Pineapple TH-PH

Done

Friday, September 10, 2010

สรรพศาสตร์ แห่งการฝึกอภิจิต พิชิตวิกฤตการณ์

สรรพศาสตร์ แห่งการฝึกอภิจิต พิชิตวิกฤตการณ์

http://board.palungjit.com/f2/สรรพศาสตร์-แห่งการฝึกอภิจิต-พิชิตวิกฤตการณ์-65754.html
โดย MOUNTAIN
----------------------

โลกเราในสภาวะยุคปัจจุบันนี้
ภัยอันตรายหลากหลายเริ่มย่างกรายเข้ามาใกล้
ลำพังกาย อย่างเดียว แม้จะสมบูรณ์แข็งแรงขนาดไหน
หากไม่มีจิตที่เป็นสมาธิ ช่วยเป็นกำลังเสริม
ก็ยากนักที่จะฝ่าฟันอุปสรรค มหันตภัยทั้งหลายได้

หลายคนเคยมีบุญเก่าที่สร้างสมมาแต่อดีตชาติ
แต่ด้วยกาลเวลาที่ผ่านพ้นมาเนิ่นนาน
ชาติแล้วชาติเล่า ทำให้ขาดความสืบต่อ
ของการปฏิบัติ ถูกอวิชชาที่มืดมิด ครอบงำ
ไม่สามารถสร้างพลังจิต ให้เกิดขึ้นมาในตน
เหมือนเช่นอดีตที่เคยได้ทำมาแล้ว

ผมเชื่อว่า ทุกท่านที่เข้ามาในเวปพลังจิต
เป็นผู้มีบุญเก่า เคยปฏิบัติจิต เพื่อสร้างพลัง
กันมาแล้วทั้งสิ้น
แต่ด้วยเงื่อนงำของกาลเวลาดังกล่าว
จึงขาดช่วง เว้นวรรค หายไป
การจะเริ่มต้นใหม่ กลายเป็นเรื่องยาก

นี่คือที่มาของกระทู้นี้
สรรพศาสตร์ แห่งการฝึกอภิจิต พิชิตวิกฤตการณ์

กระทู้นี้จะรวบรวมแหล่งที่มาของวิชชาการฝึกจิต
หลากหลายวิธี ที่ไม่ยุ่งยาก ง่ายต่อการฝึก
สามารถสร้างขุมพลังในตัวให้เกิดขึ้น
ให้เป็นได้ทั้งเครื่องรับและเครื่องส่ง ในแต่ละบุคคล
ประกอบกับการเปิดกระแสพลังจากเบื้องบนลงมา
จึงจำเป็นที่จะต้องสร้างเครื่องรับที่มีประสิทธิภาพ
เพื่อรับสนองพลังดังกล่าว

ปรมาจารย์ทางด้านการฝึกจิต
ที่ผมใช้เป็นตำรา นำมาเผยแพร่ คือ
ท่านอาจารย์อัคร ศุภเศรษฐ์ และ
ท่านอาจารย์ศิยะ ณัญฐสวามี
ต้องขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ทั้งสองท่าน
ที่สร้างสรรตำราฝึกจิต หลากหลาย ขึ้นมา
นับว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจ ใคร่รู้ ใคร่ศึกษา
เพื่อนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม
เสริมสร้างพลังกายและพลังจิต
ในยุคที่ผู้คนกำลังตื่นตระหนก และพยายาม
ค้นหาทางอยู่รอดปลอดภัย

ส่วนอาจารย์อีกสองท่านที่ผมเคยได้ติดตามผลงาน
เกี่ยวกับการฝึกจิต ให้เกิดประสิทธิภาพ คือ
ท่านอาจารย์ พ.อ.ชม สุคันธรัต (จากวิทยาศาสตร์ทางใจ)
และท่านอาจารย์สุวินัย ภรณวลัย (ผู้สร้างผลงานซีรีส์มังกรจักรวาล)
ก็ต้องกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ทั้งสองนี้ด้วย

การฝึกจิตให้ว่าง ผ่อนคลาย สงบประณีตจนเป็นสมาธิระดับต่างๆ
จะช่วยให้เพิ่มสิ่งดีๆ รักษาสิ่งที่ควรรักษา และลดสิ่งชั่วร้ายในร่างกาย
จิตใจ พฤติกรรมและศักยภาพด้านต่างๆ ของชีวิต ดังนี้.-

สิ่งที่เพิ่ม

เพิ่มการพักลึก
เพิ่มภูมิต้านทานของผิวหนัง
เพิ่มความสมดุลของคลื่นสมองซ้าย-ขวา
เพิ่มความเป็นระเบียบของการทำงานของสมอง(ดูจากคลื่น ecg)
เพิ่มความสะดวกคล่องตัวในการหายใจ
เพิ่มปริมาณพลาสม่า(ของเหลวในเซล)
เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต
เพิ่มการสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงสมอง
เพิ่มภูมิต้านทานต่อภาวะเครียด
เพิ่มการผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนใน
เพิ่มความตื่นตัว
เพิ่มศักยภาพในการปรับตัวของร่างกาย
เพิ่มความทนทานในการออกกำลังกายและการทำงาน
เพิ่มความฉับไวในการรับรู้
เพิ่มอัตราเร็วในการสนองตอบของระบบประสาทต่อสิ่งเร้า
เพิ่มความเชื่อมั่นภาคภูมิในตนเอง
เพิ่มความเป็นตัวของตัวเอง
เพิ่มเชาวน์ปัญญา
เพิ่มศักยภาพในการจำ
เพิ่มปฏิภาณในการเรียนรู้,การแก้ปัญหา
เพิ่มความคิดสร้างสรรค์
เพิ่มเมตตาไมตรี
เพิ่มความมีอารมณ์ดี
เพิ่มทัศนคติที่ดีต่อตนเอง
เพิ่มวุฒิภาวะในตนเอง
เพิ่มการยอมรับนับถือตนเอง
เพิ่มการเปิดใจกว้างยอมรับซึ่งกันและกัน
เพิ่มความรู้สึกเคารพให้เกียรติกัน
เพิ่มความไว้วางใจได้และความเชื่อใจกัน
เพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงอดีตและปัจจุบัน
เพิ่มศรัทธาในศาสนา
เพิ่มความสงบสุข
เพิ่มการยอมรับได้และให้อภัย
เพิ่มศักยภาพในการปล่อยวางโดยง่าย
เพิ่มความกล้า
เพิ่มความรอบคอบและเซ้นส์ในการป้องกันภัย
เพิ่มศักยภาพในการรวมพลังในตนเอง
เพิ่มศักยภาพในการทำงานและปริมาณผลผลิต
เพิ่มความพึงพอใจในงาน
เพิ่มความสัมพันธ์อันดีในที่ทำงาน
เพิ่มคุณภาพชีวิต
เพิ่มความพึงพอใจในงาน
เพิ่มสัมพันธ์อันดีในที่ทำงาน
เพิ่มคุณภาพชีวิต
เพิ่มความพึงพอใจในชีวิตครอบครัว
เพิ่มศักยภาพในการเผชิญและแก้ปัญหาวิกฤตในชีวิต
เพิ่มศักยภาพในการสื่อสาร
 
สิ่งที่รักษา

รักษาระดับน้ำหนัก
รักาดุลยภาพทางอารมณ์
รักษาสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย
รักษาความสามารถในการรักษาเวลา
รักษาความสม่ำเสมอของคลื่นอัลฟ่าในสมอง
รักษาความประสานกลมกลืนของจิตใจและร่างกาย
รักษาระดับน้ำตาลในเลือด(วัดด้วย OGTT)
รักษาภาวะสุขภาพดีโดยรวม
รักษาความหนุ่มสาว
รักษาความอบอุ่นและความสงบสุขในสัมพันธภาพ
รักษาภาวะผ่อนคลายสบายๆ ในขณะทำงาน


สิ่งที่ลด

ลดอัตราการหายใจ,การสันดาปเผาผลาญในเซล
ลดอัตราการใช้ออกซิเจนของเซล
ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจากร่างกาย
ลดปริมาณแลคเตรท(ตัวทำให้เมื่อย)
ลดอัตราการเต้นของหัวใจ
ลดความเจ็บปวดทางร่างกาย
ลดอาการกลัวการถูกทดสอบ
ลดความเครียด
ลดการทำงานเกินความจำเป็นของสมอง
ลดความดันโลหิตผิดปกติ
ลดความวิตกกังวล,อาการภูมิแพ้,อาการนอนไม่หลับ
ลดความต้องการนอนเป็นเวลานาน
ลดการตื่นบ่อยในยามกลางคืน
ลดอาการประสาท
ลดความก้าวร้าว
ลดอาการแปรปรวนทางร่างกายและอารมณ์
ลดความฝันสับสนสะเปะสะปะ
ลดอาการประสาทหลอน
ลดการติดสิ่งเสพติด
ลดอาการหดหู่ท้อถอย
ลดความขัดแย้งระหว่างกัน
ลดความรู้สึกแบกสารพันปัญหาในชีวิต
ลดการต่อต้านกฎ กติกา มารยาท
ลดอัตราอาชญากรรมในหมู่คณะ

ตัวอย่างเหล่านี้ เป็นแค่ผลพื้นฐานเล็กน้อย ที่ฝรั่งวิจัยพบ
ยังมีผลขั้นกลางและขั้นสูงอีกมากมาย
ที่ศาสดาปรมาจารย์ทั้งหลายระบุไว้
ซึ่งฝรั่งยังพัฒนาไปไม่ถึง

เมื่อฝรั่งเห็นผลการวิจัยดังกล่าว จึงเห่อการฝึกจิตกันโกลาหล
หลายมหาวิทยาลัยเปิดสอนวิธีการฝึกจิตกันมากมายหลายหลักสูตร
ที่ฮาร์วาร์ด เปิดสอนหลักสูตรการฝึกจิตเบื้องต้น
เป็นเวลา 5 วัน เฉพาะค่าเรียน 2,500 เหรียญสหรัฐ

ชีวิตมีอยู่ 2 ส่วน คือ แก่นชีวิต และเปลือกชีวิต

เปลือกชีวิต ก็คือร่างกาย ลมหายใจ ผัสสะ และความรู้สึกทั้งหลายนี้
ซึ่งกำลังตายลงทุกวันๆ

แก่นชีวิตก็คือใจ

ต้องเลือกเอา จะรักษาร่างกายที่กำลังตาย
และพยายามหอบมันหนีความตาย ที่ซึ่งไม่อาจหนีพ้น
หรือจะรักษาจิตใจ ซึ่งมีค่ากว่า ให้มันดำรงอยู่
อย่างสงบสุขและสง่างาม

ใครเลือกรักษาจิตใจ อันเป็นแก่นของชีวิต
ก็ต้องทำความรู้จักจิตใจให้ชัดเจน บริหารให้เหมาะสม
และฝึกฝนให้จริงจังจนแก่กล้า

การฝึกจิตนั้นมีหลายวิธี เพื่อหลายวัตถุประสงค์
จะฝึกตามวิธีไหน ที่ใครสอนก็ได้ เพราะจิตใจเป็นสากล
ถ้าต้องการให้จิตใจเข้มแข็งสมบูรณ์ ก็ควรเปิดกว้าง
เพื่อการเรียนรู้และฝึกฝน
ใครสอนอะร ถ้าสมสัจจะตามระดับสติปัญญาของท่านก็ควรเรียนรู้

ดังนั้น เพื่อประโยชน์สุขของตน จงเรียนรู้ให้กว้างขวาง
แล้วเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับแต่ละภาวะแห่งชีวิตมาใช้ให้สนุกสนาน

ฐานะและเป้าหมายในการฝึกจิต

การฝึกจิตทั้งหลายในโลกนั้น มีหลายวิธี
พระท่านจะเน้นฝึกจิตเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น

คฤหัสถ์ อาจเน้นฝึกจิต เพื่อหลากหลายวัตถุประสงค์ ดังนี้.-

การฝึกจิตเพื่อสุขภาพ ให้ฝึกธรรมชาติสัมพันธ์ ชี่กง
กังฟู พลังจักรวาล โยคะ

การฝึกจิตเพื่อความสุข ให้ฝึกอัปมัญญาสมาธิ รูปฌาน อรูปฌาน

การฝึกจิตเพื่อสัมพันธ์อันดี ให้ฝึกเทวปูชา มหาเมตตาแบบทิเบต

การฝึกจิตเพื่อปัญญา ให้ฝึกมโนมยิทธิ เซน อภิธรรม

การฝึกจิตเพื่ออำนาจ ให้ฝึกกสิณ บริหารใจ จินตภาพ มนตรยาน

การฝึกจิตเพื่อแก้ปัญหาใจ ให้ฝึกจิตวิเคราะห์ วิปัสสนาแบบพุทธดั้งเดิม ธรรมะเปิดโลก

การฝึกจิตเพื่อการพักผ่อน ให้ฝึกโยคะ ธรรมชาติสัมพันธ์ ความว่างแบบเต๋า

การฝึกจิตเพื่อความบริสุทธิ์ ให้ฝึกแบบพุทธดั้งเดิม วิธีใดก็ได้
หรือทุกวิธีก็ดี

หากฝึกแล้วยังไม่ได้ผลดังหวัง รู้สึกยากหรือติดขัดที่อารมณ์ตน
ก็ให้ลองสำรวจดูว่า ตนมีจริตใด โด่งเกินไปหรือไม่ หากมีก็แก้เสีย

การฝึกจิต แบบพลังปิรามิด และ แบบแอตแลนติส

ความเป็นมา

ประมาณ 6,000 ปี มาแล้ว ที่อียิปต์เป็นเจ้าอารยธรรมของโลก
และมีหลายฝ่ายเชื่อกันว่า อียิปต์ เป็นชนชาติสุดท้าย
ที่ได้รับถ่ายทอดวิทยาการต่างๆ จากชาวเกาะแอตแลนตีส
กลุ่มที่ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังในปัจจุบันคือ
Atlantic University ณ เวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา

เมื่อหลายพันปีก่อน อียิปต์เป็นหนึ่งในเจ้าแห่งสถาปัตยกรรม
และจากหลักฐานหลายชิ้นที่ขุดได้และบันทึกต่างๆ ในปิรามิด
เชื่อกันว่า สมัยอียิปต์ตอนปลาย ความเจริญทางด้านการฝึกจิต
แพร่หลายมากและมีการพัฒนาการฝึกจิตไปหลากหลาย
มีทั้งที่ดีและไม่ดี ในบันทึกมีทั้งมนต์ขาวและมนต์ดำมากมาย
จนสันนิษฐานกันว่า การต่อสู้กันระหว่าง พลังความดี กับพลังความไม่ดี
ด้วยอำนาจจิตที่ลึกซึ้ง เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ จิตสำนึกของชนชาวอียิปต์
สับสน และนำไปสู่ความขัดแย้งภายในเอง จนรักษาตัวไม่รอด
ล่มสลาย สิ้นความเกรียงไกรไปในที่สุด

ในที่นี้จะเลือกแนะเฉพาะการฝึกจิตบางประการที่ไม่เป็นโทษ
และไม่ใช่มนต์ดำ แต่พอเป็นกีฬาทางจิต ให้ออกกำลังจิตใจ
ได้บ้างเท่านั้น ทั้งของอียิปต์และของแอตแลนตีส

หลักและวิธีการฝึกแบบพลังปิรามิด

ชนโบราณเข้าใจว่ารูปทรงปิรามิด เป็นรูปทรงที่รับพลัง
จากท้องฟ้าและจักรวาลได้ดีที่สุด

นักวิทยาศาสตร์พยายามศึกษาสิ่งเหล่านี้และพบว่า
ณ ศูนย์กลางของปิรามิด ของจะไม่เน่า โลหะจะไม่ขึ้นสนิม
ฟาโรห์ทั้งหลายแห่งอียิปต์ จึงนิยมเอาพระศพ ไปฝังไว้
ณ ตำแหน่งศูนย์กลางปิรามิด

นักฝึกจิตจำนวนหนึ่ง ได้พยายามประยุกต์หลักการนั้น
มาใช้ในการฝึกจิต เพื่อเพิ่มพลังให้ตนเอง

ผู้ที่ประสงค์จะฝึกแบบพลังปิรามิด
ให้นั่งในที่รโหฐาน(เฉพาะตน) แล้วกำหนดปิรามิดด้วยใจ
ให้ปิรามิดใหญ่ ครอบตัวไว้ กำหนดจิตไปตามมุมปิรามิด
จนเห็นปิรามิดชัดขึ้น

เมื่อเห็นปิรามิดชัดเจนดีแล้ว ให้ผ่อนคลาย
แต่คงความรู้ชัดไว้ แล้วน้อมใจอัญเชิญครูบาอาจารย์
(จะของศาสนาใดก็ได้) ที่ท่านเคารพนับถือ
ให้ส่งพลังมาเกื้อกูลแก่ท่านด้วย
เพื่อให้มีสุขภาพดี มีปัญญาดี มีกำลังดี
และมีดวงตาเห็นสัจธรรม

ทำสักครู่หนึ่ง เมื่อสบายดีแล้วก็ผ่อนคลาย แล้วลืมตาช้าๆ

การทำแบบนี้ก่อนหลับ จะทำให้หลับสบายมาก
เหมือนนอนในมุ้งแก้วแห่งจินตนาการ แล้วหลับสบายไปเลย

หลักและวิธีการฝึกแบบแอตแลนติส

ชาวแอตแลนติส เป็นพวกศึกษาธรรมชาติมหภาคมากกลุ่มหนึ่ง
และพยายามเข้าถึงพลังธรรมชาติที่เป็นอภิระบบ
และใช้พลังเหล่านั้นมาเสริมพลังของตนเอง

มีวิธีการหนึ่งซึ่งน่าสนใจ อย่างน้อยก็เป็นการออกกำลังทางจิตที่ดี
คือการฝึกเข้าถึงแกนโลกและกาแลคซี่

ต่อไปนี้คือการฝึกแบบแอตแลนติสพัฒนา
เมื่อฝึกๆไป จะค้นพบวิธีที่มีประสิทธิภาพกว่า
ที่อาจารย์ผู้สอนสอนมา ก็ต้องใช้วิธีที่ให้ผลดีกว่าเป็นธรรมดา

ควรทำในที่โล่ง ถ้าเป็นกลางคืนที่เห็นทางช้างเผือกได้ยิ่งดี

ถ้านั่งบนพื้นดินได้ก็ดี ให้นั่งในท่าตรง
เข้าสมาธิด้วยวิธีที่ถนัด จนกายสงัด จิตสงบ
กำหนดจิตไว้ที่ใจ กึ่งกลางทรวงอก

ให้ส่งจิตผ่านกระดูกสะโพกด้านซ้าย
ลงไปที่ศูนย์กลางของแกนโลกซึ่งเป็นผลึกอยู่
ผ่านสัมผัสแกนโลกแล้วกลับมาที่ร่างกาย
เข้าที่สะโพกด้านขวา กลับมาที่ใจ
แล้วส่งจิตผ่านสมองขวา ขึ้นไปยังใจกลางกาแลกซี่
ซึ่งเป็นหลุมดำอยู่ เข้าไปที่ศูนย์กลางหลุมดำ ซึ่งว่าง
แล้วกลับมาที่กายทางสมองซ้าย แล้วไปที่ใจดังเดิม

ทำเช่นนี้หลายรอบจนจิตมั่นคง กายมั่นคง ทรงพลัง
เมื่อรู้สึกจิตนิ่งมั่นคงแล้ว ก็กลับมาที่ใจ
ทำใจให้ใสและมีพลังดั่งแกนโลกและแกนกาแลกซี่

เมื่อจะหยุด ให้ผ่อนคลายจนรู้สึกสบาย
แผ่จิตไปยังผู้ที่ท่านปรารถนาดี ทั่วหล้า ทั่วจักรวาล
แผ่ใจที่มีพลังเข้าไปในกาย ให้กายมีพลัง
ลืมตาช้า ๆ

สิ่งที่ควรคำนึงเป็นอย่างยิ่ง

สิ่งหนึ่งซึ่งนักฝึกจิตกลุ่มอียิปต์นิยมชอบทำกันคือ
การถอดจิตไปยัง เมืองลักซอร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งมหาวิหารโบราณ
ที่มีวิญญาณครูบาอาจารย์สถิตอยู่มาก
ซึ่งมีทั้งดีและไม่ดี

ดังนั้นผู้ไม่ชำนาญทางจิตจริงไม่ควรทำ

สิ่งที่ควรคำนึงเป็นอย่างยิ่ง

สิ่งหนึ่งซึ่งนักฝึกจิตกลุ่มอียิปต์นิยมชอบทำกันคือ
การถอดจิตไปยัง เมืองลักซอร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งมหาวิหารโบราณ
ที่มีวิญญาณครูบาอาจารย์สถิตอยู่มาก
ซึ่งมีทั้งดีและไม่ดี

ดังนั้นผู้ไม่ชำนาญทางจิตจริงไม่ควรทำ

วิธีฝึกจิตแบบศูนยวาท

ศูนยวาท เน้นการพินิจ
__________________
พิจารณาต่อไปว่า แม้ความทรงจำทั้งหมดก็ไม่เป็นตน
คลายความยินดียินร้าย แล้วปล่อยวางเสีย
จิตก็จะถอนออกจากความทรงจำ
แล้วดำดิ่งสู่ภายใน.............

ถ้ามีความคิดผุดขึ้นมา กำหนดทันทีว่าความคิดไม่เป็นตน
ปล่อยวางเสีย......................

แม้เจอภาวะที่ทรงอยู่อย่างใดก็ตาม เมื่อทรงอยู่สักระยะหนึ่ง
ก็กำหนดว่า แม้ภาวะนี้ก็ไม่เป็นตน
คลายความยินดียินร้าย แล้วปล่อยวาง......................

ทำไปโดยลำดับ จนเหลือแต่ความว่างโล่ง ใสสบายอยู่

ทีนี้ให้กำหนดจิตในส่วนที่ลึกที่สุด แล้วแผ่ออกไปให้ไพศาล
กำหนดให้เป็นที่สบาย แผ่ให้กระจายออกไปรอบๆตัว
ให้จิตเข้าไปครอบงำธรรมชาติทั้งหลาย
แค่เรากำหนด จิตก็ไป ไม่ต้องไปผลัก

จากนั้น กลับมาที่ตนเอง
กำหนดรู้ตัวทั่วพร้อมในร่างกาย
โดยให้จิตประสานกับกาย แล้วรู้สึกทางร่างกายชัดขึ้น

เวลาเดินปกติ หรือเดินจงกรม ก็เช่นกัน บริกรรม
"อนัตตาๆๆ" กำกับไปด้วยเสมอ

การฝึกแบบศุนยวาท เป็นการฝึกง่ายๆ สำเร็จง่ายๆ
เห็นผลเร็วและชัดมาก แต่ต้องพิจารณาลึกๆ
และแทงตลอดทุกสิ่ง...ตลอดเวลา....

การฝึกจิตแบบเต๋า

หลักการและวิธีการฝึก

เต๋าเน้นการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย ไร้พิธีรีตอง
พิจารณาความว่าง และความไร้เป็นอารมณ์

หากเห็นไม่ชัด นักปฏิบัติบางคนจะใช้การเคาะไม้
แล้วฟังภาวะที่ปรากฏเสียงและไร้เสียงสลับกันไป
แล้วเพ่งภาวะไร้เป็นอารมณ์

ใหม่ๆ อาจเคาะไม้ถี่ตามภาวะอารมณ์ที่หยาบ
ต่อไปอัตราถี่จะลดลง ก็ไม่ต้องสนใจ เพ่งความไร้เป็นอารมณ์
พอถึงจุดหนึ่งมือจะหยุดเคาะเอง
ก็ไม่ต้องพยายามยกมือมาเคาะอีก
เพ่งความสงบไร้ให้มั่นคง ทำกายทำใจให้ไร้
รู้ความไร้อันไร้ขอบเขตอย่างต่อเนื่อง
นับเป็นการประคองจิตให้ว่างได้ดีอีกแบบหนึ่ง

ข้อพึงระวัง เมื่อติดความว่างและความไร้รูปแบบแล้ว
จะเข้ากับโลกไม่ได้ เห็นโลกเป็นของไร้สาระไปหมด
รับพิธีกรรมใดๆ ไม่ได้
ต้องนำเอาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้ามาพิจารณา
คือ เมื่อพบความว่าง ให้พิจารณาว่า ความว่าง
ก็ไม่เป็นตน ปล่อยวางความว่างเสีย จึงหลุดออกมาได้

คนที่จะปฏิบัติแนวทางนี้ได้ ต้องมีชีวิตที่สันโดษ หลีกเร้น

การสื่อสารกับเทพเจ้า

การถอดจิต

เนื่องจากเทพเจ้าและวิญญาณส่วนใหญ่เป็นโอปปาติกะ
มีกายทิพย์หรือมีใจเป็นดวงอยู่ ดังนั้นทางที่ดีที่สุด
ในการติดจ่อสื่อสารกัน คือ เราต้องทำตัวเราให้เป็น
โอปปาติกะด้วย ซึ่งทำได้สองอย่าง คือ

1. ถอดจิตออกมาด้วยหลักมโนมยิทธิที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
2. ตาย

ในที่นี้เป็นวิชาสำหรับคนเป็น จึงมีทางเดียว คือ ถอดจิต
ออกมาด้วยอำนาจใจ (ดูการฝึกมโนมยิทธิที่มีการสอนในเวปพลังจิตประกอบ)

หากท่านเข้ารูปฌาน เมื่อถอดจิตออกมาท่านจะเป็นตนเอง
มีกายทิพย์เช่นเดียวกับวิญญาณทั้งหลาย

แต่หากเข้าอรูปฌาน แล้วถอดจิตออกมา
ท่านจะพบว่าตนเองเป็นดวงแสงจ้าอยู่

ทั้งสองกรณีใช้ได้สำหรับการสื่อสารกับเทพเจ้า
และเหล่าวิญญาณทั้งหลาย

สิ่งสำคัญที่พึงคำนึงคือ

1. ต้องเห็นกันให้ชัดก่อน ค่อยคุยกัน อย่าคุยกันโดยที่ไม่เห็น
วิญญาณมีมากมายก่ายกอง มีทั้งดีและไม่ดี ทั้งสัมมาทิฐิ
และมิจฉาทิฐิ

หากเป็นพระอริยเจ้า จะเห็นรุ้งรอบกายทิพย์ท่าน
หากเป็นเทพพรหม จะมีรัศมีสีเดียวเป็นส่วนใหญ่ เพราะ
พรหมทรงอารมณ์เดียวอยู่ตลอดเวลา (ยกเว้นพระนิยตโพธิสัตว์
มีหลายสีแต่ไม่ใส ไม่บริบูรณ์เหมือนพระพุทธเจ้า)
หากเป็นพวกรัศมีสีเหลือง พอคุยได้
หากเป็นพวกรัศมีสีน้ำตาล ไม่ควรคุย

2.เมื่อเห็นใหม่ๆนั้น หากจิตไม่นิ่งดี จะเห็นแสงจ้า
จนอาจไม่เห็นร่างที่แท้จริงของเทพเจ้านั้นๆ
ให้รีบกำหนดอุเบกขาชำระจิตตนให้สะอาดนิ่งลึก
ยิ่งจิตเข้าอุเบกขานิ่งลึกเท่าไร ยิ่งเห็นได้ชัดมากเท่านั้น

3. ในขณะที่คุยกัน อย่าเพ่งจิตจดจ่อการคุย
หากเพ่ง จิตจะพุ่งหรือไหลไปทางเดียว จะเสียฐาน เสียสมาธิ
และท่านจะไม่ได้ยินเสียงทิพย์
จำไว้ว่ารักษาฐานที่มั่นแห่งใจไว้เสมอ ทำใจให้หมดจด
มีสมาธิอันบริบูรณ์มั่นคงอยู่เท่านั้น

4. อย่าตั้งใจคุยจนเกินไป ทำใจว่างๆ สบายๆ ตามธรรมชาติ
คุยตามความเหมาะสมแก่สถานการณ์ หากตั้งใจเกินไปจิตจะกระเพื่อม
เมื่อจิตกระเพื่อม ความเห็นชัดได้ยินชัดจะหายไป

5. การพูดคุยทั้งหมด พึงเป็นไปเพื่อการเรียนรู้สัจจะที่ยิ่งๆ
ที่หาไม่ได้ในโลกมนุษย์ หากคุยเรื่องโลกๆ แสดงว่าใช้โอกาสไม่คุ้ม
เรียกว่า ขุดเพชรหาพลอย เมื่อเจอเพชรไม่คว้าเพชร
เพราะใจมุ่งแต่พลอย

6. เมื่อรู้อะไร ให้ขอข้อพิสูจน์บางประการที่จะเอามาทำการตรวจสอบว่า
สิ่งที่ตนรู้นั้นถูกต้องด้วย

การถอดจิตออกมาคุยกัน ทำให้จิตอยู่ในสถานภาพเดียวกัน
จึงเห็นชัด รู้ชัด และมีความเที่ยงตรงสูงกว่าวิธีอื่น
(หากถอดได้จริง ไม่ใช่ Mood making)
 
การโทรจิต

สมัยโบราณ มนุษย์ติดต่อกับเทพเจ้าด้วยโทรจิตเป็นส่วนใหญ่
เช่น ภิกษุติดต่อกับพระอริยเจ้าเบื้องบน หรือแม้ในโลกมนุษย์ด้วยกัน
ฤาษีติดต่อกับพรหม ท่านมูฮัมหมัดติดต่อกับท่านทูตกาเบรียล
ก็ล้วยใช้โทรจิตทั้งสิ้น ซึ่งคนโบราณทำได้ง่ายเพราะสมาธิดีกว่าคนสมัยนี้

การใช้โทรจิต เป็นการสื่อสารกันชนิดหนึ่ง
แม้พระพุทธเจ้ายังทรงใช้ในการสอนภิกษุทางไกล
เรียกว่า ญาณผาราฤทธิ์ คือทรงแผ่ญาณไปยังภิกษุผู้อยู่ห่างไกล
ให้ได้รับคำสอนที่เหมาะสมกับที่กำลังปฏิบัติอยู่
เดี๋ยวนี้คนทำกันได้น้อย
จึงต้อง สร้างดาวเทียมมาช่วยเสริมศักยภาพ ที่ขาดหายไปของมนุษย์

การสื่อสารทางโทรจิต ต้องใช้สมาธิจิตขั้นกลาง เป็นต้นไป
ในฌานหนึ่ง จะใช้ไม่ได้ เพราะฌานหนึ่งยังมีความคิดอยู่
เมื่อมีความคิด จะไม่ได้ยินเสียงจิตอื่น
จะได้ยินแต่เสียงความคิดตนเอง

หากนักปฏิบัติสามารถเข้าฌานสอง เป็นอย่างน้อย
ละวิตก วิจารณ์ ได้แล้ว จิตหนึ่งเริ่มปรากฏ ไม่มีความคิดแล้ว
ไม่อยากคิดแล้ว ก็จะเริ่มสามารถสื่อสารทางจิตกับผู้อื่นได้
แต่ถ้าจะให้เห็นภาพด้วย ต้องได้ฌานสามเป็นอย่างน้อย
แต่ในฌานสาม แสงมักจะมากจนมองกันไม่ค่อยชัด
เหมือนมองพระอาทิตย์ยามกลางวัน จะไม่เห็นขอบดวงอาทิตย์
เพราะมันจ้าเกินไป

จะสมบูรณืที่สุดต้องได้ ฌานสี่ เพราะจิตจะสนิทในสติบริสุทธิ์
และเป็นอุเบกขาบริบูรณ์ ไม่กระเพื่อมแล้ว
ยามพบวิญญาณจะไม่กลัวเลย
ยามเห็นก็จะเห็นชัดยิ่งกว่าเห็นด้วยตาเปล่า
เพราะจิตรวมกันเข้มมาก เวลาสนทนาก็จะได้ยินชัด

หากได้ฌานจริง ความเที่ยงตรงของการติดต่อสื่อสารแบบนี้ค่อนข้างสูง

ปัญหาของการใช้วิธีนี้มีอยู่อย่างเดียว คือ
พอเข้าสมาธิลึกๆแล้ว ไม่อยากรู้อะไร ไม่สงสัยอะไร
ไม่รู้จะถามอะไร บางทีทำให้การสื่อสารไม่ครบถ้วน
พอออกจากสมาธิแล้ว จึงรู้ว่า ลืมถามประเด็นนั้นประเด็นนี้
ก็ต้องสื่อสารกันใหม่อีกรอบ

แต่หากใครไม่สามารถเข้าฌานลึกๆได้
ก็ต้องใช้วิธีต่อไป คือ การสัมผัสจิต

No comments: