- นิ่งเสียตำลึงทอง ?
จุดมุ่งหมายของนิ่งเสียตำลึงทอง คือเขาให้มัธยัสถ์คำพูด แต่ต้องพูดด้วย ถ้าเรามีความคิด แต่ถ้าเรามีความคิดแล้วไม่พูดเลย มันอาจจะดูว่าเราไม่มีความคิดก็ได้ แต่ถ้าเรามีความคิดดีๆ แล้วเราพูดออกไปมีค่าเท่าตำลึงทอง ก็พูดได้ เราต้องแก้สุภาษิตให้ตก
เขาห้ามตรงนี้ เพราะคำพูดของมนุษย์ พอพูดไปแล้ว มันจะเป็นเจ้าเป็นนายของผู้พูด ผู้พูดก็จะได้รับผลอันนั้น ถ้าเราพูดออกไปเป็นอาวุธ มันก็จะกลับมาบาดเรา ถ้าเราพูดไปแล้วบาดหู มันก็บาดหูเรา ถ้าพูดไปแล้ว แสลงใจคน เสียดแทงใจ มันก็จะกลับมาเสียดแทงหัวใจเรา อย่างที่เขาบอกว่า ปากเป็นเอก เพราะพูดแล้วสามารถโน้มน้าวหัวใจคนได้ ถ้าหากปากเราพูดแล้ว มันเกิดแรงผลักแรงดูดเอาอาวุธเข้ามาหา เราอย่าพูดเสียดีกว่า
อังคาร กัลยาณพงศ์ ผู้แปลความหมายจักรวาลโดย : มโนมัย มโนภาพ
อังคาร กัลยาณพงศ์ (ภาพ : นัทพล ทิพย์วาทีอมร)
ในวาระครบรอบวัน เกิดปีที่ 85 ลูกศิษย์ได้ร่วมกันจัดงานแสดงมุทิตาจิตแด่ อังคาร กัลยาณพงศ์ กวี จิตรกร และศิลปินแห่งชาติ ขึ้น ณ ห้องประชุมจิระ บุญมาก สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
ภายในงานมีการแสดงภาพ เขียน อ่านบทกวี และการแสดงดนตรี เพื่อให้คนหลากรุ่นหลายวัยได้มีโอกาสเรียนรู้ถึงคุณูปการที่ชายคนนี้มีต่อวง การศิลปะและวรรณคดีไทย"ตามสบายนะ ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจ เหมือนคุณคุยกับต้นไม้... "
ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ ศิลปิน แห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ กล่าวต้อนรับอาคันตุกะด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลไพเราะ แม้อยู่ในวัยที่เจ้าตัวบอกว่าเป็น "คนแก่ ไม้ใกล้ฝั่ง อยู่ในหลักเกิด แก่ เจ็บ ตาย" แต่สมองและความคิดยังแจ่มใส เปี่ยมด้วยพลัง
ในยุคสมัยที่ผู้คนในสังคมไทยห่างไกลจากบทกวี และไม่เคยใกล้ชิดกับความงดงามของกวีนิพนธ์ อย่างน้อยที่สุด อังคาร กัลยาณพงศ์ เป็นคนหนึ่งที่ประกาศอหังการของความเป็นกวีอย่างซื่อตรง ในมุมมองที่มีต่อการทำงานของเขานั้น ทุกอย่างคลี่คลายไปตามวิถี ดำรงอยู่ด้วยลมหายใจแบบกวี ไม่จำเป็นต้องมีใครมาสนับสนุน หากเมื่อคุณเลือกเส้นทางชีวิตเป็นกวี ต้องยืนหยัดและอยู่ด้วยเกียรติยศศักดิ์ศรีแห่งความเป็นกวี
นอกจากผลงานล้ำค่าที่ฝากไว้เป็นบรรณาการแก่สังคมไทย อังคาร กัลยาณพงศ์ ยังเป็นครูและเป็นบุคคลตัวอย่างในอุดมคติสำหรับผู้ที่ปรารถนาจะจาริกไปบนเส้นทางนี้ เส้นทางที่เชื่อมไปหารหัสนัยของจักรวาล
- อาจารย์เพิ่งผ่านวาระครบรอบวันเกิด 85 ปี และมีการแสดงมุทิตาจิต ?
- ธรรมเนียมวันเกิดของคนไทยปัจจุบัน เปลี่ยนแปลงไปมาก ?
จำปาจำเปรียบเนื้อ.....นางสวรรค์ กูเอย
ศรีสุมาลัยพรรณ..............พิศแพ้
ช้องนางคลี่ระส่ายสรร.......สลายเซ่น
คือนุชสนานกายแก้..........เกศแก้วกันไรผมคิดว่ามีนักปราชญ์หลายคนที่ถือว่าดอกจำปาแทนความรัก แทนกุหลาบสีแดง และถ้าเราเอาดอกจำปาแทนจริงๆ จะมีเปรียบมาก เพราะดอกกุหลาบไม่ค่อยหอม แต่ดอกจำปาจะได้ทางกลิ่นหอมด้วย แล้วความรักนั้น ถ้ามันสวยเฉยๆ ก็ไม่ดี ความรักจะต้องหอมด้วย ยิ่งเป็นดอกจันทร์กระพ้อ ก็จะยิ่งหอมหวลลึกซึ้งไป ตามมิติของความรัก เพราะความรักจริงๆ มันไม่สวยเฉยๆ มันต้องหอมด้วย
- ด้วยวัยขนาดนี้ของอาจารย์ รู้สึกอย่างไรเมื่อพูดถึงเรื่องความรัก
ทีนี้ความรักที่เราเคยมีแบบโรแมนติค มันขยายขึ้นคือความเมตตา คือมารักลูก ทีแรกก็รักแบบลูกผู้ชาย แบบโบราณที่เขาว่าลูกผู้ชายสืบสกุล แต่มานึกดูอีกที ลูกผู้หญิงก็สืบสกุลได้เหมือนกัน ที่จริงโบราณเขายกย่องผู้หญิงนะ ที่เรามาพูดเถียงกันในเรื่องสิทธิผู้หญิง ผมว่าไม่จริงหรอก คนดีจริงๆ เขายกย่องผู้หญิง เพราะว่าผู้หญิงเราเป็นเพศมารดา พระพุทธเจ้ายังมีแม่เป็นผู้หญิงเลย
- ความรักของผู้ชายที่มีราคะจริต ถือเป็นเรื่องธรรมชาติ ?
ในเจตนาของโลกมนุษย์ จะแฝงไว้ด้วยเจตนาของจักรวาลที่ให้มีตั๊กแตนตำข้าวอยู่ทั่วโลก เหมือนที่โลกเจตนาให้หญ้าคลุมโลก เราไปดวงดาวอื่น อย่าง ดาวอังคาร ไม่มีหญ้าเลย แต่เจตนาของโลกมนุษย์ ให้มีหญ้า มีพืชพันธุ์คลุมโลก อันนี้ผมถือเป็นเจตนาที่ใหญ่กว่า แล้วตั๊กแตนตำข้าวก็ไม่รู้เลยว่ามันอยู่ใต้เจตนาที่ใหญ่กว่า เหมือนมนุษย์เรา บางทีเรากินนอนสืบพันธุ์ไป เราไม่สำนึกว่า เราถูกอำนาจอะไรที่มาบังคับเราอยู่ เหนือกว่าเรา เราก็ไม่รู้ ก็มาในรูปของกิเลส หรืออวิชชาต่างๆ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านสอนให้บังคับเราโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้าเรารู้สึกตัว ถอนตัวเองออกมาเป็น เบิร์ด อาย วิว แล้วมองดูตัวเราเองว่าเราอยู่ใต้เจตนาของใคร เราก็สามารถค้นหาเจตนาที่เป็นของมนุษย์ได้
เราสามารถดูได้จากพระพุทธเจ้า พูดง่ายๆ ดูได้จากครูบาอาจารย์ ถ้าเราปราศจากครูบาอาจารย์เสียแล้ว เราก็ต้องเริ่มต้นใหม่ เหมือนเราเขียน ก.ไก่ ข.ไข่ เราจะเขียนไม่ได้เลย ถ้าเราไม่มีครู
เรื่องการเสพสังวาสนี่เพราะเรามีสัญชาตญาณ และหากเรายังไม่เป็นพ่อแม่ เราก็จะหลงเหลิงไปในเรื่องนั้น หมายถึงว่าเราเกือบจะโงหัวไม่ขึ้น ที่เขาเรียกอวิชชา แต่พอเราเข้าข่ายพ่อแม่ ความรักนั้นก็จะกลายเป็นความเมตตากรุณา ที่เราต้องอุปถัมภ์
- ในด้านหนึ่ง ลูกๆจึงเป็นสิ่งประเสริฐสำหรับพ่อแม่ด้วย ?
- ดูอาจารย์มีความสุขดี ?
- แล้วการเดินทาง ?
- อาจารย์เคยพูดถึงจินตนาการ ว่าเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างงานศิลปะ ?
เช่น สมมติว่า มีปาริกชาติ ในดาวดึงส์ ทำไมเราเป็นสถาปนิก เราจะดึงปาริกชาติมาสร้างในโลกมนุษย์ไม่ได้ แล้วทำสถาปัตยกรรมอย่างไรที่มนุษย์ระลึกชาติได้ เขาเข้าไปแล้ว สำนึกถึงคุณค่าความเป็นคนของเขา โดยที่แทบจะสะอึก เพราะมนุษย์เรานี่ไม่ค่อยรู้เรื่อง เวลาเราใส่นาฬิกา แล้วนาฬิกาเราเสีย เราไปแก้ไขทันที แต่พอความเป็นมนุษย์เราบกพร่อง เราไม่เคยคิดแก้ไขเลย
ดังนั้น หากเรามาเอาใจใส่ความเป็นมนุษย์ของเรา ผมว่าเหมือนเรากลับไปหาต้นปาริกชาติ เราระลึกถึง เพราะว่าโดยหลักแล้ว มนุษย์มีสติปัญญาเป็นองค์ประธาน ถ้าเราเอาใจใส่คุณค่าตอนนี้ เช่นกว่าที่เราจะเอาใจใส่คุณค่าของเงินทอง เรามาเอาใจใส่คุณค่าของสติปัญญา ซึ่งจะกลับเป็นแก้วสารพัดนึก คิดอะไรก็คิดได้ เราควรนำต้นปาริกชาติมาไว้ในโลกมนุษย์ แล้วทำโลกมนุษย์ให้เป็นดาวดึงส์ ถึงขั้นที่ว่าหัวใจมนุษย์เบิกบานเหมือนดอกบัว แล้วเข้าใจความเป็นอารยะ ก็จะอยู่กันด้วยความสุขเกษมเปรมปรีดิ์ ไม่ได้อยู่กันด้วยไฟสงครามอย่างนี้
- ทำอย่างไรถึงจะรู้ว่าสิ่งที่เราคิดฝันจินตนาการ ไม่เพ้อเจ้อจนเกินไป
- อาจารย์มองอาการ "ติสต์" ของคนปัจจุบันอย่างไร
- นิ่งเสียตำลึงทอง ?
เขาห้ามตรงนี้ เพราะคำพูดของมนุษย์ พอพูดไปแล้ว มันจะเป็นเจ้าเป็นนายของผู้พูด ผู้พูดก็จะได้รับผลอันนั้น ถ้าเราพูดออกไปเป็นอาวุธ มันก็จะกลับมาบาดเรา ถ้าเราพูดไปแล้วบาดหู มันก็บาดหูเรา ถ้าพูดไปแล้ว แสลงใจคน เสียดแทงใจ มันก็จะกลับมาเสียดแทงหัวใจเรา อย่างที่เขาบอกว่า ปากเป็นเอก เพราะพูดแล้วสามารถโน้มน้าวหัวใจคนได้ ถ้าหากปากเราพูดแล้ว มันเกิดแรงผลักแรงดูดเอาอาวุธเข้ามาหา เราอย่าพูดเสียดีกว่า
- ในด้านหนึ่ง ปฏิเสธไม่ได้ว่าศิลปินต้องมีอัตตา ?
ที่เราแก้อัตตามาเป็นกระดูกสันหลัง เพราะหากไม่มีกระดูกสันหลัง เราก็อยู่ไม่ได้ หมายถึงเราต้องอยู่ด้วยความคิดเที่ยงตรง สามารถยืนด้วยความคิดของเราเอง เช่น เราไม่ใช่คางคก เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราต้องยืนยัน ถ้าเรารู้สึกตัวว่าเราเป็นคางคก กิ้งกือ เราก็ยืนยันในความเป็นอันนั้น แต่เมื่อเราเป็นมนุษย์แล้ว เราจะไปโลเลไม่ได้ เราต้องยืนอยู่ในความตรงของเรา เราต้องมีดวงตาเห็นได้
เช่น ทหารเขาสวนสนาม เขาอาจจะหลงตัวเองได้ว่า เขาเดินพร้อมกัน เดินพร้อมกันจริง แต่ในสายตามนุษย์จริงๆ มันก็เหมือนกิ้งกือ เวลากิ้งกือมันเดิน ตีนก็พร้อมกันหมด แล้วหากทหารไม่รักษาแผ่นดิน สมมติเขมรมันรุกมาเอาดินแดน เรามีธงชัยเฉลิมพลที่นำทัพ แล้วเมื่อธงชัยเฉลิมพลไม่ทำหน้าที่ดูแลดินแดนที่ปู่ย่าตายายเราสั่งสม ไอ้ด้ามธงชัยเฉลิมพลควรเป็นสากกะเบือเสียดีกว่า เอาด้ามมาทำสากกะเบือตำส้มตำให้ทหารเขมรกินบนเขาพระวิหาร เขมรจะได้ชื่นชมว่าส้มตำของเอ็งมันอร่อยจริงๆ เพราะว่าตำด้วยธงชัยเฉลิมพล
- เมื่ออัตตาเป็นกระดูกสันหลัง หากมีบางพวกอวดอุตริคิดว่าตัวเองไปไกลอีกขั้นหนึ่ง ?
คือปุถุชนนี่แปลว่า หนานะ หนาด้วยกิเลส เขาบอกว่า ถึงแม้เราจะเกิดมาเป็นปุถุชน แต่ก็อย่าเป็นปุถุชนจนเกินไป อย่าหนามาก อย่างทักษิณนี่มันหนามาก หนาด้วยความโลภ มันโลภแบบไม่มีเส้นขอบฟ้า โลภแบบอจินไตย
- เรื่องความดี-ความงาม-ความจริง ที่ฝรั่งมองเป็นเรื่องเดียวกัน อาจารย์เห็นอย่างไร
มนุษย์ดีกว่าไอ้เข้ ดีกว่าสัตว์ทั้งหมด ดีกว่าไดโนเสาร์ กิ้งก่า ซึ่งไม่สามารถทำความงามขึ้นมาได้ แต่มนุษย์เราสามารถคิดถึงความงามอันเป็นอุดมคติ สามารถแปลอุดมคติให้เป็นรูปธรรมได้ พูดง่ายๆ ว่า คนที่ไปจับเรื่องนี้ ส่วนมากเขาเป็น genius เป็นอัจฉริยมนุษย์ทั้งนั้น แล้วทำไมเรารุ่นลูกศิษย์ เราถึงไม่เคารพเขา
- ทำไมทัศนะต่อความงามของคนรุ่นหลังๆ เริ่มมองกันแบบไม่มีถูก ไม่มีผิด หรือลื่นไหล
แล้วกระต่าย 3 ตัวคืออะไร ภาษิตจีนบอกว่า กระต่ายตัวหนึ่งเขาขุด 3 โพรง มีทีหนีทีไล่ แล้วกระต่ายคือสัญลักษณ์ของความว่องไว พอรู้แบบนี้ เราก็พอรู้แล้วว่า กระต่าย 3 ตัว คือปัญญา 3 พระพุทธเจ้าสอนไว้มีปัญญา 3 อย่าง คือ สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา ภาวนามยปัญญา แทนกระต่ายแต่ละตัว
สุตมยปัญญา หากไม่เดินทางหมื่นลี้ อ่านหนังสือหมื่นเล่ม จะเป็นพหูสตรได้อย่างไร หมายถึงการสดับตรับฟังมาก จินตามยปัญญา เช่น เขาคิดเครื่องบิน รถยนต์ เฮลิคอปเตแอร์ รถไฟ อะไรต่างๆ อาศัยความคิด แต่ ภาวนามยปัญญา เปรียบเหมือนเรื่องจิตโดยตรง ภาวนาจนมีกำลังของสมาธิพิเศษ ที่ไปเห็นธาตุดวงจิตเดิม ภาวนามยปัญญา เปรียบเหมือนพระโมคคัลลาน์ ท่านสำเร็จแล้วท่านเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาด เหาะขึ้นไปในทางช้างเผือก ในโซลาร์ซิสเต็ม หยอดเม็ดหนึ่งๆ หมายถึงระบบสุริยะ ทุกอันหยอดเม็ดหนึ่ง จนหมดเมล็ดพันธุ์ผักกาดในฝาบาตร ก็ไม่สิ้นสุดจักรวาลเลย นี่คือภาวนามยปัญญา
หากเรารู้เรื่องที่พระพุทธเจ้าสอน เราก็จะเข้าใจกระต่าย 3 ตัววิ่ง กระต่ายเป็นตัวแทนของสติปัญญาที่ว่องไว การวิ่งคือไดนามิค การปฏิบัติ ส่วน ภาวนาคือการหมุนเวียนทั้งหมด ที่เราเข้าใจวงกลม
- หนึ่งในเรื่องความงามที่ถกเถียงในยุคสมัยของอาจารย์ คือฉันทลักษณ์ หรือไม่ฉันทลักษณ์ ?
อตีเตแต่นานนิทานหลัง มีนครังหนึ่งกว้างสำอางศรี
ชื่อจำบากหลากเลิศประเสริฐดี เจ้าธานียศกิตติ์มหิศรา
ดำรงภพลบเลิศประเสริฐโลกย์ เป็นจอมโจกจุลจักรอัครมหา
อานุภาพปราบเปรื่องกระเดื่องปรา กฏเดชาเป็นเกษนิเวศเวียงพวกที่เก่งหนังตะลุงจะต้องรู้ ซึ่งสุนทรภู่หยิบมาแต่งจนคนเข้าใจว่า เป็นของท่านเอง จริงๆ ท่านก็มีครู คิดดูสิง่ายๆ สุนทรภู่ ไม่มีพ่อแม่จะเกิดมาได้อย่างไร
- ท่านอังคาร ก็มีครู ?
- เวลาพูดถึงความงาม แต่ละคนต่างมีมาตรวัดกันคนละแบบ ?
ในโลกนี้ ที่เขาสร้างมา ถ้าเราแปลคุณค่า มันวิเศษไปหมด แล้วใยมนุษย์ที่เขาสร้างมา เขาให้โลกมาทั้งโลก แล้วยังมายากจนอีก มันควรจะร่ำรวย
- ทราบมาว่าสมัยวัยหนุ่ม อาจารย์ก้าวร้าวรุนแรงเหมือนกัน
- แล้วอารมณ์ความรู้สึกตอนแต่งบทกวี "ใครดูถูกดูหมื่นศิลปะฯ " ?
- ทุกวันนี้ สรรหาแรงบันดาลใจจากไหนทำให้แต่งบทกวีได้ตลอดเวลา
ถึงที่สุดมนุษย์สามารถแปลความเป็นมนุษย์ไปถึงพระอรหันต์ได้ เป็นการแปลความหมายของจักรวาลได้ถึงที่สุด แม้แต่เพชรพลอยยังแปลความหมายของจักรวาลไม่ได้.
Pineapple TH-PH
Done
Tuesday, March 29, 2011
นิ่งเสียตำลึงทอง ?, อังคาร กัลยาณพงศ์ ผู้แปลความหมายจักรวาล
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment