กรุงเทพ ธุรกิจออนไลน์ : วันเด็กของปีนี้กำลังจะมาถึงแล้ว หน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่างสรรหากิจกรรมสารพัดมาให้ความรู้ความบันเทิงกับ เด็ก บ้างก็จัดฟรี บ้างก็ต้องให้ผู้ปกครองควักเงินออกมา ในสายตาของเด็กแล้ว วันนี้เป็นโอกาสดีซึ่งมีแค่ปีละครั้ง ที่พวกเขาจะได้สนุกสนานกับกิจกรรมต่างๆ อย่างเต็มที่
วัตถุประสงค์ของวันเด็ก คือต้องการให้สมาชิกของสังคมไทยตระหนักถึงความสำคัญของเด็ก แต่ดูเหมือนว่าวัตถุประสงค์นี้จะค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลา ปัจจุบันนี้วันเด็กจึงกลายเป็นเทศกาลบันเทิงประจำปีสำหรับเด็ก เด็กสมัยนี้มีโอกาสดีมากกว่าเด็กในอดีต มีความฉลาดและรอบรู้มากขึ้น กล้าแสดงออก กล้าคิดกล้าทำ ร่างกายใหญ่โตกว่าคนรุ่นก่อน พัฒนาการเชิงบวกเหล่านี้เป็นเพียงพัฒนาการเชิงกายภาพ เปรียบไปแล้วก็เหมือนคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่มีความสามารถมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเยาวชนของเราซึ่งเน้นการพัฒนาในเชิงฮาร์ดแวร์ของเด็ก โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาจิตใจของเด็ก ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ เมื่อพัฒนาการสองด้านนี้ไม่สอดคล้องกัน ส่งผลให้ฮาร์ดแวร์ทำงานได้ไม่เต็มความสามารถ หรือถูกใช้ไปในทางที่ผิดก่อให้เกิดปัญหาต่อตัวเองและสังคมในที่สุด พ่อแม่ทุกคนย่อมต้องการให้ลูกของตัวเองมีความสุขและประสบความสำเร็จ มีหน้าที่การงานมั่นคง ครอบครัวมีความสุข แต่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ต้องแข่งขันกัน ปากกัดตีนถีบ จะมีพ่อแม่สักกี่คนที่สามารถสละเวลามาอบรมสั่งสอนลูกของตนเอง เช้าขึ้นมาก็ต้องออกไปทำงาน ตกเย็นกลับมาก็หมดแรง บางทีทะเลาะกับเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงาน กลับมาถึงบ้านก็แทบจะไม่มีอารมณ์คุยกับลูกแล้ว ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็เจอสภาพเดียวกัน สำหรับคนเป็นครูแล้วความภูมิใจของครู คือการได้เห็นศิษย์ของตนประสบความสำเร็จจบไปแล้วมีหน้าที่การงานดี ครูจึงพยายามเคี่ยวเข็ญให้ลูกศิษย์ของตนได้เรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อ เสียง นอกจากนี้แล้ว ครูยังต้องตอบสนองนโยบายคณะผู้บริหารที่วัดความสำเร็จของครูจากจำนวนนัก เรียนที่สอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้แล้ว แรงกดดันต่อครูก็ยิ่งมีมากขึ้น จนทำให้การเรียนกลายเป็นการยัดเยียดความรู้ ครูสอนเพื่อให้เด็กสอบได้ เด็กเรียนเพื่อให้สอบผ่าน ไม่ได้เรียนเพราะด้วยความอยากเรียนจริงๆ เมื่อจบออกไปจึงมีทัศนคติที่ไม่ดีกับการเรียน ไม่ขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเองอีกต่อไป ด้วยความหวังดีที่ส่งผลร้ายเช่นนี้ ประกอบกับความเชื่อของสังคมไทยที่วัดการประสบความสำเร็จด้วยเงิน ความมีหน้ามีตาทางสังคม จึงทำให้เด็กส่วนใหญ่ต้องแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายตั้งแต่เข้าอนุบาล ไป โรงเรียนก็ต้องแข่งกับเพื่อน กลับมาบ้านคนที่บ้านก็ไม่ค่อยมีเวลาเอาใจใส่ แรงกดดันจากการแข่งขันและความรู้สึกโดดเดี่ยวเมื่อสะสมไว้นานเข้า ก็จะส่งผลต่อบุคลิกภาพและความรู้สึกนึกคิด กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว ก้าวร้าว ทำอะไรก็นึกถึงตัวเองมากกว่าส่วนรวม ยิ่งสมัยนี้มีของล่อใจสารพัด โอกาสที่เด็กจะเดินทางผิดจึงมีอยู่มาก สุดท้ายก็เลยกลายเป็นปัญหาเรื้อรังของสังคม ลองนึกดูว่าถ้าวันหนึ่งเขามีครอบครัวขึ้นมา เขาจะเลี้ยงดูลูกของเขาอย่างไร ปัญหาของเด็กนั้นไม่ได้เป็นอันตรายต่อเด็กเท่านั้น พวกเราเองก็จะได้รับผลกระทบเหล่านี้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รถซิ่งส่งเสียงดังลั่น กลุ่มวัยรุ่นขี้เหล้าข้างบ้าน พนักงานที่ขาดความกระตือรือร้นในการทำงาน ขาดความสามารถในการคิดวิเคราะห์เพื่อแก้ปัญหา ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต สิ่งเหล่านี้ คือผลกระทบที่มองเห็นได้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ปัญหาเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่ก็จริง แต่สิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่กว่านั้น ก็คือผลกระทบในระยะยาว วันหนึ่งข้างหน้าพวกเราต้องเกษียณตัวเอง ไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป เด็กรุ่นใหม่เหล่านี้จะเป็นผู้รับช่วงกุมบังเหียนเศรษฐกิจของประเทศ ความสามารถในการผลิตสินค้าและบริการของประเทศ ขึ้นอยู่กับปริมาณและคุณภาพของคน หากคนขาดคุณภาพ ความสามารถในการผลิตของประเทศลดลง แล้วผลิตสินค้าและบริการมาเลี้ยงดูคนทั้งประเทศได้อย่างไร อีกอย่างคู่แข่งเรา คือทุกประเทศทั่วโลก แค่เราย่ำอยู่กับที่เขาก็แซงเราไปแล้ว เมื่อแข่งกับชาวบ้านไม่ได้ เศรษฐกิจถดถอย คนในประเทศจะเดือดร้อนแค่ไหน สมมติว่าเหตุการณ์เลวร้ายสุดๆ เศรษฐกิจตกต่ำ ข้าวของราคาแพง คนที่อยู่ด้วยเงินออมหรือเงินบำนาญย่อมต้องเดือดร้อนมากกว่าเดิม เพราะไม่สามารถจะทำงานได้เหมือนคนหนุ่มคนสาว ชีวิตหลังเกษียณซึ่งควรจะได้พักผ่อน กลับต้องมานั่งหวาดผวากลัวว่า เงินอาจไม่พอใช้ แล้วจะมีความสุขได้อย่างไร ตอนนี้บ้านเมืองเรามีปัญหาวุ่นวายมากมาย หากพิจารณาให้ดี ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นจากคนทั้งนั้น เมื่อคนเป็นต้นตอของปัญหา การแก้ปัญหาให้ถูกจุดจึงไม่ใช่การออกกฎหมายให้มากขึ้น ตรวจสอบให้มากขึ้น เมื่อรากเหง้าของปัญหาคือคน การแก้ปัญหาแบบเบ็ดเสร็จในระยะยาวก็ต้องแก้ที่คน อันว่าไม้แก่นั้นดัดยาก หากทำอะไรกับไม้แก่ไม่ได้ก็ปล่อยให้ผุพังไปตามกาลเวลา คอยดูแลไม่ให้บรรดาไม้แก่เบียดบังเอาสารอาหารจากไม้อ่อน คอยเลี้ยงดูต้นกล้าอ่อนเยาว์เหล่านี้ให้เติบใหญ่ขึ้นมาอย่างที่ควรจะเป็น ไม่ต้องรอให้รัฐบาลประกาศเป็นวาระแห่งชาติ แค่คนรุ่นเรายอมเสียสละสักรุ่นหนึ่ง เหนื่อยขึ้นอีกหน่อย คอยประคับประคองต้นกล้าในบ้านของตนเองให้เติบใหญ่ขึ้นอย่างมีคุณภาพ ให้ความรักความเอาใจใส่ ให้โอกาส ยอมรับเขาอย่างที่เขาเป็น ปลูกฝังความรู้คู่กับคุณธรรม ช่วยกันคนละไม้ละมือ ถึงจะไม่เห็นผลในทันที รับรองได้การลงทุนครั้งนี้ไม่สูญเปล่าแน่นอน วันเด็กปีนี้ นอกจากจะพาพวกเขาไปเที่ยวสนุกสนาน น่าจะถือเอาวันนี้เป็นวันตั้งต้นให้สิ่งดีๆ กับเด็กๆ ของเรา เราให้ขนมเขาก็ได้กินแค่ตอนนั้น หากเราให้ความรักความเอาใจใส่ ผลดีไม่ได้หยุดอยู่แค่รุ่นเดียว ลูกหลานรุ่นต่อไปก็จะได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกัน เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว ต่อให้ลงทุนมากแค่ไหนก็ไม่มีวันขาดทุน เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว คณะเศรษฐศาสตร์
No comments:
Post a Comment