปิ้ลมากินแล้วก็ดำเนินชีวิตต่อไป
กฎข้อสุดท้าย จงรักคนอื่นให้เป็น เพราะถ้าเรารักใครเป็นมันจะทำให้เรามีความสุขมากกว่าสิ่งอื่น ๆ ที่ทำในชีวิต
"ซักเกอร์" ให้จินตนาการว่าถ้าโลกทั้งใบเหมือนกับแก้วใส่น้ำใบใหญ่
มีเกลืออยู่ในแก้วเล็กน้อย
น้ำในแก้วจึงมีรสเค็ม
วิธีการแก้รสเค็มในน้ำมันมีอยู่ 2 ทาง
ทางแรก คือ พยายามหยิบเม็ดเกลือออก หรือ ทางที่สอง เติมน้ำลงไปเพื่อให้ความเค็มเจือจางลง
"ซักเกอร์" บอกว่าเมื่อวันที่ทุกคนเริ่มออกเดินทาง จะเจอสิ่งที่ไม่ชอบมากมาย
ความพยายามที่จะกำจัดสิ่งที่เราไม่ชอบนั้นเป็นเรื่องยาก
หนทางที่ดีกว่าคือพยายามเติมความรักให้มากขึ้นเรื่อย ๆ
"ความรักเป็นสิ่งเดียวที่คุณให้ไปมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งมีมันมากขึ้นเท่านั้น"
ผมนึกเปรียบเทียบกับ "ปัญหา" ในการทำงาน
"ปัญหา" ก็เหมือน "เม็ดเกลือ"
ไม่มีทางที่เราจะกำจัดปัญหาออกจากชีวิตเราได้หมด
การแก้รสเค็มในชีวิต ก็คือ ต้องพยายามเพิ่มความสุขและความสนุกในการทำงาน
เราไม่สามารถทำให้ "ปัญหา" หมดไปไม่ได้
แต่เราทำให้มันเจือจางลงได้
และสุดท้าย "ซักเกอร์" บอกว่า "ความสำเร็จ" ในชีวิตนั้น
"อย่าวัดตัวเองด้วยความสำเร็จของคุณ แต่จงวัดมันด้วยความสุขของผู้คนรอบตัวคุณ"
เพราะถ้าคุณทำให้คนรอบตัวคุณมีความสุข เมื่อนั้น คุณจะทำอะไรก็ได้
ไปไหนก็ได้
และล้มเหลวเรื่องอะไรก็ได้
แฮ่ม....แต่อย่าบ่อย
No comments:
Post a Comment