ความภูมิใจที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ผลของความสำเร็จ
เป็น ธรรมดาที่คนทุกคนอยากไขว่คว้าหาความสำเร็จทั้งๆที่หารู้ไม่ว่า ความภูมิใจที่แท้จริงนั้นไม่ได้อยู่ที่ผลของความสำเร็จ แต่อยู่ที่การได้มาซึ่งความสำเร็จนั้นมากกว่า ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ได้ให้ทุกคนเลิกคิดถึงความสำเร็จ เลิกหวังถึงความสำเร็จ แต่เพียงแต่อยากจะเตือนสติว่า คำว่า "ความสำเร็จ" นั้น เรากำลังหมายถึงอะไร หมายถึงสิ่งที่ตั้งเป้าหมายแล้วได้รับ หรือสิ่งที่ได้รับมาโดยไม่ได้คาดหวัง และจุดไหนคือความสำเร็จ เวลาที่เราไปถึงจุดหมายหรือระหว่างทางที่จะไปถึงจุดหมาย ความภูมิใจอะไรที่อยู่กับเรานาน ผลพวงของความสำเร็จ หรือวิธีการได้มาซึ่งความสำเร็จ
อยากให้ ท่านผู้อ่านลองคิดตามดูว่า ถ้าท่านเป็นนักกีฬาทีมชาติไทยไปทำการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ที่ประเทศมาเลเซีย ก่อนไปท่านทำการฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อหวังจะเอาเหรียญทองกลับมาเมืองไทย เมื่อไปเจอคู่แข่งซึ่งเป็นเจ้าภาพแล้ว ท่านรู้ได้ทันทีว่า "หิน" ทั้ง ความสามารถของคู่แข่ง และสภาพแวดล้อมของกองเชียร์เจ้าภาพ แต่เมื่อทำการแข่งขัน ผลปรากฎว่าท่านเป็นผู้ชนะคว้าเหรียญทองกลับบ้าน จึงอยากจะถามว่า
* ความภูมิใจของท่านคือตัวเหรียญทอง(ซึ่งเป็นโลหะ) หรือความสามารถของตัวท่านเอง?
* เหรียญทองมีค่าสำหรับท่านมากน้อยเพียงใด ท่านไปหาซื้อเหรียญทองแบบเดียวกันที่อื่นได้หรือไม่?
* ถ้าเหรียญทองที่ได้มานั้น ได้ มาเพราะคู่แข่งถอนตัวหมด จะด้วยเหตุใดๆก็ตาม แล้วเหลือท่านเพียงคนเดียว ผู้จัดการแข่งขันเลยต้องยกเหรียญทองนั้นให้กับท่าน ท่านคิดว่าท่านรู้สึกภาคภูมิใจกับเหรียญทองเหรียญนี้หรือไม่?
* สมมติ ว่าท่านไม่ได้เหรียญใดๆเลย แต่คนขโมยเหรียญทองที่ใช้มอบสำหรับการแข่งขันจริงมาให้กับท่าน ท่านคิดว่ามันมีค่าในสายตาของท่านหรือไม่?
* เวลาไปไหนมาไหนท่านคิดว่าคนจะเข้ามาพูดคุยกับท่านเพราะท่านมีเหรียญทองหรือเพราะความสามารถของท่าน?
จากคำถาม ข้างต้นนี้ หวังว่าท่านคงจะตอบได้โดยไม่ยากนัก แต่ในชีวิตจริงแล้ว คนหลายคนมักจะหลงติดอยู่กับสิ่งที่เป็นผลพวงของความสำเร็จ เช่น ผลการเรียนได้เกียรตินิยม ได้ปรับตำแหน่ง ได้รับเงินเดือน ได้ของขวัญของรางวัล ประกาศนียบัตร เพราะมักจะคิดว่าสิ่งนี้คือความสำเร็จ แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องหมายบ่งชี้ความสำเร็จ เท่านั้น หาได้มีค่ามากมายอะไรดั่งที่เราคิดกันไม่
ทำไม เราจึงมีความภาคภูมิใจเมื่อเราคว้าชัยหรือเมื่อเราบรรลุเป้าหมายหรือทำบาง สิ่งบางอย่างได้สำเร็จ เหตุผลที่สำคัญก็เพราะว่าเราเกิดความภูมิใจในความสามารถของตัวเราเองที่ สามารถฝ่าฟันอุปสรรคมาได้ และเราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอะไรก็ตามที่เราได้มาง่ายๆ เราจะไม่รู้สึกภาคภูมิใจกับมันมากนัก หรือมีก็เพียงประเดี๋ยวประด๋าว เพราะเราไม่ได้ภูมิใจในสิ่งที่ได้ แต่เราภูมิใจในความสามารถในการที่ได้มามากกว่า
เมื่อ เป็นเช่นนี้แล้ว หวังว่าทุกคนคงจะเลิกลุ่มหลงในเครื่องหมายแห่งความสำเร็จกันเสียที และหันกลับมาให้ความสำคัญกับเส้นทางไปสู่ความสำเร็จกันให้มากขึ้น เพราะถ้าเรามัวแต่มุ่งหวังแต่ความสำเร็จ สักวันหนึ่งท่านจะผิดหวังกับการกระทำของท่านเอง
เราคงเคยเห็นการคัดเลือกประธานาธิบดีสหรัฐ (ไม่อยากพูดถึงนักการเมืองไทย) คน ที่จะมาเป็นประธานาธิบดีได้นั้น จะต้องไม่มีประวัติด่างพร้อยในทุกๆเรื่องแม้แต่เรื่องส่วนตัว ถ้าคนบางคนประสบความสำเร็จมาจากวิธีการที่ไม่ถูกต้อง เขาจะไม่สามารถแก้ไขหรือลบประวัติศาสตร์ของชีวิตในบันทึกหน้านั้นๆของเขาได้ เลย ยังไงเสียเขาก็ยังคงถูกตีตราไว้ว่าไม่บริสุทธิ์อยู่ดี ถึงแม้ไม่มีใครรู้แต่ความจริงก็คือความจริงที่ไม่สามารถลบออกจากตัวของเขา ได้ อยากจะยกตัวอย่างให้เห็นได้ชัดเจนขึ้น เช่น เมื่อปีที่แล้วคุณเคยขโมยเงินคนอื่นมา 1,000 บาท แต่ตอนนี้คุณเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของประเทศไทยแล้ว คุณคิดว่าคุณสามารถเอาเงินสักร้อยเท่าพันเท่าของเงินที่คุณเคยขโมยมา ไปคืนให้เจ้าของเพื่อชดเชยกับเงินที่คุณเอาของเขามาได้หรือไม่ ถึงแม้เจ้าของเงินจะยอมรับเงินจากคุณแต่คุณก็ยังไม่สามารถลบมลทินในชีวิตของคุณได้อยู่ดี
ดังนั้น จึงอยากจะให้ทุกคนตระหนักว่าความสำเร็จนั้นเป็นผลพวงแห่งการผสมผสานของหลาย สิ่งหลายอย่างในระหว่างเส้นทางชีวิตที่เรากำลังจะเดินไปหาจุดหมาย เราไม่สามารถบอกได้การกระทำอันไหนจะส่งผลต่อความสำเร็จ และไม่สามารถบอกได้ชัดเจนเฉพาะเจาะจงลงไปได้ว่าสิ่งไหนที่ไม่เกี่ยวข้องกับ ความสำเร็จของเราเลย
ขอ ให้เราลองหันกลับไปทบทวนความเป็นมาของชีวิตของเราเองว่า การที่เราประสบความสำเร็จอยู่ในปัจจุบันนี้มันเป็นผลมาจากอะไรในอดีต เกิดจากการที่เราเรียนเก่งใช่หรือไม่ เกิดจากการที่เราเกิดในครอบครัวที่ดีใช่หรือไม่ เกิดจากเรามีเพื่อนดีมีสามีภรรยาดีใช่หรือไม่ คำ ถามเหล่านี้เราไม่สามารถตอบได้ชัดเจนว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นกิจกรรมแห่งชีวิตของเราล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อ สถานภาพในปัจจุบันของเราทั้งสิ้น ดังนั้น กิจกรรมแห่งชีวิตในปัจจุบันก็กำลังจะกลายเป็นส่วนผสมของความสำเร็จในอนาคต เช่นเดียวกัน
ระดับแห่งความภูมิใจในความสำเร็จนั้นไม่ได้วัดกันที่ผลของความสำเร็จ ซึ่งพอจะเขียนสูตรของระดับความภูมิใจในความสำเร็จได้ดังนี้
ระดับแห่งความภูมิใจ = ช่องว่างระหว่างจุดเริ่มต้นกับเป้าหมาย x ระดับปัญหาอุปสรรค
คนที่ไม่มีเงินเลย แต่สามารถทำงานหาเงินมาได้ 100 บาท จะมีความภาคภูมิใจมากกว่าคนเศรษฐีพันล้านที่หาเงินมาเพิ่มได้อีกหนึ่งล้าน บาท อันนี้แสดงให้เห็นว่าระดับของตัวชี้วัดความสำเร็จเพียงอย่างเดียวไม่ได้ บ่งบอกถึงระดับความภาคภูมิใจในความสำเร็จ
คน สองคนมีตำแหน่งหน้าที่การงานเหมือนๆกัน แต่คนแรกต้องทำงานหนักมาตลอดเพราะเป็นลูกจ้างมืออาชีพ ต้องฟันฝ่าอุปสรรคเส้นสายมามากมายกว่าจะขึ้นมาเป็นฝ่ายบริหารของบริษัทได้ ในขณะที่อีกคนหนึ่งได้มาเป็นฝ่ายบริหารเพราะเป็นลูกของเจ้าของและร่ำเรียนจบ มาจากเมืองนอก ถามว่าสองคนนี้ใครจะรู้สึกภาคภูมิใจกับตำแหน่งหน้าที่การงานมากกว่ากัน เราสามารถพูดได้เต็มปากว่าคนที่ฝ่าฟันอุปสรรคมากกว่าย่อมมีความภาคภูมิใจกับความสำเร็จของตัวเองสูงกว่า
สรุป ความภาคภูมิใจของคนเราที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ผลของความสำเร็จ แต่อยู่ที่การได้มาซึ่งความสำเร็จนั้นๆ และสิ่งที่ติดตัวไปกับคนเราตลอดเวลานั้นไม่ใช่เหรียญรางวัลหรือเครื่องชี้ วัดผลของความสำเร็จ แต่อยู่ที่ความ ภูมิใจในความสามารถของตัวเอง และระดับความภาคภูมิใจนี้ก็ได้มาจากช่องว่างระหว่างจุดเริ่มต้นกับเป้าหมาย รวมกับความยากลำบากในการได้มา ถ้าท่านต้องการความภาคภูมิใจต่อความสำเร็จของท่านที่แท้จริงและยั่งยืน ขอให้ท่านตั้งเป้าหมายที่ท้าทายและทุ่มเทใจกายให้กับสิ่งนั้นอย่างเต็มที่ รับรองความความสำเร็จและความภูมิใจจะไม่หนีหายไปจากท่านอย่างแน่นอน
No comments:
Post a Comment