Pineapple TH-PH

Done

Tuesday, December 16, 2008

ดวง

 

"ดวง"
By nives

คน ที่มีเหตุผลมากๆ อย่าง Value Investor หลายๆ คนมักจะไม่เชื่อเรื่องของ "ดวง" เขาไม่เชื่อว่า ดวงดาว และเวลาตกฟากของคน จะเกี่ยวข้องอะไรกับความสำเร็จ หรือล้มเหลวของคนคนนั้น มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์ และไม่สามารถหาความสัมพันธ์ที่เป็นเหตุเป็นผลกันได้ เหนือสิ่งอื่นใด ในเวลานาทีใดนาทีหนึ่ง ก็มีคนเกิดกันเป็นร้อยเป็นพัน เป็นไปไม่ได้ที่คนทั้งหมดจะมีชะตาหรือความสำเร็จคล้ายๆ กัน แต่เรื่องนี้หมอดู ก็มักจะบอกว่าการดูหมอ จะต้องคำนึงถึงฐานะ และพื้นเพของคนคนนั้นด้วย ถ้าเขามีฐานะสูงหรือดีอยู่แล้ว การมีดวงชะตาที่ดีด้วย ก็จะทำให้เขาประสบความสำเร็จสูง ส่วนคนที่เกิดจากครอบครัวที่มีฐานะต่ำต้อย ดวงชะตาก็อาจช่วยอะไรไม่ได้มาก

 

ผมเองคิดว่า "ดวง" หรือวันเวลาที่เราเกิดนั้น น่าจะมีผลต่อความสำเร็จของคนอยู่ไม่น้อย เช่นเดียวกัน ฐานะของตัวเขาก็มีส่วนสำคัญมาก แต่ฐานะที่ว่านี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของเงินทอง หรือฐานะทางสังคม ว่าที่จริงบางครั้งฐานะที่ยากจนอาจจะเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คนคนหนึ่งประสบ ความสำเร็จก็ได้ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า ก็คือ IQ หรือความฉลาดของเขานั้น ผมคิดว่าคนที่จะประสบความสำเร็จส่วนมากจำเป็นต้องมี IQ สูงในระดับหนึ่ง    

 

นอกจากเรื่องของดวงที่เป็นวันเกิด ฐานะหรือสถานะของเขาแล้ว บรรยากาศ หรือสถานที่ที่เขาอยู่รวมถึงเหตุการณ์แวดล้อมต่างๆ จะต้องเหมาะสมเป็นใจด้วย นั่นก็คือ คนที่เกิดในประเทศไทย ในเวลาเดียวกับคนที่เกิดในอเมริกา หรือคนที่เกิดในแองโกลา ทั้งๆ ที่มี IQ เท่าๆ กัน โชคชะตาและความสำเร็จก็มักจะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน

 

ดูแล้วความคิดของผมนั้นดูเหมือนว่า จะเป็นคนที่เชื่อเรื่องโหราศาสตร์แต่ที่จริงผมคิดว่าไม่ใช่ จริงอยู่ ผมเชื่อว่าเวลาหรือปีเกิดนั้น มีผลต่อความสำเร็จของคนแต่สิ่งนี้ไม่ได้ขึ้น หรือเกี่ยวกับดวงดาว ดังนั้นการทำนายความสำเร็จ หรือโชคชะตาของคนจากดวงดาว จึงไม่สามารถอธิบายได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ แต่สิ่งที่ทำให้ผมเชื่อเรื่องดวงนั้น มาจากการศึกษาของนักจิตวิทยาและนักสังคมวิทยาที่เรียกว่า "Matthew Effect" ที่อธิบายว่า ทำไมคนที่เกิดในบางช่วงเวลาจึง "ดวง" และประสบความสำเร็จสูงกว่าคนที่เกิดในช่วงเวลาอื่น ทั้งที่ IQ ความสามารถ สถานะทางครอบครัว และสถานที่เกิดเหมือนกัน

 

ปรากฏการณ์ Matthew Effect นั้น มาจากการที่นักจิตวิทยาคนหนึ่ง พบว่า นักเล่นฮอกกี้ของแคนาดาที่เป็นดาราทั้งหลายนั้น ต่างก็มีวันเกิดตกอยู่ในช่วงเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคมเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่คนเกิดเดือนธันวาคมมีน้อยที่สุด เหตุผลที่เขาพบก็คือ ในแคนาดาซึ่งฮอกกี้เป็นกีฬายอดนิยมนั้น เขามีการเล่นแข่งขันเป็นลีกตั้งแต่เด็กทุกขวบปี   เช่น อายุ 10 ขวบแข่งกันเอง อายุ 11 ขวบเป็นอีกลีกหนึ่ง ไปเรื่อยๆ เวลาคิดอายุเขาจะตัดกันที่วันที่ 1 มกราคม นั่นก็คือถ้าเด็กอายุครบ 10 ขวบในวันที่ 2 มกราคม เขาก็สามารถเล่นร่วมกับเด็กที่อายุครบ 10 ขวบในวันสิ้นปี  
 ผลก็คือ เด็กที่เกิดในวันที่ 2 มกราคม ก็จะเป็นเด็กที่มีอายุมากที่สุดในลีกคือมากกว่าคนที่มีวันเกิดในวันที่ 31 ธันวาคมเกือบ 1 ปี 

 

การมีอายุมากกว่าหลายเดือน หรือหนึ่งปีสำหรับเด็กอายุ 10 ขวบนั้นเป็นความได้เปรียบพอสมควรทีเดียว เพราะเขาจะตัวโตกว่า มีความเป็น "ผู้ใหญ่" มากกว่า ดังนั้นเวลาแข่งขันเขาก็จะเด่นกว่า จากจุดนั้น เขาก็มีโอกาสได้รับการคัดเลือกให้ไปเล่นในลีกต่อไปมากกว่า ได้รับการฝึกฝนที่ดีกว่า การเป็นผู้เล่นที่เด่นทำให้เขามีกำลังใจฝึกฝนมากกว่า กระบวนการนี้ทำให้เขาเก่งและเด่นขึ้นไป และได้เปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ ที่นักสังคมวิทยาเรียกว่า "Accumulative Advantage" จนในที่สุดเขาก็กลายเป็นซูเปอร์สตาร์
 เรื่องของ Matthew Effect ยังถูกนำไปอธิบายว่าทำไม บิล เกตส์ และ สตีบ จอบส์ กลายเป็นราชันของวงการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เหตุผลคร่าวๆ ก็คือ พวกเขาเกิดในช่วงปี 1955 ซึ่งทำให้พวกเขาโตเป็นวัยรุ่นในช่วงที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลกำลังเกิดขึ้น ทั้ง บิล เกตส์ และจอบส์ ต่างก็ "โชคดี" ที่มีโอกาสที่จะเข้าถึงหรือ "เล่น" เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่าง "แทบไม่จำกัด"

 

ในขณะที่คนอื่นที่อายุมากกว่า ก็อาจจะทำงาน และอาจยุ่งอยู่กับคอมพิวเตอร์ตัวใหญ่ทั้งหลาย หรือคนที่อายุยังน้อยเกินไปที่จะเรียนรู้หรือสามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ส่วน บุคคลได้ นั่นทำให้เขาทั้งคู่เป็น "เซียน" และเมื่อคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแพร่หลายไป เขาทั้งสองก็สามารถเข้าไปยึดหัวหาด และสร้างความสำเร็จเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนคนอื่นตามไม่ทัน
 ผมไม่แน่ใจว่ามีใครพูดถึง วอร์เรน บัฟเฟตต์ หรือไม่ แต่ผมคิดว่าเขาก็น่าจะเป็นผลผลิตจาก Matthew Effect อยู่เหมือนกัน เหนือสิ่งอื่นใด จอร์จ โซรอส เองก็อายุใกล้เคียงกับ บัฟเฟตต์ ดวงของนักลงทุนระดับโลกเอง อาจจะอยู่ในอายุประมาณ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เหตุผลอาจจะประมาณว่า นี่คือคนที่โตขึ้นมาจนสามารถเริ่มลงทุนได้ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และโลกมีประชากรเติบโตมากมหาศาลหลังสงคราม มีการพัฒนาทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และอาจจะรวมถึงการตีพิมพ์ของหนังสือการลงทุนที่สำคัญ เช่น Intelligent Investor ที่ทำให้บัฟเฟตต์สามารถศึกษาและปฏิบัติได้มากและนานกว่าคนอื่น

 

นอกจากตัวบุคคลแล้ว ผมคิดว่า บริษัทอาจจะมี "ดวง" ที่ดีจนทำให้บริษัทประสบความสำเร็จมหาศาลได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในประเทศไทย น่าจะรวมถึงเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ซึ่งทำให้บริษัทค้าปลีกสมัยใหม่หลายๆ บริษัทที่ในภาวะนั้น เริ่มตั้งกิจการ หรือเป็นกิจการที่มีอยู่ แต่ไม่ได้มีปัญหาทางการเงินสามารถขยายสาขาเพิ่มขึ้น ในขณะที่คู่แข่งค่อยๆ ตายไป ความได้เปรียบของบริษัทที่ "ดวงดี" ในตอนแรกๆ ก็ไม่มาก แต่เวลาผ่านไปพร้อมๆ กับสาขาที่เพิ่มขึ้นทำให้การได้เปรียบมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็สามารถกลายเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งที่คนอื่นตามไม่ทัน

 

ทั้งหมดก็คือ เรื่องของดวงที่เราสามารถอธิบายได้ว่าทำไมคนคนหนึ่งหรือบริษัทหนึ่ง จึงได้ประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดนั้น แต่นั่นคือคำอธิบายในเรื่องอดีตที่ผ่านมาแล้ว มันไม่สามารถอธิบายอนาคตได้โดยเฉพาะในช่วงที่เกิด ใครจะไปรู้ว่าวันที่บัฟเฟตต์เกิด และต่อมาอีก 25 ปี เขาจะเริ่มลงทุนเป็นอาชีพในช่วงที่ดีที่สุดของอเมริกา และเขาจะได้เจอ เบน เกรแฮม ที่สอนเขาเกี่ยวกับ Value Investment และนี่ก็คือ ความแตกต่างที่แยกผมจากความเชื่อทางโหราศาสตร์ นั่นคือ ผมเชื่อว่าดวงมีจริง แต่ทำนายจากดวงดาวไม่ได้

 

No comments: