Pineapple TH-PH

Done

Monday, February 16, 2009

THE AESTHETIC เมื่อ (ธุรกิจ) ความงามไล่ล่าคุณ !

THE AESTHETIC เมื่อ (ธุรกิจ) ความงามไล่ล่าคุณ !

คอลัมน์ STORY

โดย ทีมงาน DLife

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความใส่ใจในเรื่องสุขภาพร่างกายกลายเป็นแนวโน้มที่ไม่มีวันตาย หรือห่างหายไปจากโลกใบนี้ไม่ว่าจะยุคใดสมัยใด

เพราะยิ่งมนุษย์อยากเอาชนะโรคภัยมากเท่าไร มนุษย์อย่างเราๆ ก็อยากเอาชนะความแก่ชรามากเท่านั้น

ไม่ เพียงแค่ผู้หญิง แต่ผู้ชาย (แท้) ยังเป็นกลุ่มที่หันมาให้ความสนใจกับเรื่องนี้อย่างจริงจังและหนักหน่วง กระแสความต้องการแรงมากถึงขนาดนักการตลาดมองเห็น จึงเกิดเป็นเครื่องสำอาง ตลอดจนธุรกิจบริการที่เปิดทางให้กับผู้ชายมาดแมนทั้งหลายได้ดูดีสมกับที่วาด ฝัน

ผู้หญิงสวยด้วยวิธีใด ผู้ชายก็อยากหล่อด้วยวิธีเหล่านั้น มิน่า...มูลค่าตลาดรวมของธุรกิจคลินิกความงามในบ้านเราจึงไม่ต่ำกว่า 12,000 ล้านบาท

ความงามจึงเป็นเรื่องที่มีพัฒนาการอยู่ตลอดทุกช่วง เวลา และมีการเติบโตอย่างน่าจับตามองที่สุดไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร แต่เทรนด์ความงามดูเหมือนกำลังไล่ล่าคุณ !

ผู้ชายมีนม !

อาจ เพราะยุคนี้เทรนด์การห่วงใยสุขภาพเป็นแนวโน้มแห่งทศวรรษ ทำให้ทั้งเพศหญิงเพศชาย อายุน้อย อายุมาก ต่างต้องหันมาสำรวจตรวจตาตัวเองอย่างถ้วนถี่ว่าร่างกายที่เป็นไปนี้มีสิ่งใด ผิดปกติบ้าง

ไม่แปลกที่คนทั่วโลกและเมืองไทยจะตื่นเต้นกับเรื่องการ เสริมความงามตลอดเวลา แถมช่วงอายุของคนที่หันมาสนใจก็กว้างขึ้น นั่นคือมีตั้งแต่คนอายุน้อยไปจนถึงคนอายุมากๆ ที่หันมายอมรับขึ้น

จากการสำรวจสถิติทางศัลยกรรม พบอัตราเข้าเสริมความงามของผู้หญิงเพิ่มประมาณ 8-10 เปอร์เซ็นต์

แต่ที่น่าสนใจคือ อัตราการเพิ่มของผู้ชายมีตัวเลขพุ่งขึ้นไปถึง 20 เปอร์เซ็นต์ !

โดยเฉพาะประเด็นสำคัญช็อกวงการที่ทำให้ผู้ชายทั่วโลกแทบคลั่งเมื่อจู่ๆ ร่างกายที่เคยแมนมากๆ เกิดมีนมขึ้นมาซะงั้น !

พวกนี้เป็นชายแท้ที่ไม่ใช่เก้ง กวาง หรือตุ๊ด กะเทยที่ไปผ่าตัดเสริมเต้า หรือรับประทานยาคุมเพื่อให้เกิดเนินนม

ผู้ชายที่ว่า เป็นชายแท้ ไม่มีเทียม...

จาก การตั้งสมมติฐานหลายคนมองว่า น่าจะเกิดจากความนิยมรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดโดยเฉพาะไก่ทอดที่มีสารเร่งโต ซึ่งเดิมนั้นอาจจะไม่ปรากฏให้เห็นเนื่องจากผู้ชายยุคก่อนนิยมหุ่นแบบมาด เสี่ยท้วมๆ แต่พอยุคนี้ผู้ชายแท้ๆ เขาหันมาดูแลสุขภาพ เข้าฟิตเนสเพื่อฟิตร่างกายให้เกิดกล้ามเนื้อน่ามอง

เท่านั้นแหละ นมโผล่ !

เพราะ เวลาใส่ชุดฟิตเนสหรือออกกำลังกายขยายกล้ามเนื้อแผงอกให้ผายไปแล้ว กลายเป็นว่าหน้าอกทำไมยังมีนมอยู่ เวลาใส่ชุดออกกำลังกายเข้าฟิตเนสจึงไม่มั่นใจ เป็นเหตุให้ต้องตัดสินใจเดินเข้าออกคลินิกศัลยกรรมตกแต่งเพื่อไปดูดไขมัน บริเวณหน้าอกให้หายไป !

นายแพทย์นิเวศ เสริมศีลธรรม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาศัลยศาสตร์ตกแต่งของสยามสวอนย่านสยามสแควร์ เปิดเผยว่า "ผู้ชายเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น คือไม่ยอมแก่ อีกทั้งมีปัจจัยทางสังคมที่เปลี่ยนไป ส่วนใหญ่ไม่มีครอบครัวหรือคนที่มีครอบครัวแล้วก็อยากทำอะไรให้กับตัวเองก็ เลยหันมาดูแลตัวเองทั้งๆ ที่เป็นผู้ชายแท้ๆ"

หมอศัลยกรรมมือดีคนนี้ บอกว่า สิ่งที่ผู้ชายเข้ามาหาคลินิกศัลยกรรมคล้ายๆ กับผู้หญิง ความนิยมเป็นไปตามช่วงอายุ คือ หากมีอายุหน่อยก็จะมีตั้งแต่ทำหนังตาตก ดึงหน้า ดูดไขมัน หากเป็น

วัยรุ่นจะสนใจรูปร่าง หน้าตา หันมาทำหน้าเรียว ทำจมูก ทำตา ทำหน้าใส และดูดไขมันที่หน้าอก !

" ระยะหลังมีคนไข้ผู้ชายมาดูดไขมันที่หน้าอกมากขึ้น เพราะเมื่อไปฟิตเนสแล้วดูไม่ดี ดูไม่เฟิร์ม ออกกำลังกายอย่างไรก็ไม่หายรู้สึกเป็นปมด้อย จึงต้องมาเอาไขมันออกให้ดูแบนเหมือนผู้ชายทั่วไป ตอนนี้กำลังเยอะขึ้นเรื่อยๆ มีแทบทุกวัน ฝรั่งก็มี ไทยก็มี เป็นคนอายุ 20 ไปจนถึง 30 กว่าปี"

เหตุที่ผู้ชายตัดสินใจง่ายขึ้น ว่ากันว่าอาจเป็นเพราะมีการศึกษาหาข้อมูลทางการแพทย์มากขึ้น สมัยนี้การทำศัลยกรรมประเภทดูดไขมันไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ใช้เวลาเร็วขึ้น บางแห่งใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียวก็เรียบร้อย ดังนั้นการเตรียมงบประมาณเพื่อการดูดไขมันต่อจุดที่ 50,000 บาทจึงเป็นเรื่องที่ผู้ชายกลุ่มนี้พร้อมจ่าย

ไม่ใช่แค่นม แต่ยังมีพุง เอว อีกด้วยที่ผู้ชายเขายอมดูดไขมันทิ้งเพื่อให้ตัวเองดูดี !

ไม่แพ้ผู้หญิงเลยล่ะ

เทรนด์เกาหลีมาแรง

เป็นที่รู้กันว่า สำหรับเทรนด์ความงามแล้วมนุษย์พยายามทำอะไรก็ได้ให้ดูสวยดูหล่อขึ้น โดยใช้เวลาพักฟื้นสั้นลง !

โดย สิ่งที่เข้ามาเป็นตัวช่วยให้วงการความงามเป็นไปตามความต้องการของผู้บริโภค ได้มากขึ้นก็คือ "เทคโนโลยี" และ "นวัตกรรมทางการแพทย์" ที่ยุคนี้มีสารพัดสารพันวิธีเข้ามาช่วย

คือจากยุคเดิมที่เน้น ศัลยกรรมผ่าตัด ต้องพักฟื้นอยู่โรงพยาบาลหลายวัน ก็เปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีหรือใช้อะไรก็ตามที่ทำให้คนไข้ไม่ต้องหยุดงาน !

หาก จะไล่บริการที่ได้รับความนิยมจากบรรดาคลินิกความงามแล้ว มีตั้งแต่ 1.เลเซอร์ ที่คนเดี๋ยวนี้ไม่ต้องคิดมาก เข้าไปทำแล้วก็ไปทำอะไรต่อไปเลย 2.โบทอกซ์ ฉีดตีนการิ้วรอย 5 นาทีแล้วเดินออกไปทำงานต่อได้เลย ไม่ต้องพัก 3.ศัลยกรรม กลุ่มนี้อาจจะต้องใช้เวลาพักฟื้นบ้าง แต่จากที่เคยใช้เวลาเป็นอาทิตย์ก็เหลือเป็นไม่กี่วัน

เฉพาะอย่างยิ่ง เลเซอร์ดูจะเป็นอะไรได้รับความนิยมมาก อิทธิพลหนึ่งที่ส่งผลแรงต่อการเข้าใช้บริการแนวนี้เขาว่าเกิดจากวัฒนธรรม เกาหลี ซึ่งผู้บริโภคเริ่มมองหา นวัตกรรมด้านเลเซอร์เพื่อความสวยความงามกันตั้งแต่อายุ 15-45 ปี

เกาหลี ที่ส่งออกวัฒนธรรมการใช้ชีวิตมาสู่คอเคบ้านเราอย่างเต็มๆ ซึ่งในคลินิกความงามที่แดนกิมจิเองก็มีร้านเลเซอร์และคลินิกความงามผุดขึ้น เป็นดอกเห็ด ส่วนเมืองไทยก็กำลังจะเดินไปสู่จุดนั้น

กระแสหน้าใสแบบหนุ่มสาวเกาหลีจึงมาแรง และทำให้กลายเป็นจุดขายของคลินิกความงามหลายแห่ง จนธุรกิจนี้เติบโตขึ้นอย่างสวนกระแส

นาย แพทย์นิเวศบอกถึงกรณีความนิยมเทรนด์ความงามแบบเกาหลีว่า "เหตุที่เป็นเทรนด์เกาหลี หมอสันนิษฐานว่ามีการไหลของวัฒนธรรมเข้ามาสู่เมืองไทยช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ที่หนังเกาหลีเข้ามาแทนหนังญี่ปุ่นและหนังฝรั่ง แล้วสำหรับการทำศัลยกรรมในคนเกาหลีจะนิยมทำตั้งแต่วัยรุ่น คนหนึ่งทำหลายอย่าง เลเซอร์ ทำตาสองชั้น เสริมจมูก ที่สำคัญคนวัยพ่อแม่ของเกาหลีเขาทุ่มให้กับลูกหลานในเรื่องนี้มาก โดยเมืองไทยก็เริ่มมีเทรนด์นี้แล้ว คือมีพ่อแม่จำนวนไม่น้อยทุ่มเงินเพื่อให้ลูกดูดี"

ดังจะเห็นได้จากคลินิกความงามที่ชูเรื่องเลเซอร์หน้าใสที่โตวันโตคืน ทั้งวุฒิ-ศักดิ์ พรเกษม นิติพน และอื่นๆ อีกเต็มไปหมด

ส่วนในเว็บไซต์ที่นำเสนอขายนวัตกรรมเลเซอร์อย่างยุโรปหรืออเมริกาเองก็แข่งขันกันคิดค้นเลเซอร์เพื่อความงาม

รูป แบบใหม่ๆ ขึ้นมาตอบสนองผู้บริโภคทั่วโลก โดยอาศัยมาตรฐานความปลอดภัยได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐ อเมริกา (FDA) เป็นจุดขาย อาทิ เครื่อง Isolaz Laser ที่ใช้เทคโนโลยี Photopneumatics (Photo = Light, Pneumatics = Vacuum) โดยจากระบบ pneumatics จะใช้สุญญากาศช่วยในการขจัดสิ่งสกปรก สิวเสี้ยนจากรูขุมขน ส่วนแสงใช้เพื่อทำลายแบคทีเรียบนผิว หรือนำมารักษาแผลที่ถูกทำลายด้วยแสงแดด จุดแดงบนใบหน้าและเส้นเลือด รวมถึงกำจัดขนที่ไม่ต้องการออกไป, เครื่อง flexel refine เครื่องฉายแสงเลเซอร์ความถี่ 1410 นาโนเมตร ปรับหัวยิงลำแสงในลักษณะอนุภาค สามารถปล่อยออกมาทำปฏิกิริยาในระดับความลึกของผิวได้ด้วยการตั้งค่า selective จากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ไม่เกิดแผลแต่เห็นรอยแดงจางๆ

ใน วงการเลเซอร์เพื่อความงามยังมีการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยยังไม่ได้ FDA อีกก็มาก โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตเครื่องเลเซอร์จากจีน เกาหลี ที่กำลังพยายามทำการตลาดมาถึงบ้านเราทำให้ไหลทะลักเข้ามาสู่คลินิกความงาม เล็กๆ เป็นจำนวนมาก จนแพทย์ความงามหลายรายออกมาเตือนผู้บริโภค

ให้รู้เท่าทัน เพราะแม้จะยังไม่มีความเสียหายจากผู้ใช้บริการ

แต่เครื่องเหล่านั้นก็มิได้ผ่านองค์การอาหารและยา (อย.) ในเมืองไทย !

ตามความงามให้ทัน !

เมื่อ ความต้องการสวยหล่อของคนปัจจุบันขึ้นอยู่กับเทคโนโลยี ระยะเวลา และราคาที่ใครๆ ก็อยากได้ของดีราคาถูก นั่นก็ทำให้มีหลายปัญหาเกิดขึ้นตามมาจากความต้องการนี้

เลเซอร์จาก จีนก็ประการหนึ่ง แต่เท่าที่มีการพูดคุยกับแพทย์ความงามหลายคน ต่างจับสังเกตได้ว่าตอนนี้ไม่เพียงแค่เครื่องเลเซอร์จากจีนที่ไม่ได้มาตรฐาน แต่ยังมีโบทอกซ์จากจีนที่กำลังเข้ามาทำตลาดในบ้านเรา

คืออะไรที่ ขายดีได้รับความนิยม ผู้ผลิตจีนเขาก็หันมาทำตามทั้งนั้น อย่างโบทอกซ์พอได้ชื่อว่าเป็นยาฉีดเพื่อความงามที่ขายดีอันดับหนึ่งของโลก จีนก็อยากกระโจนเข้ามาเล่นด้วยบ้าง เพียงแต่ไม่ได้มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับของอเมริกา และอังกฤษ

ที่ สำคัญจีนเล่นทำราคามาแข่งในการดัมพ์ราคาต่ำกว่าถึง 3 เท่า ทำให้คลินิกความงามหลายแห่งสนใจและนำมาใช้เพื่อทำราคาให้ดึงดูดผู้ใช้บริการ

แพทย์เจ้าของคลินิกความงามแห่งหนึ่งกล่าวว่า ปัจจุบันมีคนหิ้วโบทอกซ์จีนเข้ามาขายเยอะมาก แต่ไม่ผ่าน อย.ไทย สามารถนำมาทำราคาให้ถูกลงได้ 1 ใน 3 ของราคาโบทอกซ์จากอเมริกา อังกฤษ สำหรับประสิทธิภาพเท่าที่มีการพูดคุยกับผู้ที่ไปใช้บอกว่า มีประสิทธิภาพด้อยมาก อยู่ได้แค่ประมาณเดือนเดียวก็ต้องมาฉีดใหม่ โดยยังไม่มีผลวิจัยทางการแพทย์ออกมาว่าในระยะยาวแล้วโบทอกซ์ที่จีนเป็นผู้ ผลิตจะส่งผลกับผู้บริโภคอย่างไร !

คงเป็นเพราะเทคนิคการฉีดโบทอกซ์ ใช้เวลาสั้น และถ้าได้แพทย์ฝีมือดีทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกระมั้งจึงทำให้โบทอกซ์ได้รับ ความนิยมทั้งผู้หญิง-ผู้ชายที่มีริ้วรอย

ดังนั้น แพทย์ความงามจึงอยากฝากเตือนให้ผู้บริโภคอย่างเราๆ ตามทันความงาม อย่างกรณีโบทอกซ์จากจีนก็ควรสอบถามหรือดูให้แน่ใจว่าแพทย์ดูดยาจากขวดยา ประเทศใดเพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง

เทรนด์เพื่ออนาคต

เพราะ ความงามเกี่ยวกับการต่อต้านริ้วรอยเป็นตลาดสำคัญของโลก จึงทำให้หลายฝ่ายออกมาวิเคราะห์กันว่า ต่อไปในวันหน้าวิวัฒนาการของการเอาชนะความเหี่ยวย่นจะเป็นเช่นไร

เสริมจมูกด้วยชิ้นส่วนกระดูกอ่อนของมนุษย์ ก็ใช่

ดึงหน้าตึงด้วยไหมพิเศษที่สามารถมาขันให้ตึงหากใบหน้าเกิดหย่อนขึ้นมาได้ นั่นก็ใช่

โดย IAPAM (International Association for Physicians in Aesthetic Medicine) ของอเมริกาได้เอ่ยถึงเทรนด์ความงามที่จะมาแรงในปี 2009 เอาไว้ว่า ต่อไปผู้คนจะนิยมใช้บริการที่เร็ว เล็ก และลดขั้นตอนการใช้เพื่อให้ตัวเองมีอายุต่ำกว่าอายุจริง 10 ปี ทั้งเลเซอร์ โบทอกซ์ เครื่องอัลตราซาวนด์กระชับสัดส่วน เขาว่าจะเพิ่มขึ้นมหาศาลเพราะมีผู้ผลิตเครื่องมือ ยาเกี่ยวกับเรื่องนี้ส่งไปให้องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา FDA อนุมัติตรึม

ไม่เพียงเท่านั้น นวัตกรรมเกี่ยวกับรอบดวงตา "EyeJuvenation" จะได้รับความนิยมมากขึ้น โดยจะมีการใช้ทั้งเลเซอร์และโบทอกซ์

ที่น่าสนใจก็คือ มีการมองด้วยว่าต่อไปเรื่องของสเต็มเซลล์จะเข้ามามีส่วนสำคัญในผลิตภัณฑ์เพื่อความงามต่อต้านริ้วรอยเป็นอย่างมาก

รวม ถึงความนิยมบริโภคพืชผักผลไม้หรืออาหารต่อต้านริ้วรอยเพื่อให้สวยจากภายใน สู่ภายนอก ก็จะเป็นสิ่งที่จะฮอตฮิตในอนาคตโดยไม่จำกัดเพศและวัย

เพราะ ในยุคที่เศรษฐกิจทั่วโลกระส่ำ แม้ความงามจะเป็นเรื่องที่หลายคนยอมจ่าย แต่การจ่ายเงินอย่างชาญฉลาดเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าน่าจะเป็นเรื่อง ที่ทุกคนหันมามอง ขึ้นอยู่กับว่าใครจะถนัดแบบไหน มีน้อยก็ทุ่มน้อย มีมากก็ทุ่มมาก

เพื่อความอยากสวย อยากหล่อ แต่ต้องตามให้ทันเท่านั้น ! :D



" แม้ว่าปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมจะไม่ดี แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบกับธุรกิจคลินิกความงาม และคาดว่าปีนี้ทั้งปีในส่วนของธุรกิจคลินิกความงามของบริษัทจะมีอัตราการ เติบโตกว่า 10% สูงกว่าเป้าที่วางไว้" นายแพทย์พิชิต สุวรรณประกร ประธานกรรมการ บริษัท แพน ราชเทวี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (ที่มา : หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ มกราคม 2552)



ผลวิจัยของ บริษัท OMD ซึ่งเป็นบริษัทวางแผนการใช้สื่อ แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงไทยที่อาศัยอยู่ในตัวเมืองให้ความสนใจในเรื่องความงาม บนใบหน้ามากถึง 60% ซึ่งค่านี้เท่ากับการให้ความสำคัญกับรูปร่างด้วย



ธุรกิจคลินิกความงามของไทย ปัจจุบันมีมูลค่ามากกว่า 12,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยถึงปีละ 10-15%



ธุรกิจ คลินิกความงามในประเทศไทย ได้รับความสนใจจากต่างชาติด้านความชำนาญและฝีมือของแพทย์โปรเฟสชันนอล ซึ่งไทยได้รับการยอมรับในฝีมือด้านเลสิก โบทอกซ์ เป็นพิเศษ และถือเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดเอเชีย โดยภาพรวมด้านธุรกิจความงามไทยเป็นผู้นำตลาดอันดับ 3 รองจากเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น (หน้าพิเศษ D-Life)

No comments: