Pineapple TH-PH

Done

Friday, January 25, 2008

เทศนาธรรม​ 3 ​พระอาจารย์​ "คลิก" ​ชีวิตสู่​ความ​สุข


หลังปี​ใหม่​ 2551 ​บ้านเมือง​ยัง​ตก​อยู่​ใน​ภาวะ​ไม่​ปกติ​ ​ผู้​คนแตกแยกแบ่งขั้ว​ ​เป็น​สังคมที่​เสี่ยงต่อ​ความ​รุนแรง​ ​และ​ใน​ช่วงต้นปีคนไทย​ได้​สูญเสียดวงแก้วอัน​เป็น​ที่รักยิ่งคือ​ ​สมเด็จพระ​เจ้าพี่นางเธอ​ ​เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา​ ​กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์​ ​ซึ่ง​สิ้นพระชนม์​ ​ท่ามกลาง​ความ​อาลัยรักยิ่งของคนไทย​ทั้ง​ปวง​

"ประชาชาติธุรกิจ" ​อยาก​ให้​คนไทย​ใช้​ชีวิตอย่างมี​ความ​สุข​และ​เดินหน้า​ ​ต่อไป​ ​แม้​จะ​ยัง​ไม่​เห็นแสงสว่างที่ปลายอุ​โมงค์​ ​เรา​เฟ้นหา​เทศนาธรรม​จาก​พระอาจารย์ที่ลึกซึ้ง​ใน​แก่นธรรม​ 3 ​ท่าน​ ​มานำ​เสนอท่าน​ผู้​อ่าน​ ​เพราะ​เรา​ ​เชื่อว่าหลักธรรมคำ​สอนที่ดีอาจพลิกชีวิตของ​ผู้​คนที่จม​อยู่​ใน​กองทุกข์​ ​ให้​กลับมี​ความ​สุข​ได้​เพียงชั่วพริบตา​

วิธีบริหารจิต​ฉบับ​พระธรรมวิสุทธิกวี​

พระธรรมวิสุทธิกวี​ ​วัดโสมมนัสวิหาร​ (ราชวรวิหาร) ​บรรยายธรรมเรื่อง​ "การบริหารจิต" ​เมื่อวันศุกร์ที่​ 26 ​ตุลาคม​ 2550 ​เวลา​ 12.00-13.00 ​น​. ​ณ​ ​ห้องประชุมปรีดี​ ​พนมยงค์​ ​สำ​นักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา​ ​แก่นธรรมมีสาระดังนี้

ศีล​ทั้ง​ 5 ​ประการหาก​ผู้​ใด​รักษา​ได้​ดี​แล้ว​ย่อม​จะ​ได้​รับอานิสงส์​หรือ​ประ​โยชน์​ใน​ชีวิต​ 3 ​ประการ​ ​คือ​ 1.​ทำ​ให้​ไปเกิด​ใน​สุคติ​โลก​ ​สวรรค์​หรือ​ที่ดีมี​ความ​สุข​ 2.​ทำ​ให้​ได้​รับทรัพย์สมบัติ​ 3.​ทำ​ให้​ดับทุกข์​ ​ความ​เดือดร้อน​ ​ความ​ ​วุ่นวาย​ใน​ชีวิต​ได้​ ​สามารถ​ส่ง​เข้า​สู่พระนิพพานสิ้นทุกข์​ใน​ที่สุด​ ​ส่วน​คนที่​ ​ขาดศีล​หรือ​คนที่​ไม่​มีศีลย่อม​ได้​รับผลตรง​กัน​ข้าม

เช่น​ ​ปัจจุบันตนเองเดือดร้อน​ ​ครอบครัว​ ​สังคม​ ​ประ​เทศชาติ​เดือดร้อนก็​เพราะ​ขาดศีล​ ​เมื่อตาย​แล้ว​จะ​ไปเกิด​ใน​อบายภูมิ​เป็น​สัตว์​เดรัจฉาน​ใน​นรก​ ​หาก​สามารถ​กลับมา​เกิด​เป็น​มนุษย์​ได้​อีก​ ​เศษกรรมชั่วที่ทำ​ไว้​ยัง​เหลือ​อยู่​จะ​ทำ​ให้​บุคคล​นั้น​เกิดมาตกทุกข์​ได้​ยาก​ ​เช่น​ ​อายุสั้น​ ​โรคภัยไข้​เจ็บมาก​และ​ยากจน​ ​เพราะ​ฉะ​นั้น​ทุกคนควรรักษาศีล​ ​อย่างน้อยก็ศีล​ 5

อุดมการณ์​ 4 ​ข้อของอาตมา​

ท่าน​ทั้ง​หลายศึกษาพระพุทธศาสนามามากบ้างน้อยบ้าง​ ​บางท่านก็​เคย​ ​เข้า​ฝึกกรรมฐานย่อมมีประสบการณ์ตามสมควร​ ​การศึกษาจบปริญญา​กัน​ ​ทั้ง​นั้น​ ​บางคนปริญญา​โทก็ย่อมรู้จักพระพุทธศาสนามากพอสมควร​ ​แต่สำ​หรับอาตมา​เป็น​พระสงฆ์ศึกษามานานบวชมาตั้งแต่อายุ​ 17 ​ปี​ (2496) ​ตอนอาตมาบวช​เข้า​ใจว่าบางท่าน​ยัง​ไม่​เกิด​ ​ตลอดเวลาที่อาตมาศึกษาปฏิบัติพุทธศาสนาก็​ไม่​เคยเบื่อ​เพราะ​คำ​สอนพระพุทธเจ้าประ​เสริฐจริงๆ​ ​ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งเพลิดเพลิน​ ​เป็น​ประ​โยชน์ตั้งแต่ตัวเรา​เอง​ ​ญาติพี่น้อง​ ​ประ​เทศชาติ​ ​ใน​ชีวิตอาตมามีอุดมการณ์​ 4 ​ข้อ

1) ​วัน​ใด​ถ้า​ไม่​ได้​รับ​ความ​รู้​ใส่​ตนวัน​นั้น​ถือว่าขาดทุน​ ​ถ้า​ตื่นแต่​เช้า​จนค่ำ​ ​ไม่​ได้​ความ​รู้​เลย​ถึง​ได้​เงินทองสักหมื่นก็ถือว่าขาดทุน​ ​แต่​ถ้า​ได้​ทำ​กรรมฐาน​ ​ไม่​ขาดทุน​ ​แม้​ไปบรรยายสอน​ผู้​อื่น​ก็ถือว่าขาดทุน​เพราะ​ความ​รู้​ไม่​เข้า​ ​ความ​รู้ที่มี​จะ​หมดเรื่อยไป​ ​ทุกวันอาตมา​จึง​ต้อง​อ่านหนังสือพิมพ์อย่างน้อยช่วง​เช้า​ภาษาอังกฤษ​ฉบับ​หนึ่ง​ ​ภาษา​ไทย​ฉบับ​หนึ่ง​ ​หนังสือพระ​ไตรปิฎก​ต้อง​อยู่​รอบ

2) ​ชีวิตที่​ไม่​บำ​เพ็ญประ​โยชน์​เป็น​ชีวิตที่​ไร้ค่า​ ​ประ​โยชน์ตน​ ​ญาติพี่น้อง​ ​ส่วน​รวม​ ​ไม่​ทำ​สักอย่างเกิดมารกโลกทำ​ไม​ ​ชาวพุทธที่​แท้จริง​จะ​ต้อง​บำ​เพ็ญประ​โยชน์​ส่วน​รวม​ด้วย​ ​อย่างเรา​เคารพ​ใน​หลวง​เพราะ​ท่านบำ​เพ็ญประ​โยชน์​ส่วน​รวม​ ​เรา​เคารพพระพุทธเจ้า​ไม่​ใช่​เพราะ​พระพุทธเจ้าบำ​เพ็ญเพียรเพื่อชาวอินเดียแต่ท่าน​ช่วย​หมด​ไม่​เพียงมนุษย์​ ​สัตว์​เดรัจฉาน​ ​เทวดา​ ​ก็​ช่วย​หมด​

3) ​เมื่อทำ​อะ​ไร​ให้​ทำ​จริง​ ​และ​ทำ​ให้​เสร็จ​เป็น​อย่างๆ​ ​ต้อง​หวังคุณค่าว่า​จะ​เกิดขึ้นแก่สังคมต่อ​ส่วน​รวม​ ​บางคน​ไม่​เสร็จสักอย่าง​ ​บางคนหนังสือสิบเล่มอ่าน​ไม่​จบสักเล่ม​ ​อย่างนี้งานค้างคา​ไม่​เจริญ

4) ​ใครก็ตามแม้​จะ​ทำ​ความ​ดี​ ​แต่​ถ้า​อยากดัง​ ​แบกโลก​ ​ประมาท​ ​ขาดสันโดษ​ ​ไม่​รู้จักประมาณ​ ​ก็​จะ​ประสบ​ความ​ทุกข์​และ​หา​ความ​สุขที่​แท้จริง​ใน​ชีวิต​ไม่​ได้

คนแบกโลก​เป็น​คนโง่​ ​คิดว่า​ถ้า​ขาดตนทุกอย่าง​จะ​พังหมด​ ​แบกโลกจนประสาทแตก​ ​ให้​คิดว่า​เมื่อเรา​เกิดก็​ไม่​ได้​แบกอะ​ไรมา​ให้​คิดว่า​ "​เมื่อเรามามีอะ​ไรมา​ด้วย​เล่า​ ​เรา​จะ​เอา​แต่สุขสนุกไฉน​ ​เรามามือเปล่า​เรา​จะ​เอาอะ​ไร​ ​เราก็​ไปมือเปล่า​เหมือนเรามา​" ​ใคร​จะ​โกง​จะ​กินเมื่อตายก็​ต้อง​ทิ้ง​ไว้​หมด

คนอยากดัง​ ​อยากโชว์​ ​สิ่งเหล่านี้คู่​กับ​ดับ​ ​ถ้า​อยากดังอย่าหวัง​จะ​สงบ

คนประมาท​ ​ขับรถ​โดย​ความ​ประมาท​ ​ใช้​ชีวิต​ด้วย​ความ​ประมาท​ ​พูดจา​ด้วย​ความ​ประมาท​ ​ชีวิตพังไปเยอะ​ ​อย่างคนขับรถซิ่ง​ ​ความ​ประมาท​เป็น​หนทางของ​ความ​ตาย​ทั้ง​ร่างกาย​และ​คุณ​ความ​ดี

วิธี​แก้จน​-​สร้างสุข

คนขาดสันโดษ​ ​ได้​เท่า​ไร​ไม่​พอ​ไม่​รู้จักประมาณ​ ​มีภรรยาคนเดียว​ไม่​พอจนฆ่า​กัน​ตายไปเลย​ ​มี​เงิน​เท่า​ไรก็​ไม่​พอจนชีวิตพัง​ ​ตนเองก็พัง​ ​ชาติบ้านเมืองก็พัง​ ​เพราะ​ความ​โลภของมนุษย์​ ​ได้​เท่า​ไร​ไม่​พอ​เพราะ​ไม่​มี​ความ​พอใจ​ ​วิธี​แก้จนคือพอ​ ​ถ้า​อยากรวยเดี๋ยวนี้​เลย​ ​คือรู้จักพอ​ ​"​ความ​ไม่​พอใจจน​เป็น​คนเข่น​ ​พอ​แล้ว​เป็น​เศรษฐีมหาศาล​ ​จน​ทั้ง​นอก​ทั้ง​ใน​ ​ไม่​เข้า​กาล​ ​จงคิดอ่านแก้จน​เป็น​คนพอ"

วิธี​แก้จนคือพอ​ ​เมื่อพอก็รวย​ ​อย่างพระที่​อยู่​ตามป่าดงท่านก็รวย​ ​คือรวย​ความ​สุขของท่าน​ ​ความ​สุข​อยู่​ที่​ใจ​ไม่​ได้​อยู่​ที่กิน​ ​กาม​ ​เกียรติ​ ​ถ้า​ความ​สุข​อยู่​ที่​เงินทอง​ ​ลาภ​ ​ยศ​ ​สรรเสริญ​ ​พระพุทธเจ้าคง​ไม่​ออก​จาก​วัง​ซึ่ง​เต็มไป​ด้วย​สิ่งเหล่านี้​ ​เทวดาถามพระพุทธเจ้าพระที่​อยู่​ใน​ป่าฉันมื้อเดียวทำ​ไมมีผิวพรรณผ่องใส​ ​เห็นคน​อยู่​ใน​เมืองหน้าบูดหน้า​เบี้ยวกินวันละสามมื้อ​

พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า​ ​ก็​เพราะ​พระ​เหล่า​นั้น​ไม่​ได้​แสวงหา​ใน​สิ่งที่ล่วงไป​แล้ว​ ​ไม่​เพ้อหวัง​ใน​สิ่งที่​ไม่​มา​ถึง​ ​เป็น​อยู่​ใน​สิ่งที่​เกิดขึ้น​ใน​ปัจจุบัน​ ​ผิวพรรณของท่านเลยผ่องใส​ ​ส่วน​พวกคนโง่มัวแต่​แสวงหา​ใน​สิ่งที่ล่วงไป​แล้ว​ ​เพ้อหวัง​ใน​สิ่งที่​ยัง​มา​ไม่​ถึง​ ​ไม่​เป็น​อยู่​ใน​สิ่งที่​เกิดขึ้น​ใน​ปัจจุบัน​จึง​ซูบซีดซบเซา​เหี่ยวแห้งไป​ ​เหมือนต้นอ้อที่​เขียวสดถูกตัด​ให้​เหี่ยวแห้งตายไป​ ​บางคนมี​เงินมีทองแต่หน้าบูดหน้า​เบี้ยว​ ​มีลูกก็หน้าบูดหน้า​เบี้ยว​ ​มีตำ​แหน่งสูงหน้าบูดหน้า​เบี้ยว​ ​ทำ​ไม​ถึง​เป็น​เช่น​นั้น​ก็​เพราะ​ว่า​ไม่​พอ​ ​ไม่​พอเพียง​จึง​เดือดร้อน​

ฉะ​นั้น​ ​เรา​ต้อง​รู้จักหลักสันโดษบ้าง​ ​รู้จักพอประมาณ​ใน​การพูด​ ​การ​ใช้​จ่าย​ ​ใครก็ตามที่ทำ​ดี​แต่​ถ้า​อยากดัง​ ​แบกโลก​ ​ประมาท​ ​ขาดสันโดษ​ ​ไม่​รู้จักประมาณ​ ​จะ​ประสบ​ความ​ทุกข์​และ​หา​ความ​สุขที่​แท้จริง​ใน​ชีวิต​ไม่​ได้​

ฝึกจิตเพื่อ​ 3 ​ส.

คำ​สอน​ใน​พุทธศาสนา​แม้​จะ​มีมากแต่​ถ้า​ย่อมี​ 3 ​ประการ​เท่า​นั้น​ ​คือ​ ​ทาน​ ​ศีล​ ​ภาวนา​

1) ​ทาน​ ​คือการ​ให้​ทานที่​เรา​ให้​กัน​อยู่​ ​ศีลเรา​ ​ก็รับ​แล้ว​เมื่อสักครู่​ ​สิ่งเหล่านี้พัฒนาจิต​ทั้ง​สิ้น​ ​คน​ ​ให้​ทานจิตใจก็​จะ​สูงพัฒนาคน​ ​เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่​ ​แต่คนขี้​เหนียวใจต่ำ​ ​คนกตัญญูกตเวที​ใจพัฒนา​ ​คนที่อกตัญญู​ใจต่ำ​

2) ​ศีล​ ​เมื่อมีศีลจิตใจก็​จะ​สูงขึ้น​

3) ​ภาวนา​ ​คือการฝึกจิตนั่นเอง​ ​การทำ​กรรมฐาน​ใน​สมัยพระพุทธเจ้า​เรียกการฝึกจิตว่าภาวนา​ ​แต่สมัยหลังพระพุทธเจ้านิพพาน​แล้ว​ศัพท์​ ​เปลี่ยนเรียก​ "จิต" ​แทนที่​จะ​ "ภาวนา​" ​ก็​เรียก​ "กรรมฐาน" ​เหมือนภาษา​ไทยที่ว่า​ ​กินข้าว​ ​เมื่อ​ไม่​ไพเราะ​จึง​เปลี่ยน​เป็น​ทานอาหาร​หรือ​รับประทานอาหาร​ ​ซึ่ง​จริงๆ​ ​ก็​เหมือน​กัน​

ฉะ​นั้น​ ​คำ​ว่าภาวนา​แปลว่า​ ​การบริหารจิต​ ​พัฒนาจิต​ ​อบรมจิต​ ​ฝึกจิต​ ​การทำ​กรรมฐาน​ ​การทำ​จิต​ให้​สูงขึ้น​อยู่​ใน​คำ​ว่าภาวนา​ทั้ง​สิ้น​ ​จิตที่สูงขึ้นคือจิตที่​ได้​รับการอบรม​แล้ว​ ​ตัวภาวนาตัวนี้ตามศัพท์จริงๆ​ ​แปลว่า​ ​ทำ​ให้​มี​ ​ทำ​ให้​เกิด​ ​ทำ​ให้​เป็น​ ​ถามว่าทำ​อะ​ไร​ให้​มี​ ​ให้​เกิด​ ​ให้​เป็น​ ​คำ​ตอบคือทำ​จิตของเรา​ให้​สะอาด​ ​สงบ​ ​สว่าง​ ​แล้ว​จิตของเรา​จะ​สะอาด​ ​สงบ​ ​สว่าง​ ​ด้วย​อำ​นาจอะ​ไร​ ​คำ​ตอบก็คือ​ ​จิตของเรา​จะ​สะอาด​ได้​ด้วย​การมีศีล​ ​สงบ​ได้​ด้วย​การฝึกสมาธิ​ ​สว่าง​ได้​ด้วย​การเจริญปัญญา​

การฝึกจิต​ใน​พระพุทธศาสนา​ไม่​ใช่​เพื่อกิน​ ​กาม​ ​เกียรติ​ ​แต่​เพื่อ​ 3 ​ส​. ​ไม่​ใช่​พื่อ​ 3 ​ก​. ​คือ​ได้​ความ​สะอาด​ ​สงบ​ ​สว่าง​ ​ของจิต​ ​ถ้า​ใครนับถือพระพุทธศาสนา​แล้ว​ไม่​พบ​ความ​สะอาด​ ​สงบ​ ​สว่าง​ ​ขึ้นชื่อว่า​ได้​แต่​เปลือกพระพุทธศาสนา​ ​ตัวศาสนา​ไม่​ได้​เลย​

การที่​เรารับศีลก็​เป็น​การพัฒนาจิต​ส่วน​หนึ่ง​ ​คำ​ว่าพัฒนามา​จาก​คำ​ว่า​ "ภาวนา​" ​เปลี่ยนตัว​ ​ว​. ​เป็น​ตัว​ ​พ​. ​วัฒนา​เป็น​พัฒนา​ ​คำ​ว่าพัฒนา​เป็น​ศัพท์​ใหม่​ซึ่ง​เกิด​ใน​สมัยจอมพลสฤษดิ์​ ​ซึ่ง​แต่ก่อนคำ​ว่าพัฒนา​ไม่​มี​ ​คำ​ว่าพัฒนาคือภาวนานั่นเอง​

คน​ 4 ​ประ​เภท​ใน​โลกนี้​

ชาวพุทธ​ต้อง​พัฒนาจิตของตนเอง​ ​ถ้า​จิต​ไม่​ได้​พัฒนาก็​แสดงว่า​ไม่​ใช่​ชาวพุทธ​ ​ถ้า​ชาวพุทธ​ไม่​มีศีลแสดงว่า​ไม่​พัฒนา​ ​อย่างร่างกายของเราสกปรก​ ​เหม็นสาบ​ ​ถามว่าพัฒนา​หรือ​ไม่​ ​แสดงว่า​ไม่​พัฒนา​ ​อ่านหนังสือ​ไม่​ออกนั่นคือ​ไม่​พัฒนา​ ​คนพัฒนา​แล้ว​ต้อง​เจริญ​ทั้ง​ร่างกาย​และ​จิตใจ​ ​ท่าน​ทั้ง​หลายคน​ใน​โลกนี้มี​ 4 ​ประ​เภท​ 1) ​สุขภาพกายเสื่อม​ ​สุขภาพจิตเสื่อม​ 2) ​สุขภาพจิตเสื่อมแต่สุขภาพกายดี​ 3) ​สุขภาพกายเสื่อมแต่สุขภาพจิตดี​ 4) ​สมบูรณ์พร้อม​ทั้ง​สุขภาพกายสุขภาพจิต​

คนประ​เภทแรก​ 1) ​สุขภาพกายก็​เสื่อม​ ​สุขภาพจิตก็​เสื่อม​ ​เคยเห็น​หรือ​ไม่​ ​ร่างกายก็อ่อนแอ​ ​บ้าๆ​ ​บอๆ​ ​ไม่​รู้​เรื่อง​ ​อย่างเด็กปัญญาอ่อน​ ​ไม่​รู้​เรื่อง​ ​นั่นคือเสื่อม​ทั้ง​สุขภาพกายสุขภาพจิต​ ​แต่บางคนปัญญาอ่อนแต่สุขภาพกาย​ยัง​ดี

2) ​สุขภาพกายดี​แต่สุขภาพจิตเสื่อม​ ​เช่น​ ​บางคนร่างกายอ้วนท้วนแข็งแรงแต่​เป็น​บ้า​ ​โรคจิตโรคประสาท​ ​ขี้​โมโหขี้​โกรธ​จะ​เสื่อมมาก

3) ​สุขภาพกาย​ไม่​ดี​เจ็บออดๆ​ ​แอดๆ​ ​แต่สุขภาพจิตดี​ ​บางคนตาบอดหูหนวกแต่​ใจก็​แช่มชื่นเบิกบาน​ ​ก็​ไม่​ได้​ทุกข์อะ​ไรมากมาย​ ​สุขภาพ​ไม่​ดี​แต่​ใจ​เขา​สู้​ ​ใจ​ยัง​มีคุณธรรม​

4) ​สมบูรณ์พร้อม​ทั้ง​ร่างกาย​และ​จิตใจ​

ใน​บุคคล​ทั้ง​ 4 ​ประ​เภทเรา​ต้อง​การบุคคลประ​เภทไหนมากที่สุด​ใน​ครอบครัว​ ​ญาติพี่น้อง​ ​ใน​ชาติของเรา​ต้อง​การประ​เภทที่​ 4 ​และ​ประ​เภทที่​แย่ที่สุดคือประ​เภทที่​ 1 ​แย่รองลงมาคือประ​เภทที่​ 2 ​รองลงมาคือประ​เภทที่​ 3 ​เรา​ต้อง​การคนประ​เภทที่​ 4 ​บางคนพยายามออกกำ​ลังกายแต่จิตเสื่อม​ ​เช่น​ ​ติดสิ่งเสพย์ติด​ ​โลภ​ ​โกรธ​ ​หลงรุนแรง​ ​ทำ​อย่างไร​ให้​ชาติของเรามีคนที่มีสุขภาพกาย​และ​สุขภาพจิตดี​ ​ถ้า​เรามี​ทั้ง​สุขภาพกายดีสุขภาพจิตดี​ ​ชีวิตก็​จะ​พบแต่​ความ​สุข​ ​ครอบครัวมี​ความ​สุข​ ​พ่อแม่มี​ความ​สุข​ ​ประ​เทศชาติสุขเกิดการพัฒนา​ ​ทำ​อย่างไรคน​จะ​มี​ความ​สมบูรณ์พร้อม​ทั้ง​สุขภาพกายสุขภาพจิตก็​ต้อง​ฝึกจิต​ต้อง​พัฒนาจิต​

ถามว่าระหว่างกาย​กับ​จิตอย่างไหนสำ​คัญกว่า​กัน​ ​ถ้า​เราตอบก็อาจบอกว่าจิตสำ​คัญกว่า​ ​แต่​ใน​วันหนึ่งๆ​ ​เรากลับ​ให้​ความ​สำ​คัญ​กับ​กายมากกว่า​ให้​ความ​สำ​คัญแก่จิต​ ​แม้​เรา​จะ​พูด​ให้​ความ​สำ​คัญว่าจิต​เป็น​นายกาย​เป็น​บ่าว​ ​คับที่​อยู่​ได้​คับใจ​อยู่​ยาก​ ​แต่ว่า​เวลา​ให้​ความ​สำ​คัญกลับ​ไม่​ให้​ความ​สำ​คัญ​กับ​จิต

เรื่องของกายวันหนึ่งๆ​ ​ต้อง​พักผ่อน​ให้​ได้​ 8 ​ชั่วโมง​ ​แล้ว​ใจของเรามี​เวลา​ให้​พักผ่อนบ้าง​หรือ​ไม่​ ​กลับ​ไม่​มีนอน​แล้ว​ก็​ยัง​คิด​ไม่​หยุด​ ​กลางคืน​เป็น​ควันกลางวัน​เป็น​ไฟ​ ​เพราะ​กลางคืนมัวแต่คิดไปเรื่อยจนนอน​ไม่​หลับ​ ​กลางวัน​เป็น​ไฟคือทำ​งาน​ไม่​หยุด​ ​ร่างกายมีอาหารวันละ​ 3 ​มื้อ​ ​ที่กินจุกจิก​ยัง​ไม่​คิดทำ​ให้​เกิดโรคอ้วน​เข้า​มา​ ​ใจเรา​ไม่​มีอาหาร​เป็น​มื้อๆ​ ​อย่างกาย​ ​ทำ​ไม​ถึง​ปล่อย​ให้​เป็น​เช่น​นั้น​ ​ร่างกายเรามีอาบน้ำ​แปรงฟันตกแต่งสวยงาม​ ​แล้ว​ใจของเรามี​เวลา​แต่งใจบ้าง​หรือ​ไม่​

คน​ส่วน​ใหญ่​ไม่​ให้​ความ​สำ​คัญ​กับ​จิตว่าจิต​ไม่​สำ​คัญ​ ​ปากว่าสำ​คัญแต่ก็​ไม่​ค่อย​ให้​ความ​สำ​คัญ​ ​อาตมาอายต่างชาติบางประ​เทศที่​ไม่​ได้​นับถือพระพุทธศาสนา​แต่ประ​เทศ​เขา​มีศีลธรรมกว่า​เรา​ ​อย่างการซื้อสินค้าที่​ให้​จ่ายเงินเอง​ ​ถ้า​เป็น​บ้านเราหาย​ทั้ง​สินค้า​เงินก็​ไม่​ได้​ ​ศีลธรรม​เขา​ดีกว่า​เรา​ ​เศรษฐกิจก็ดีกว่า​เรา​ ​เรา​เป็น​เมืองพุทธที่นับถือแต่ชื่อ​

วิธีบริหารจิต​ 7 ​ท่า​

แต่​ถึง​อย่างไรเราก็​ยัง​รักชาติของเรา​ ​ทำ​อย่างไรชาติของเรา​จะ​พัฒนา​เหมือน​เขา​บ้าง​ ​ก็​ต้อง​พัฒนาจิต​ให้​เป็น​ ​อาตมาขอเสนอวิธีการบริหารจิต​ 7 ​ท่า​ 1) ​บริหาร​ด้วย​การสวดมนต์ก่อนนอน​ 2) ​บริหาร​ด้วย​การมีศีล​ 5 ​ประจำ​วัน​ 3) ​บริหารท่านั่งคือ​ ​นั่งสมาธิ​ 4) ​บริหาร​ด้วย​ท่า​เดินคือเดินจงกรม​ 5) ​บริหาร​ด้วย​ท่ายืนคือยืนทำ​สมาธิ​ 6) ​บริหาร​ด้วย​ท่านอนคือนอนทำ​สมาธิ​ 7) ​บริหาร​โดย​การ​ใช้​อุปกรณ์คือมีลูกประคำ​

ใน​หลวงของเราก่อนทรงงาน​จะ​สวดมนต์​และ​นั่งสมาธิก่อน​ใน​ทุก​เช้า​ ​พระองค์ตรัสว่า​ ​ถ้า​ทำ​อย่างนี้งาน​จะ​ออกมาดี​ ​อีกประการที่คน​อื่น​ทำ​ไม่​ค่อย​ได้​แต่​ใน​หลวงทรงทำ​ได้​ ​คือ​ ​ทุกวันอุ​โบสถ​ใน​หลวง​จะ​ทรงสมาทานศีลอุ​โบสถอย่างเคร่งครัด​ ​การบริหาร​ด้วย​การสวดมนต์ก่อนนอน​ถ้า​เรา​ไม่​ค่อยมี​เวลาจริงๆ​ ​ใช้​เวลา​แค่​ 30 ​วินาทีก็​ได้​ ​ก่อนนอนสวดมนต์​เสียบ้าง​ ​สวดมนต์ทำ​ให้​ใจเบิกบาน​ ​คุ้มครอง​ให้​อายุยืน​ ​โรคภัยไข้​เจ็บลด​ ​บริหารท่าที่สองคือ​ ​มีศีล​ ​เรารับ​จาก​พระก็​ได้​อธิษฐานเองก็​ได้​ ​คนมีศีล​กับ​คน​ไม่​มีศีลต่าง​กัน​ ​พระพุทธเจ้าสรรเสริญศีล​ไว้​มากเหลือเกิน​

ท่านตรัสว่า​ "ดูก่อนภิกษุ​ทั้ง​หลาย​ ​ทานที่​ให้​แก่สัตว์​เดรัจฉานมีผล​ 100 ​เท่า​ ​คือ​ให้​ด้วย​ความ​รักเอ็นดู​ ​เกิด​ใน​สวรรค์​ 100 ​ชาติ​ ​มีอายุ​ ​วรรณะ​ ​สุขะ​ ​พละ​ ​ปฏิภาณ​ ​แก้​ไขปัญหาชีวิต​ได้​ดี​ 100 ​ชาติ​ ​ทานที่​ให้​แก่คน​ไม่​มีศีล​ ​อาทิ​ ​พวกขี้​เหล้า​ ​ขอทาน​ ​โดย​ให้​ด้วย​ความ​เอ็นดู​ ​มีผล​ 1,000 ​เท่า​ ​แต่ทานที่​ให้​แก่คนมีศีล​ 5 ​ได้​โกฐ​เท่า​ (เปรียบเหมือนน้ำ​ใน​มหาสมุทร​ไม่​อาจนับ​ได้​ว่ากี่ลิตร)​" ​คนมีศีลเทวดา​ยัง​คุ้มครอง​ ​ถ้า​ให้​ทานแก่คนที่มีคุณธรรมสูงกว่านี้​ ​คนที่มีศีล​ 10 ​ศีล​ 227 ​ไปจน​ถึง​พระ​โสดาบัน​ ​พระสกิทาคามี​ ​พระอนาคามี​ ​พระอรหันต์​ ​พระปัจเจกพุทธเจ้า​ ​ผลนับ​ไม่​ถ้วน​เป็น​อสงไขย​ ​การพัฒนาจิตสองท่านี้ก็สูง​แล้ว​

การบริหารจิต​ด้วย​การ​ใช้​ปัญญา​ ​คำ​สอนพุทธศาสนามีคำ​สอน​ ​ทาน​ ​ศีล​ ​ภาวนา​ (มีสองอย่าง​ ​คือสมาธิ​กับ​ปัญญา) ​ศีลทำ​ลายกิ​เลสอย่างหยาบ​ ​สมาธิทำ​ลายกิ​เลสอย่างกลาง​ ​ปัญญาทำ​ลายกิ​เลสอย่างละ​เอียด​

การฝึกจิต​ให้​ฝึกทุกวัน​ด้วย​การไหว้พระสวดมนต์​ ​ด้วย​การมีศีล​ ​ทำ​สมาธิ​ "ฝึกจิตทุกวันผิวพรรณผ่องใส​ ​สุขกายสุขใจ​ ​อนามัยสมบูรณ์​" ​เป็น​ ​คำ​กลอนที่อาตมา​แต่งเองเมื่อ​ 20 ​กว่าปีมา​แล้ว​

ปล่อยวางเสีย​ได้​เป็น​สุข

ประการต่อไป​ "ปล่อยวางเสีย​ได้​เป็น​สุข" ​ถ้า​ปล่อยวาง​ไม่​เป็น​แบกโลกทุกข์ตลอดกาล​ ​พระพุทธเจ้าตรัสว่า​ "สิ่ง​ทั้ง​ปวง​ไม่​ควร​เข้า​ไปยึดมั่นถือมั่น" ​เรายิ่งยึดมาก​เท่า​ไรก็ยิ่งทุกข์มาก​เท่า​นั้น​ ​แบกมาก​เท่า​ไรก็หนักมาก​เท่า​นั้น​ ​แบกน้อย​เท่า​ไรก็​เบาน้อย​เท่า​นั้น​ ​ไม่​แบกเลยก็​ไม่​หนักเลย​ ​ยิ่งเราปล่อยวาง​ได้​มาก​เท่า​ไรยิ่งสุขมาก​เท่า​นั้น​ "สิ่ง​ทั้ง​ปวงควร​หรือ​จะ​ถือมั่น​ ​เพราะ​ว่ามันก่อทุกข์มีสุขไฉน​ ​ยึดมั่นมากทุกข์มากลำ​บากใจ​ ​ปล่อยวาง​ได้​เป็น​สุขทุกคืนวัน"

อีกข้อคือธรรมะ​เพื่อ​อยู่​เป็น​สุข​ใน​สังคม​ ​ต้อง​มีธรรมะอย่างน้อย​ 5 ​ข้อ​ ​คือ​ ​ขันติ​ ​เมตตา​ ​เสียสละ​ ​ให้​อภัย​และ​ปล่อยวาง​ ​ถ้า​เรามีคุณธรรม​ 5 ​อย่างนี้ก็​จะ​พบแต่​ความ​สุข​ "ขันติธรรม​ให้​คุณค่ามหาศาล​ ​จิตเบิกบาน​ด้วย​เมตตาน่า​เลื่อมใส​ ​เสียสละก็ทำ​ได้​ทั้ง​กายใจ​ ​พร้อมอภัย​ไม่​ยึดถือคือปล่อยวาง" ​คนเราควรปล่อยวางเสียบ้าง​

มีคำ​โคลงอีกบทหนึ่ง​ ​คือ​ "ขันติ​เมตตา​ไว้​ชี้นำ​ ​เสียสละ​เป็น​ประจำ​ ​สุขแท้​ ​ให้​อภัย​ไม่​กระทำ​โทษตอบ​ ​ใครนา​ ​ปล่อยวางทุกอย่างแม้​เรื่อง​ต้อง​หมองกมล"

No comments: